คุยกับ ‘ฑิฟฟาณี เชน’ แห่ง Thailand Policy Lab
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/02/DSC05218-1024x683.jpg)
Thailand Policy Lab, UNDP
เมื่อความป่วยไข้ทางจิตใจใกล้ตัวเรามากขึ้นทุกที…
เราเห็นข่าวการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของเยาวชนอายุน้อย เราเห็นข่าวความรุนแรงที่พัวพันกับปัญหาทางจิตเวชซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำร้าย เมื่อหันหน้าไปทางไหน ก็เห็นแต่ความเจ็บป่วยทางใจจากคนรอบข้างไม่เว้นวัน สวนทางกับจำนวนของบุคลากรทางการแพทย์ที่มีจำกัดอย่างสิ้นเชิง
เอกชนหลายภาคส่วนเร่งออกนโยบายดูแลจิตใจพนักงาน ขณะที่ภาครัฐเองเริ่มออกนโยบายดูแลสุขภาพจิตกับคุณภาพชีวิตประชากร และเมื่อนโยบายดี คุณภาพชีวิตประชาชนเองก็น่าจะดีตามไปด้วย
แต่จะรู้ได้อย่างไรว่า นโยบายที่เกิดขึ้นดีพอไหม? เหมาะสมกับประชาชนจริงหรือเปล่า? หรือเป็นเพียงแค่นโยบายหอมหวานที่ชวนให้ประชาชนมีความหวัง แต่กลับละลายงบประมานมหาศาลเหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
The Active ชวนพูดคุยกับ ‘ฑิฟฟาณี เชน’ นักทดสอบนโยบาย จาก Thailand Policy Lab แห่งโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ถึงเรื่องราวการถอดรหัสนโยบายสาธารณะด้านสุขภาพจิต ด้วยกระบวนการและเครื่องมือชิ้นสำคัญ ผ่าน โครงการ ‘HACK ใจ – เพราะสุขภาพใจเป็นเรื่องของทุกคน’ ด้วยกลไกแบบแฮกกาธอน ที่เชื่อว่า ไม่ว่าใครหรือองค์กรไหน ๆ ก็สามารถนำเครื่องมือไปใช้ เพื่อให้แก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดและออกแบบนโยบายที่ใช่แบบไม่ต้องใช้ทางลัด
ทำไมต้อง Policy Lab ? – ร่วมถอดรหัสนโยบายสาธารณะไปสู่วิถีที่ดีกว่า
“ที่ผ่านมา ปัญหาของประชาชนแทบไม่เคยถูกแก้ไขได้อย่างตรงจุด เพราะปัญหาในสังคมมันซับซ้อนขึ้นทุกวัน แต่รัฐกลับใช้นโยบายและการทำงานแบบเดิม ๆ เราจึงอยากสร้างพื้นที่ใหม่ขึ้นมาให้เป็นเหมือนห้องเรียนรู้”
เมื่อโลกหมุนไปไวและใจคนไม่หยุดนิ่ง ปัญหาในสังคมมีความซับซ้อนในหลายระดับมากกว่าอดีตโดยเฉพาะด้านสุขภาพจิต การใช้นโยบายของภาครัฐแบบเดิม ๆ อาจไม่ตอบโจทย์และแก้ปัญหาได้ตรงจุดอีกต่อไป ฑิฟฟาณี เล่าให้เราฟังถึงที่มาของ Thailand Policy Lab (TP Lab) หรือ ห้องปฏิบัติการนโยบาย ที่ถือกำเนิดขึ้นในปี 2564 ที่เกิดจากความร่วมมือของรัฐบาลไทยอย่าง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ ร่วมกับ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย หรือ UNDP
เพื่อให้เป็นห้องทดลองและสร้างนวัตกรรมเชิงนโยบายแบบที่ประชาชนได้มีส่วนร่วม ทำงานแบบวิเคราะห์ปัญหา ตีแผ่นโยบาย เพื่อนำไปสู่การหาความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ในสังคมเพื่อให้แก้ปัญหาได้ตรงจุดจากปัญหาในโลกสมัยใหม่ที่ซับซ้อนมากขึ้น
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/02/DSC04438-1024x683.jpg)
“เราอยากสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ อยากให้ที่นี่เป็นพื้นที่แห่งการทดลองและค้นหา เปิดให้เป็นพื้นที่ของคนหลายภาคส่วนเข้ามาร่วมกัน หากล้มเหลว ก็ถือว่าเป็นการเรียนรู้ แต่หากสำเร็จ นั่นคือการส่งต่อทางเลือกใหม่ ๆ”
แต่อย่าเพิ่งตกใจ งานใหญ่ขนาดนี้ TP Lab ไม่ได้ทำเองคนเดียว แต่เป็นการร่วมกันทำงานกับหลายภาคส่วนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชนทั่วไป โดยเน้นย้ำว่า ภาครัฐควรจะนำข้อค้นพบไปใช้ต่อหากคิดว่าเกิดประโยชน์
“TP Lab หรือ UNDP ไม่ได้คงอยู่ตลอดไป เราเป็นเพียงแค่กลไกหรือตัวประสานให้เกิดเท่านั้น ฝ่ายที่สำคัญและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง ๆ ยังคงต้องเป็นภาครัฐ ที่ต้องเข้าใจและอยากนำมาใช้”
ฑิฟฟาณี เน้นย้ำ
3 เสาหลักแห่งการเปลี่ยนแปลง
TP Lab ไม่ได้ทำงานอย่างไร้ทิศทาง แต่ขับเคลื่อนด้วย 3 เสาหลักที่จะเป็นกลไกที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง ได้แก่ 1. Policy Innovation Exploration and Experimentation (การพัฒนากระบวนการและพื้นที่เพื่อการพัฒนานวัตกรรมเชิงนโยบาย) 2. Capacity Building on Policy Innovation (การยกระดับขีดความสามารถของผู้จัดทำนโยบาย) และ 3. Community of Innovators and Policymakers (การสร้างและพัฒนาเครือข่ายนวัตกรและผู้จัดทำนโยบาย)
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/02/DSC04903-1024x683.jpg)
สำหรับเสาแรก อย่าง Policy Innovation Exploration and Experimentation ฑิฟฟาณี เล่าให้เราฟังว่า ในขานี้เป็นเหมือนการสำรวจปัญหาที่เจอในสังคม ทีมจะลองลงไปพัฒนา ตลอดจนแก้ปัญหา กระทั่งเกิดเป็นโปรเจกต์ต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ด้านการศึกษาแนวทางการเพิ่มสัดส่วนประชากรวัยเยาว์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถฯ การใช้นวัตกรรมเพื่อเข้าใจผู้ใช้นโยบายด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาเมือง
และยังมีอีกหลายโปรเจกต์ รวมไปถึงโปรเจกต์สำคัญ อย่าง นโยบายด้านสุขภาวะทางจิตของเยาวชน (Mental Health Policy foy Youth by Youth)
เสาที่ 2 คือ Capacity Building on Policy Innovation พูดให้ง่าย คือ การให้เครื่องมือหรือแนวคิดแก่ผู้ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงผ่านหลักสูตรที่ออกแบบมา
“ถ้าเราบอกให้คุณเปลี่ยนแปลง แต่กลับไม่มีเครื่องมือ หรือไม่มีองค์ความรู้อะไรเลย แล้วคุณจะเปลี่ยนแปลงได้ยังไง? เราคิดว่าเรื่องนี้สำคัญมาก จึงลงไปทำกระบวนการกับมหาวิทยาลัยค่อนข้างเยอะ เพราะเยาวชนคือกลไกสำคัญที่จะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา (catalyst) และเราเชื่อว่า หัวใจของผู้นำการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้มีแค่เรื่องทักษะ แต่ต้องมีเรื่องจริยธรรม (ethic) เพื่อสร้าง mindset ที่ดีในการทำนโยบายด้วย”
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/02/DSC04392-1024x683.jpg)
ฑิฟฟาณี เสริมว่า ที่ผ่านมาเลือกลงไปทำงานกับมหาวิทยาลัยหลายแห่งทั้งในเมืองและต่างจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นในระดับปริญญาตรี ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระดับปริญญาโท ที่ มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยขอนแก่น และตอนนี้ทำร่วมกับ โครงการพัฒนานักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ (นปร.) ด้วย
สุดท้ายคือเสาที่ 3 Community of Innovators and Policymakers หรือการสร้างนวัตกร เพราะทั้ง 2 เสาที่กล่าวมาแล้วนั้น จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่มีคนที่มาขับเคลื่อน เมื่อเราสร้างเครือข่ายให้คนที่เห็นปัญหาแบบเดียวกัน ติดเครื่องมือให้เขา มันจะพัฒนาไปด้วยกันได้ไกลมาก
“เราเชื่อว่าคนในพื้นที่คือคนที่รู้ปัญหาดีที่สุด เจ้าของโจทย์จึงต้องเป็นประชาชน เวลาเราลงไปทำกระบวนการในพื้นที่ เราไม่เคยตั้งโจทย์เอาเองว่าอยากทำเรื่องอะไร แต่จะระดมความเห็นจากหลายภาคส่วนในพื้นที่นั้น ไม่วาจะเป็น รัฐ เอกชน ประชาชน รวมถึงสถานศึกษา
“อย่างการลงพื้นที่ภาคเหนือ เราได้โจทย์เรื่องเพศ (gender) ภาคใต้ เราได้โจทย์เรื่องความมั่นคงทางอาหาร (food security) หรือภาคกลาง เราได้โจทย์เรื่องอัตลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยว นั่นเพราะคนในพื้นที่เห็นว่าเรื่องพวกนี้เป็นปัญหาในบ้านเขาจริง ๆ”
ทั้งหมดทำให้เราเห็นว่าการทำงานของ TP Lab จะตั้งต้นจากปัญหาที่แท้จริงของพื้นที่ เพราะเชื่อว่านโยบายไม่จำเป็นต้องมาจากส่วนกลางอย่างภาครัฐแต่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมาจากการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนต่างหาก
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/02/DSC04579-1024x683.jpg)
เมื่อสุขภาพใจ ไม่ใช่ปัญหาของใครคนใดคนหนึ่งอีกต่อไป
หนึ่งในหลายโปรเจกต์ของ TP Lab คงหนีไม่พ้นเรื่อง ปัญหาด้านสุขภาพจิต และโปรเจกต์หนึ่งที่ ฑิฟฟาณี เลือกหยิบยกมาเล่าให้เราฟังคือ ‘Youth Mental Health’ – นโยบายสุขภาพจิต เพื่อเยาวชน โดยเยาวชน
เพราะเมื่อเราพูดถึงนโยบายประชาชน เรากลับหลงลืมไปว่าแทบไม่มีการพูดถึงเยาวชนในนั้น ทั้งที่จริงแล้ว เยาวชนวันนี้คือคนที่ต้องเติบโตขึ้นมาและกลายเป็นผู้ใช้นโยบายในวันหน้า
นี่เองจึงทำให้ทีมเริ่มตั้งต้นตั้งคำถามว่า “ปัญหาที่เป็นเรื่องเร่งด่วนของเยาวชนจริง ๆ คืออะไรกันแน่?”
ทีมงานลงทำสำรวจว่าเยาวชนสนใจเรื่องอะไร พบว่า มีทั้งเรื่องการศึกษา ความยากจน สุขภาวะที่ดี รวมถึงเรื่องสุขภาพจิต และเมื่อลงใช้เครื่องมือรับฟังเสียงคนบนโลกออนไลน์ (Social Listening) ด้วยคีย์เวิร์ด 117,991 คำ และการมีส่วนร่วม (engagement) บนโลกออนไลน์กว่า 30,910,952 ครั้ง
พบว่า ปัญหาสุขภาพจิต เป็นประเด็นที่เยาวชนให้ความสนใจเยอะที่สุด จึงเป็นที่มาของการจัดกระบวนการแฮกกาธอน (Hackaton) เพื่อออกแบบนโยบายสุขภาพจิตร่วมกับเยาวชนและผู้เชี่ยวชาญ ผ่านกระบวนการออกแบบนวัตกรรมนโยบาย 8 ขั้นตอน
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/02/Screen-Shot-2024-02-25-at-22.41.47-1-1024x560.png)
“ตอนนั้นเป็นช่วงโควิด-19 นักเรียนต้องเรียนออนไลน์ เราเจอเสียงจากโลกออนไลน์ว่าเขาพูดเรื่องสุขภาพจิตเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นความเหงา โดดเดี่ยว หรือแม้กระทั่งการ burnout ในการเรียน เขาเรียนไม่รู้เรื่อง และไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ด้วยซ้ำ เราจึงเลือกประเด็นนี้มาทำกระบวนการแฮกกาธอน”
ฑิฟฟาณี เล่าสิ่งที่ค้นพบจากการเก็บข้อมูล
ในกระบวนการมีเยาวชนจากหลายพื้นที่เข้าร่วม โดยมีพี่เลี้ยงคอยดูแล พวกเขาคือกลุ่มเด็กที่อยากเห็นความเปลี่ยนแปลง การพูดคุย ระดมความเห็นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและปรับจูนกันแล้วว่าสิ่งใดที่น่าจะสามารถทำได้ จนกระทั่งเข้าถึงกระบวนการแซนด์บ็อกซ์ (sandbox) ซึ่งเป็นขั้นตอนการทดสอบนโยบาย โดยเลือกในระดับชั้นมัธยมต้นเพราะเชื่อว่ายิ่งทำในกลุ่มเด็กที่อายุน้อยเท่าไหร่ ก็จะยิ่งดี
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/02/DSC04586-1024x395.jpg)
“จากการที่ถอดปัญหาออกมา เราพบว่าเมื่อเขาเด็ก ๆ มีปัญหาด้านจิตใจ เขาไม่รู้จะต้องติดต่อใคร หรือเข้ารับการรักษาพยาบาลอย่างไร การเรียนออนไลน์ก็ทำให้ว้าเหว่ เราจึงคิดว่าควรวางนโยบายเพื่อทดสอบ 2 ด้าน ได้แก่ การเพิ่มทักษะการดูแลให้คนรอบข้าง และการสร้างความสัมพันธ์”
ครูและบุคลากรในโรงเรียนจำเป็นต้องมีการอบรมให้มี ‘ทักษะการดูแล’ ไม่ว่าจะเป็นการฟังเชิงลึก การให้คำปรึกษา หรือความเข้าใจเรื่องสุขภาพจิต เพราะเชื่อว่ากลไกหนึ่งที่สำคัญในการดูแลสุขภาพจิตคือ การป้องกัน (prevention) ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นหมอ แต่ทำได้โดยคนใกล้ตัวเด็กต่างหาก
ขณะที่เรื่อง ‘ความสัมพันธ์’ เป็นเรื่องใหญ่ของมนุษย์ ทีมมีสมมติฐานว่า อาจเพราะครูกับนักเรียนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ใกล้ชิดกันพอ เมื่อเด็กเจอปัญหา เขาจะเลือกปรึกษาเพื่อน ซึ่งเป็นคนในวัยเดียวกัน พบเจอปัญหาคล้ายกัน จึงไม่สามารถนำพาออกจากปัญหาได้ จึงเป็นที่มาของการสร้างแอปพลิเคชันสำหรับสร้างความสัมพันธ์ในห้องเรียน นักเรียนสามารถใช้ได้ผ่านมือถือ สามารถสะท้อนสิ่งที่อยากเห็น หรือบอกความต้องการของตัวเองกับครูได้เหมือนเพื่อนคุยกัน
“ท้ายที่สุด เราคาดหวังว่า เมื่อจบขั้นตอนแซนด์บ็อกซ์แล้ว เราอยากให้กระบวนการส่งเสริมสุขภาพจิตที่ได้มา ถูกนำกลับไปใช้ในโรงเรียน และกลายเป็นกลไกหรือคำแนะนำตัวอย่างที่ส่งต่อไปให้โรงเรียนอื่น ๆ ต่อไปได้ ก่อนที่ปัญหาด้านสุขภาพจิตจะกลายเป็นปัญหาที่สายเกินแก้”
โปรเจกต์นี้ เริ่มตั้งแต่ พฤศจิกายน 2564 และเข้าสู่กระบวนการแซนด์บ็อกซ์ไปแล้วในโรงเรียน 2 แห่ง ได้แก่ รร.สามเสนนอก กรุงเทพฯ และ รร.วอแก้ววิทยา จ.ลำปาง และจะเสร็จสิ้นในเดือนกันยายน 2567 นี้
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/02/DSC04498-1024x683.jpg)
Hack ใจ – เพราะสุขภาพใจเป็นเรื่องของทุกคน
จากวิกฤตสุขภาพในสังคมที่เห็น ประกอบกับเสียงจาก Social Listening ทำให้เห็นชัดเจนว่าเรื่องสุขภาพจิตไม่ใช่เรื่องของใครคนเดียวอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของทุกคน ไม่เพียงแต่ภาครัฐ แต่หลายองค์กรเร่งแก้ไขปัญหาเหล่านี้ และคงไม่เกินเลยไปนัก หากจะเรียกว่าเป็นวาระแห่งชาติ
เมื่อต่างฝ่ายต่างเห็นปัญหาตรงกัน จะดีกว่าไหมถ้าทุกคนมาทำงานร่วมกัน และนี่จึงเป็นที่มาของการจัดงาน ‘Hack ใจ – เพราะสุขภาพใจเป็นเรื่องของทุกคน’ ด้วยการร่วมกันของพาร์ทเนอร์ 8 หน่วยงานที่มีความสนใจ ได้แก่
- นวัตกรรม (Innovation) – สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA)
- เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital economy) – สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA)
- ระบบยุติธรรม (Justice system) – กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
- ผู้บังคับใช้กฎหมาย (Law enforcer) – กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
- การสื่อสาร (Communication) – AIS
- การออกแบบเมือง (Property & Urban) – ฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ (FutureTales Lab by MQDC)
- ธุรกิจประกัน (Insurance) – กรุงเทพประกันภัย
- องค์กรแห่งความสุข (Food) – บาร์บีคิว พลาซ่า
“วันนี้ เราปฏิเสธไม่ได้แล้วว่าสุขภาพจิตเป็นเรื่องของทุกคน เราเห็นพาร์ทเนอร์ทั้ง 8 กลุ่ม ต่างมาจากหน่วยงานที่หลากหลาย และไม่ได้ทำงานด้านสุขภาพจิตโดยตรง แต่มีความสนใจร่วมกัน ทำให้เกิดมุมมองต่างกัน นี่จึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะมีพื้นที่ให้ได้พูดคุยและระดมสมอง
เพราะเรื่องแบบนี้ ถ้าทำคนเดียวอาจเดินได้ช้า แต่ถ้าทำด้วยกัน เราจะเคลื่อนไปด้วยกันได้ไกลกว่า” ฑิฟฟาณี กล่าว
กิจกรรม Hack ใจ จะให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและป้องกันเป็นหลัก (promotion & prevention) เน้นผ่านกระบวนการแน่น ๆ แบบจัดเต็มถึง 3 วัน ใครสงสัยว่าเขาทำอะไรกับบ้างนั้น The Active มาสรุปให้ฟัง
กระบวนการ 5 ขั้นตอนจะเกิดขึ้นตามลำดับ เป้าหมาย คือ สามารถหาปัญหาที่แท้จริงออกมาได้ จนนำมาสู่แผนปฏิบัติ และกลายเป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
- Persona & Hope & Fear
- Problem Statement
- How Might We?
- Ideation Flower
- Ideation Canvas
1. Persona & Hope & Fear : ทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย ความหวัง และ ความหวาดกลัว
persona คือ เครื่องมือที่ทำให้เราทำความเข้าใจกลุ่มคนหนึ่ง ๆ ได้อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลพื้นฐานอย่าง เพศ อายุ ครอบครัว ภูมิลำเนา การศึกษา อาชีพ และลึกลงไปถึงปัญหาและความท้าทายต่าง ๆ ในชีวิต เพื่อวิเคราะห์ถึงปัญหาและความต้องการได้อย่างตรงจุดที่สุด
“สิ่งสำคัญแรกคือ การหาให้เจอว่า ‘ปัญหาคืออะไร ?’ และ ‘ใครที่อยู่ในปัญหานั้น?’ เราห้ามคิดเองเออเองว่า คน ๆ นั้น ต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ แต่มันมาจากการตั้งคำถามที่ดี ต่างหาก”
การจะได้ persona ที่ตรงตามความจริงที่สุดนั้น จำเป็นต้องเริ่มจากชวนคุยและตั้งคำถามที่ดี เพราะจะทำให้เห็นถึงความต้องการ ความคาดหวัง และความหวาดกลัว แต่สิ่งนี้กลับไม่ใช่เรื่องง่าย
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/02/DSC05056-1024x683.jpg)
ฑิฟฟาณี เล่าให้เราฟังว่า ความคิดของผู้คนก็เหมือนยอดภูเขาน้ำแข็ง เมื่อความคิดมีหลายระดับ ปัญหาที่เรามองเห็น อาจไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริงก็เป็นได้
“เราอาจมองว่าปัญหาของเขาคือ รถติด หรืออากาศไม่ดี พวกนี้คือยอดภูเขาน้ำแข็งที่เรามองเห็น แต่ลึกลงไปกว่านั้นมันมีความจริงบางอย่างซ่อนอยู่ นี่เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องหาให้เจอ
“เราเคยทำทำเวิร์กชอปให้กับนักศึกษา พอเราขุดภูเขาน้ำแข็งลงไปกลับเจอสิ่งที่น่าตกใจมาก ใต้ภูเขาน้ำแข็งแห่งปัญหาของเขาคือ ‘ความกตัญญู’
เพราะความกตัญญูมีหลายสิ่งซ้อนอยู่ด้านล่าง ทั้งความคาดหวัง ความเชื่อมั่น และมันแฝงมาด้วย commitment บางอย่างที่ลูกต้องมีต่อพ่อแม่ และเมื่อเขาอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกหรือตัดสินใจบางอย่าง ความกตัญญูนี้เองกลายเป็นสิ่งที่ฉุดรั้ง จนกลายเป็นรากของปัญหาด้านสุขภาพจิต”
ฑิฟฟาณี เสริมว่า แม้กระทั่งการทำเวิร์กชอปในเรื่องที่ต่างออกไป ก็เจอสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ภูเขาน้ำแข็งอันน่าตกใจไม่ต่างกัน
“ในเวิร์กชอปเรื่องรัฐสวัสดิการ เราสงสัยว่าทำไมคนจนถึงไม่อยากใช้บัตรสวัสดิการของรัฐ เมื่อขุดลงใต้ภูเขาน้ำแข็งเราพบว่า เขาไม่ชอบคำว่า ‘บัตรคนจน’ ‘บัตรคนพิการ’ หรือ ‘บ้านเอื้ออาทร’ มันทำให้รู้สึกว่าเขาคือคนไร้ความสามารถ และไม่อยากถูกตีตราจากสังคมด้วยคำเหล่านั้น แม้เขาต้องการได้รับการช่วยเหลือเช่นกัน”
ฉะนั้น หากเรายังหาความต้องการที่แท้จริงไม่เจอ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดจริง ๆ
2. Problem Statement : ระบุปัญหาที่เขากำลังเจอ
หัวใจของขั้นตอนนี้คือการ ‘การถามคำถามที่ถูกต้อง’ เพื่อนำไปสู่การ ‘ระบุปัญหาที่ชัดเจน’ เพราะท่ามกลางปัญหามากมาย อาจทำให้เราสับสนว่าแล้วอะไรคือปัญหาที่แท้จริงกันแน่
“เราจะไม่ถามคำถามเพื่อหาคำตอบ แต่ต้องเป็นการถามเพื่อสร้างคำถาม แล้วเปิดพื้นที่ให้หาคำตอบ เราเชื่อว่าไม่มีมีคำตอบเดียวที่ดีที่สุดในทันที เพราะระหว่างทางนั้น มีวิธีแก้ปัญหาอื่น ๆ เกิดขึ้นได้มากมาย เพราะคำถามที่ถูกต้องจะสร้างความคิดที่ดี และวิธีแก้ไขปัญหาที่ตอบโจทย์ได้จริง ๆ”
การสร้างคำถามที่ดี เกิดขึ้นจากการใช้ 3 คำถาม ได้แก่ Who ? (ใคร) What ? (มีปัญหาอะไร) Why ? (เพราะอะไร) เพื่อหา insight เชิงลึกที่จะทำให้เข้าใจปัญหาให้มากที่สุด และสิ่งสำคัญคือ อย่าเพิ่งใช้คำถามว่า How ? (แก้ไขอย่างไร) เพราะจะเป็นการปิดกั้นกระบวนการคิด
3. How Might We? : เราจะทำอย่างไรให้ … ?
เป็นการชวนให้ตั้งคำถามจากประเด็นที่พูดคุยแบบเปิดโอกาสไปเรื่อย ๆ ให้ได้หลากหลายมากที่สุด เพื่อให้ฝึกมองปัญหาแบบเปิดกว้าง เช่น
“เราจะทำอย่างไรให้พนักงานออฟฟิศไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเหงาใจ ?”
“เราจะทำอย่างไรให้ลูกหลานรู้สึกไม่กังวลเมื่อพ่อแม่ออกจากบ้านคนเดียว ?”
“เราจะทำอย่างไรให้พื่นที่สาธารณะเป็นมิตรกับผู้สูงอายุได้มากขึ้น ?”
คำถามที่หลากหลายเหล่านี้ จะทำให้เราเห็นว่า คำถามไหนกันแน่ที่จะตอบโจทย์เรามากที่สุด
4. Ideation Flower : ให้ไอเดียเบ่งบานราวกับดอกไม้
เมื่อได้คำถามที่สำคัญที่สุดออกมาแล้วจึงเข้าสู่กระบวนการคิดไอเดีย ซึ่งในหลายครั้ง ไอเดียแรกมักไม่ใช่ไอเดียที่สุด การพยายามระดมให้ไอเดียออกมา ผลิบาน แตกหน่อ ต่อยอด ให้มากที่สุดจึงเป็นวิธีที่ดีกว่า
“อยากให้ลบภาพคนที่มีไอเดียแล้วหลอดไฟปิ๊งขึ้นมาบนหัวออกนะ” (หัวเราะ)
“มันจะมีสักกี่คน สักกี่ครั้ง ที่คิดไอเดียแรกออกมาแล้วปิ๊งทันที ทุกคนล้มเหลวมาเป็นร้อยพันครั้ง เหมือนกว่าที่เอดิสันจะประดิษฐ์หลอดไฟออกมาได้นั่นแหละ กว่าจะเกิดไอเดียที่ดีที่สุดมันต้องมีการเบ่งบานของไอเดียไปเรื่อย ๆ เหมือนกับกลีบดอกไม้ที่บานได้ไม่มีที่สิ้นสุด” ฑิฟฟาณี กล่าวด้วยเสียงหัวเราะ
ในกระบวนการนี้อาจจะยากสักหน่อย แต่ทีมก็ไม่ได้ปล่อยให้ผู้เข้าร่วมคิดกันอย่างว้าเหว่ facilitator พี่เลี้ยงจะคอยช่วยไกด์คำถามโดยใช้เทคนิค ‘คำถามกระตุกไอเดีย (Prompt Questions)‘ เพื่อให้ไอเดียไม่ตีบตัน และใช้เครื่องมือในการช่วยเลือกที่เรียกว่า ‘ตารางการจัดลำดับความสำคัญของการเลือก (Priority Metrix)’ เพื่อประมวลว่า ไอเดียไหนมีผลกระทบอย่างไร และมีความเป็นไปได้แค่ไหนเพื่อเลือกไปใช้ต่อ
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/02/DSC05364-1024x683.jpg)
5. Ideation Canvas
เมื่อตกตะกอนได้แล้วว่าปัญหาที่แท้จริงคืออะไร และใครเป็นเจ้าของปัญหา ใครที่เกี่ยวข้องบ้าง และจะแก้ไขได้อย่างไร ขั้นตอนสุดท้าย คือการแปลงเป็น Action Plan
จากนั้นจะได้รับ feedback จากเพื่อนกลุ่มอื่น โดยเน้นย้ำว่าต้องเป็น constructive feedback หรือ คอมเมนต์เชิงสร้างสรรค์ที่ไม่ใช่การตำหนิ
สุดท้ายแล้ว 8 ไอเดีย จาก 8 กลุ่มนี้ จะถูกถอดรหัสออกมาในรูปแบบ Visual Note และ Knowledge Management: KM พร้อมคู่มือแฮกกาธอนนโยบายสุขภาพจิต
หากใคร หรือหน่วยงานใดสนใจ ก็สามารถดาวน์โหลดไปทดลองใช้ได้เองฟรี ๆ ที่เว็บไซต์ thailandpolicylab.com
Hack ใจ, Hack ชีวิต ตัวเองได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องรอใคร เพราะทุกคนสามารถเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้ใครป่วยใจไปเสียก่อน
ติดตามความเคลื่อนไหวของกิจกรรม ‘Hack ใจ – เพราะสุขภาพใจเป็นเรื่องของทุกคน’ ระหว่างวันที่ 29 ก.พ. – 2 มี.ค. 67 ที่ ได้ที่ The Active และ Thai PBS