เตรียมแนวทาง “แยกตัวที่บ้าน” หากผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่ม

กรมการแพทย์ ย้ำ ยังไม่ใช่เวลานี้ ชี้ ปัจจุบันผู้ป่วยทุกคนต้องรักษาใน รพ. หรือ รพ.สนาม หรือฮอสพิเทล

วันนี้ (19 เม.ย. 2564) นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงกรณีมีการเผยแพร่แนวทางการพิจารณาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เหมาะสมสำหรับการแยกตัวที่บ้าน (home isolation) ทางสื่อสังคมออนไลน์ ว่า เป็นการออกคำแนะนำเพื่อเตรียมรองรับสถานการณ์ หากกรณีมีผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มจำนวนมากขึ้น แต่ยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นจะต้องใช้มาตรการดังกล่าว ผู้ที่ติดเชื้อทุกรายจะต้องเข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือโรงพยาบาลสนามหรือฮอสพิเทล ที่ทางภาครัฐกำหนด

สำหรับแนวทางการพิจารณาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เหมาะสมสำหรับการแยกตัวที่บ้าน (home isolation) (ฉบับวันที่ 18 เมษายน 2564) ผู้ที่ตรวจพบเชื้อควรได้รับการจัดแยกเพื่อการดูแลรักษา โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการควรได้รับการดูแลรักษาในโรงพยาบาล หรือ โรงพยาบาลสนาม หรือ หอผู้ป่วยเฉพาะกิจ (hospitel) ตามความเหมาะสมเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 14 วัน ผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการควรแยกตัวจากผู้อื่นไม่น้อยกว่า 14 วันเช่นเดียวกัน

โรงพยาบาลอาจพิจารณาให้ผู้ติดเชื้อใช้ที่พักอาศัยเป็นสถานที่แยกตัว อาทิ บ้านเดี่ยว หอพัก หรือคอนโดมิเนียม โดยได้รับความยินยอมจากเจ้าของสถานที่แล้ว การจัดเตรียมสถานที่เพื่อการแยกตัวอย่างเหมาะสมให้เป็นไปตาม คำแนะนำการปฏิบัติการแยกตัวที่บ้าน (Home Isolation) สำหรับผู้ป่วยที่ไม่ได้เข้ารักษาตัวแบบผู้ป่วยในของโรงพยาบาล ฉบับวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2564 หากผู้ติดเชื้อไม่มีอาการผิดปรกติใดๆ แนะนำให้แยกตัวต่อเนื่องจนครบ 1 เดือน

โดย เกณฑ์การพิจารณาผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพื่อการแยกตัว มีดังนี้

1. เป็นผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ (asymptomatic cases)

2. มีอายุไม่เกิน 40 ปี

3. มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง

4. มีผู้อยู่ร่วมที่พักไม่เกิน 1 คน

5. ไม่มีภาวะอ้วน (ภาวะอ้วน หมายถึง น้ำหนักตัว > 90 กก.)

6. ไม่มีโรคร่วม ดังต่อไปนี้ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD), โรคไตเรื้อรัง (CKD), โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคหลอดเลือดสมอง, เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ และโรคอื่นๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์

7. ยินยอมแยกตัวในที่พักของตนเอง

การดำเนินการของโรงพยาบาล

1. ประเมินความเหมาะสมสำหรับผู้ติดเชื้อแยกตัวในสถานที่พักของตนเอง

2. ลงทะเบียนผู้ติดเชื้อที่เข้าเกณฑ์การแยกตัวที่บ้าน (home isolation) ในระบบของโรงพยาบาล

3. ควรถ่ายภาพรังสีทรวงอก (chest X-ray) หากพบความผิดปรกติ แนะนำให้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล

4. แนะนำการปฏิบัติตัว และจัดเตรียมปรอทวัดไข้ และ pulse oximeter ให้กับผู้ป่วยติดเชื้อ

5. ติดตาม ประเมินอาการผู้ติดเชื้อระหว่างการแยกตัวที่บ้าน ผ่านระบบสื่อสารต่างๆ อาทิ โทรศัพท์ติดตามอาการ สอบถามอาการไข้ ค่า oxygen saturation วันละ 2 ครั้ง (เช้า-เย็น) เป็นระยะเวลา 14 วัน

6. จัดช่องทางติดต่อในกรณีผู้ติดเชื้อมีอาการเพิ่มขึ้น หรือภาวะฉุกเฉิน อาทิ มีไข้ลอย หอบเหนื่อย หายใจลำบาก

7. จัดระบบรับ -ส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลในกรณีผู้ติดเชื้อจำเป็นต้องย้ายเข้ารับการรักษาต่อในโรงพยาบาล

8. ให้ความมั่นใจในมาตรฐานการดูแลรักษาของทีมแพทย์และพยาบาลสำหรับผู้ติดเชื้อ

Author

Alternative Text
AUTHOR

เพ็ญพรรณ อินทปันตี

อดีตนักกิจกรรม รักการอ่าน งานเขียน ว่ายน้ำ และเล่นกับแมว