ตัวเลข “เตียงว่าง” โดยเฉพาะเตียงสำหรับผู้ป่วยหนัก หรือเตียงเพื่อรองรับผู้ป่วยเคส “สีแดง” ที่กำลังวิกฤต ด้วยตัวเลขที่เหลือเพียงหลักสิบเท่านั้น นำมาสู่ความวิตกกังวลของหน่วยงานด้านสาธารณสุข ที่มาของข้อเสนอ “ล็อกดาวน์” กรุงเทพฯ และปริมณฑล
แม้เนื้อความในราชกิจจานุเบกษา ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (ฉบับที่ 25) ที่เผยแพร่เมื่อกลางดึกของวันที่ 26 มิ.ย. 2564 จะระบุว่า “รัฐบาลโดยข้อเสนอแนะของฝ่ายสาธารณสุข ประกอบกับความเห็นของคณะที่ปรึกษาด้านการสาธารณสุขใน ศบค. จึงจำเป็นต้องกำหนดพื้นที่เป้าหมายเฉพาะและบังคับใช้มาตรการควบคุมที่จำเป็น เพื่อมุ่งชะลอและสกัดกั้นการระบาดของเชื้อโรคอย่างเร่งด่วน และหยุดยั้งอัตราการเร่งของจำนวนผู้ป่วย” เช่น มาตรการเร่งด่วนเพื่อสกัดกั้นการระบาดในพื้นที่เป้าหมายเฉพาะ คือ กรุงเทพฯ และปริมณฑล และพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นต้น พร้อมคำยืนยันจากผู้แทนรัฐบาลที่หลายคนว่า “นี่ไม่ใช่การล็อกดาวน์” แต่อาจสวนทางกับความรู้สึกของสังคมในเวลานี้
ข้อมูล ณ วันที่ 22 มิ.ย. 2564 ที่เปิดเผยโดย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข คือ เตียงสำหรับผู้ป่วยสีแดงจากจำนวนทั้งหมด 437 เตียง เหลือเพียง 28 เตียงเท่านั้น ส่วนผู้ป่วยสีเหลือง จาก 5,075 เตียง เหลือ 1,185 เตียง และเตียงสำหรับผู้ป่วยสีเขียว หรือไม่แสดงอาการทั้งหมด 5,896 เตียง เหลือเกือบ 1,500 เตียง
นี่คือข้อมูลการบริหารจัดการเตียงเพื่อรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่เริ่มตึงตัว และมีแนวโน้มไม่เพียงพอ หากจำนวนผู้ติดเชื้อเฉพาะในกรุงเทพฯ ยังอยู่ที่หลัก 1,000 คนต่อวัน
โจทย์สำคัญถัดมา ตามที่ นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ระบุ คือแม้จะมีแผนเพิ่มเตียงรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ระดับ 3 หรือเตียงสำหรับผู้ป่วยเคสสีแดง (ไอซียู) ด้วยการอาศัยทรัพยากรสุดท้าย คือ โรงเรียนแพทย์ 3 แห่ง ได้แก่ รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ, รพ.รามาธิบดี และ รพ.วชิรพยาบาล ที่มีศักยภาพพร้อมเป็นห้องไอซียู ถึง 50 เตียง ภายใน 1-2 วัน แต่ก็ยังไม่มีบุคลากร ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะนำบุคลากรที่เป็นแพทย์ประจำบ้าน ใช้ทุนในต่างจังหวัด ให้มาช่วยสถานการณ์โควิด-19 ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลก่อน และระดมพยาบาลจากต่างจังหวัด เข้ามาช่วยห้องไอซียู
ขณะที่เตียงสีเหลือง ใช้วิธีให้ กทม. เปลี่ยนเตียงสีเขียวที่มีศักยภาพมาเป็นเตียงสีเหลือง และใช้ Hospitel สำหรับผู้ป่วยสีเขียวให้มากขึ้น
จากข้อมูลพบว่า 3% ของผู้ติดเชื้อรายใหม่จะเป็นผู้ป่วยหนัก ขณะที่ผู้ติดเชื้อรายใหม่ในกรุงเทพฯ มี 1,000 คนต่อวัน นั่นหมายความว่าจะมีผู้ป่วยหนัก 30 คน ที่ต้องใช้เตียงไอซียู ซึ่งถือว่าใกล้เต็มศักยภาพ 400 เตียงที่มีอยู่
และแผนสุดท้าย คือ ให้รักษาตัวที่บ้าน หรือ Home isolation
กลางเดือนเมษายน 2564 ที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อระลอก 3 พุ่งสูง ข้อเสนอเพื่อ “รักษาตัวที่บ้าน” หรือ Home isolation ถูกเสนอสู่สาธารณะ แต่หลายฝ่ายประเมินว่า “เป็นไปได้ยาก”
ผ่านมาสามเดือน สถานการณ์ไม่ดีขึ้น ซ้ำยังหนักหน่วง แม้แนวทางนี้ยังไม่ถูกประกาศให้เป็นทางเลือกอย่างเป็นทางการ แต่สถานการณ์กลับทำให้ผู้ป่วยหลายราย จำนนต่อการต้องรออยู่ที่บ้าน หรือเลือกเดินทางไปรักษาตัวยังต่างจังหวัด เพราะสถานการณ์เตียงในกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่อยู่ในขั้นวิกฤต
หากจำเป็นต้องรักษาและกักตัวเองอยู่ที่บ้าน จะทำได้จริงหรือไม่ แล้วอะไรคือแนวทางหรือมาตรการที่นำมาประกอบเพื่อให้การ Home isolation เป็นทางช่วยประคับประคองระบบสาธารณสุข “ก่อนล่มสลาย”
แนวทางการพิจารณาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เหมาะสมสำหรับการแยกตัวที่บ้าน (ฉบับวันที่ 15 พ.ค. 2564) ผู้ที่ตรวจพบเชื้อควรได้รับการจัดแยกเพื่อการดูแลรักษา โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการควรได้รับการดูแลรักษาในโรงพยาบาล หรือ โรงพยาบาลสนาม หรือ หอผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel) ตามความเหมาะสม เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 14 วัน ผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการควรแยกตัวจากผู้อื่นไม่น้อยกว่า 14 วันเช่นเดียวกัน
โรงพยาบาลอาจพิจารณาให้ผู้ติดเชื้อใช้ที่พักอาศัยเป็นสถานที่แยกตัว เช่น บ้านเดี่ยว หอพัก หรือคอนโดมิเนียม โดยได้รับความยินยอมจากเจ้าของสถานที่ การจัดเตรียมสถานที่เพื่อการแยกตัวอย่างเหมาะสมให้เป็นไปตาม คำแนะนำการปฏิบัติการแยกตัวที่บ้าน (Home isolation) สำหรับผู้ป่วยที่ไม่ได้เข้ารักษาตัวแบบผู้ป่วยในของโรงพยาบาล
เกณฑ์การพิจารณาผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพื่อการแยกตัว
- เป็นผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ (asymptomatic cases)
- มีอายุไม่เกิน 40 ปี
- มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง
- มีผู้อยู่ร่วมที่พักไม่เกิน 1 คน
- ไม่มีภาวะอ้วน (ภาวะอ้วน หมายถึง น้ำหนักตัว มากกว่า 90 กก.)
- ไม่มีโรคร่วม ดังต่อไปนี้ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD), โรคไตเรื้อรัง (CKD), โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคหลอดเลือดสมอง, เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ และโรคอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์
- ยินยอมแยกตัวในที่พักของตนเอง
การดำเนินการของโรงพยาบาล
- ประเมินความเหมาะสมสำหรับผู้ติดเชื้อแยกตัวในสถานที่พักของตนเอง
- ลงทะเบียนผู้ติดเชื้อที่เข้าเกณฑ์การแยกตัวที่บ้าน (Home isolation) ในระบบของโรงพยาบาล
- ควรถ่ายภาพรังสีทรวงอก (chest X-ray) หากพบความผิดปกติ แนะนำให้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล
- แนะนำการปฏิบัติตัว และจัดเตรียมปรอทวัดไข้ และเครื่องวัดความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือด (pulse oximeter) ให้กับผู้ป่วยติดเชื้อ
- ติดตาม ประเมินอาการผู้ติดเชื้อระหว่างการแยกตัวที่บ้าน ผ่านระบบสื่อสารต่างๆ อาทิ โทรศัพท์ติดตามอาการ สอบถามอาการไข้ ค่า oxygen saturation วันละ 2 ครั้ง (เช้า-เย็น) เป็นระยะเวลา 14 วัน
- จัดช่องทางติดต่อในกรณีผู้ติดเชื้อมีอาการเพิ่มขึ้น หรือภาวะฉุกเฉิน อาทิ มีไข้ลอย หอบเหนื่อย หายใจลำบาก
- จัดระบบรับ – ส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลในกรณีผู้ติดเชื้อจำเป็นต้องย้ายเข้ารับการรักษาต่อในโรงพยาบาล
- ให้ความมั่นใจในมาตรฐานการดูแลรักษาของทีมแพทย์และพยาบาลสำหรับผู้ติดเชื้อ
บทส่งท้าย
หากถามว่า “พร้อมมั้ย?” สำหรับประชาชน สิ่งหนึ่งที่พอตอบได้ในเวลานี้ คือ หากประชาชน (จำต้อง) พร้อม เพราะข้อจำกัดเรื่องศักยภาพของระบบสาธารณสุข คำถามที่ตามมาก็คือ หากพวกเขาเข้าเกณฑ์การพิจารณาแยกตัวรักษาที่บ้าน ระบบการดูแลของรัฐ “พร้อมหรือไม่?” เช่นกัน
เช่น การพิจารณาความพร้อมเรื่องสถานที่ ความเป็นอยู่อาศัยในการแยกตัวของผู้ป่วย ว่ามีความพร้อมหรือไม่ เช่น ผู้จัดหาอาหารและของใช้จำเป็น, มีห้องส่วนตัว (รวมถึงห้องน้ำส่วนตัว), ผู้อาศัยร่วม สามารถปฏิบัติตามคำแนะนำเรื่องสุขอนามัยได้, สามารถติดต่อกับโรงพยาบาลและเดินทางมาโรงพยาบาลได้สะดวก
เพราะหากเป็นระบบสาธารณสุขชุมชนในต่างจังหวัด กลไกสำคัญอย่าง อสม. (อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน) อาจพอเป็นตัวช่วยในการดูแลผู้ป่วยที่ต้องถูกกักและรักษาตัวที่บ้าน แต่สำหรับกรุงเทพฯ แล้ว กลไกแบบ อสส. (อาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร) นั้น เพียงพอสำหรับดูแลหรือไม่ นั่นเพราะรูปแบบของชุมชน ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัวเดี่ยว ไม่มีความสัมพันธ์แบบชุมชน หรือ ครอบครัวใหญ่ ที่อยู่กันอย่างแออัดในชุมชนเมือง ซึ่งหมายถึงข้อจำกัดของ “บ้าน” ในเชิงกายภาพที่ไม่พร้อม
ทั้งหมดนี้ จึงเป็นอีกความท้าทายว่า แผนรองรับสำหรับ Home isolation ของรัฐนั้น พร้อมมั้ย?
อ้างอิง
- แนวทางการเฝ้าระวังและสอบสวนโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19) ฉบับ 15 พฤษภาคม 2563
- เตรียมแนวทาง “แยกตัวที่บ้าน” หากผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่ม
- โจทย์ใหญ่ล็อกดาวน์กรุงเทพฯ เปิดข้อมูลเตียงวิกฤต เตียงเพิ่มได้ แต่เพิ่มบุคลากรไม่ได้
- เตรียมพร้อมแนวทางการแยกรักษาตัวที่บ้าน หรือ Home isolation
- นายกรัฐมนตรีไม่ล็อกดาวน์ กทม. ปิดแคมป์ 1 เดือน