อดีตอธิบดี​กรมป่าไม้ ระบุ ยอมรับทำไร่หมุนเวียนได้ หากเพื่อยังชีพ​

นักวิชาการวนศาสตร์ชุมชน​อาวุโส​ ยัน วิถีชีวิตประเพณี​วัฒนธรรม​ชาติพันธุ์​ เอื้ออนุรักษ์​ป่ามากกว่าทำลาย​ ด้าน อดีตข้าราชการป่าไม้​ วอนสังคมเข้าใจสถานการณ์​ประชากร ทำป่าเสื่อมโทรมพุ่ง​

เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 2564 ที่ มหาวิทยาลัยเกษตรกร​ศาสตร์​ (บางเขน) วงเสวนา​ “ไร่หมุนเวียน​ กับการจัดการภูมิทัศน์ป่าไม้” จัดโดยคณะวนศาสตร์​ ศูนย์วนศาสตร์ชุมชนเพื่อคนกับป่า – ประเทศไทย (RECOFTC – Thailand) และ​ องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (Thai PBS)​ มีนักวิชาการและอดีตข้าราชการร่วมถกแนวทางการทำไร่หมุนเวียน ท่ามกลางประชากรที่เพิ่มขึ้น แต่ผืนป่ามีเท่าเดิม

สมศักดิ์​ สุขวงศ์​ นักวิชาการอาวุโสวนศาสตร์ชุมชน​ กล่าว​ว่า การทำไร่หมุนเวียนเป็นรูปแบบการเกษตรที่เหมาะสำหรับประชาชนในพื้นที่ห่างไกล และเป็นระบบการทำเกษตรที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เป็นระบบที่ไม่ได้ทำลายป่า​ แต่เป็นนิเวศที่พึ่งพาหมุนเวียนซึ่งกันและกัน พื้นที่ที่ถูกถางทำไร่​ จะมีแร่ธาตุอาหารไม่ต้องใช้สารเคมี ทิ้งไร่ไว้ 10 ปี ก็จะกลับกลายเป็นป่าเหมือนเดิม

“กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงซึ่งมีวิถีชีวิต ประเพณีและวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับการอนุรักษ์ผืนป่า ไม่เฉพาะเพียงแค่การทำไร่หมุนเวียนแต่รวมไปถึงป่าสะดือทารก ป่าช้า ที่ผูกพันอยู่กับธรรมชาติ ที่ใช้ประโยชน์และอนุรักษ์ป่าไปพร้อมกัน”

ด้าน​ ชลธิศ​ สุรัสวดี​ อดีตอธิบดีกรมป่าไม้​ ให้ข้อมูลว่า ในช่วงกว่า 20 ปีที่ผ่านมา พื้นที่ป่าเสื่อมโทรมเพิ่มขึ้นเท่าตัว จากสถานการณ์ประชากรที่เพิ่มขึ้น ทั้งสังคมเมืองและสังคมชนบททำให้พื้นที่ป่าถูกใช้ประโยชน์และกลายเป็นป่าเสื่อมโทรม​ ปัจจุบัน​ มีกว่า​ 4,000​ ชุมชน​ ที่อยู่ในป่าอนุรักษ์ 4.2 ล้านไร่​ ถูกใช้ประโยชน์เป็นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทำการเกษตร ขณะเดียวกันอีก 12 ล้านไร่นอกเขตป่าอนุรักษ์ ก็ถูกใช้เป็นพื้นที่ทำการเกษตรเช่นเดียวกัน ในจำนวนนี้ 4 ล้านไร่ อยู่ในพื้นที่ต้นน้ำ

“การทำไร่หมุนเวียนที่ยอมรับได้ คือ การทำไร่เพื่อยังชีพเท่านั้น เพราะต้องยอมรับว่า การทำไร่หมุนเวียน ที่ต้องเผาไร่ เป็นสาเหตุหนึ่งของ PM 2.5 และหากทำในเชิงอุตสาหกรรมต้องใช้พื้นที่จำนวนมาก”

ด้าน จตุพร​ เทียรมา​ จากคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มองว่า ที่ผ่านมาการทำไร่หมุนเวียน ถูกตีตราเป็นภาพของการตัดไม้ทำลายป่าและเผาป่า แต่การทำไร่หมุนเวียนมีการทำแนวกันไฟไม่ให้ไฟลุกลามไปในวงกว้าง เป็นการเกษตรผลิตแบบเชิงซ้อน ที่เรียกว่าเศรษฐศาสตร์นิเวศ ไม่แยกการทำมาหากิน ออกจากระบบนิเวศเหมือนระบบเศรษฐกิจในปัจจุบัน​ จึงทำให้สังคมมีมุมมองที่แตกต่างเกี่ยวกับเรื่องการจัดการป่าไม้

กะเหรี่ยง​บางกลอยยังหวังทำไร่หมุนเวียนบนใจแผ่นดิน​

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวกะเหรี่ยงบางกลอยจำนวน​ 6 คน แยกออกจากการชุมนุมของกลุ่มพีมูฟที่ปักหลักอยู่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล มาร่วมฟังการเสวนาด้วย พวกเขายังคงมีความหวังว่าจะได้กลับไปทำไร่หมุนเวียนบนใจแผ่นดิน ในขณะที่ข้อสรุปจากวงเจรจา ระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และตัวแทนของ พีมูฟ เมื่อวันที่​ 9​ มี.ค​. ที่ผ่านมา มีความคืบหน้าไปมาก โ​ดยเฉพาะการเตรียมตั้งคณะกรรมการพิสูจน์สิทธิ์ในสัปดาห์​หน้า

พชร​ คำชำนาญ หนึ่งในคณะกรรมการแก้ไขปัญหากะเหรี่ยง​บางกลอย​ กล่าวว่า​ วงเจรจาเมื่อวันที่​ 9​ มี.ค.​ ได้มอบให้ ประสาน​ หวังรัตนปราณี อดีตอัยการสูงสุด​ ในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรีของพลเอก ประวิตร​ วงษ์สุวรรณ ช่วยคลี่คลายคดีที่ชาวบ้านถูกฟ้องทั้ง 30 คน ขณะที่ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ​และ​สิ่ง​แวดล้อม​ มีคำสั่งย้าย​ มานะ​ เพิ่มพูล​ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ไปปฏิบัติงานในพื้นที่อื่นเรียบร้อยแล้ว​ ซึ่งกลุ่มพีมูฟได้เสนอชื่อ อิทธิพล​ ไทยกมล​ นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการพิเศษ​ กลุ่มงานการจัดการและพัฒนาป่าอนุรักษ์​ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช​ จากส่วนกลาง​ ลงไปปฏิบัติหน้าที่แทน เนื่องจากที่ผ่านมาสามารถประสานงานร่วมกับทางเครือข่ายฯ ได้ดีมาตลอด​ พร้อมกับจับตาดูเจ้าหน้าที่อุทยานแ​ห่งชาติ​แก่งกระจาน​ระดับปฏิบัติการ จะมีท่าทีแข็งกร้าวกับกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่เช่นที่ผ่านมาหรือไม่

อย่างไรก็ตาม มีอีกหนึ่งข้อเสนอที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ บอกว่าไม่สามารถทำได้ นั่นคือการให้ชาวบ้านกลับไปอยู่ในพื้นที่บางกลอย​บนและใจแผ่นดิน​ ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องหลักที่เคลื่อนไหว โดยแนวทางในการแก้ไขปัญหานี้ พลเอก ประวิตร​ จะมีคำสั่ง ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อพิสูจน์สิทธิ์ คาดว่า การประชุม ครม. ในสัปดาห์หน้า จะมีความชัดเจน ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างพิจารณาสัดส่วนของคณะกรรมการ

Author

Alternative Text
AUTHOR

วชิร​วิทย์​ เลิศบำรุงชัย

ผู้สื่อข่าวสาธารณสุข ThaiPBS