“ผมรู้ว่าการตัดสินใจแบบนี้มีความเสี่ยง ที่เกือบจะแน่นอนเลยว่า เมื่อเราเริ่มต้นการผ่อนคลายต่าง ๆ จะทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น เป็นการชั่วคราว ซึ่งเราต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และประเมินดูว่า เราจะรับมือกับสถานการณ์นั้นอย่างไร เราต้องไม่ปล่อยโอกาสนี้ เพราะถ้าเราต้องเสียโอกาส ในช่วงเวลาทอง ของการทำมาหากินไปอีก เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ผมคิดว่าประชาชนคงรับมือไม่ไหวอีกต่อไป”
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
บางช่วงบางตอนในถ้อยแถลงของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2564 สาระสำคัญ คือ การลุล่วงภารกิจตามคำสัญญา 120 วัน และจะทยอยผ่อนคลายมาตรการสำคัญ พร้อมเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยว ในช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมที่จะถึงนี้
2 สัปดาห์ก่อน ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่รายวันของ 4 จังหวัดชายแดนใต้ “สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส” รวมกัน เท่ากับ 1 ใน 4 ของยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั้งหมดของประเทศ ทำให้ “ภาพรวม” การติดเชื้อของประเทศไทยยังคงแตะหลักหมื่นทุกวัน และยอดผู้เสียชีวิตบางวันกลับไปที่หลักร้อยอีกครั้ง ส่งผลให้ประเทศไทยถูกจัดอันดับการติดเชื้อสูงขึ้นติดอันดับต้นของโลก และอาจมีผลต่อการเปิดประเทศเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งความกังวลการเปิดเทอมของเด็กทั่วประเทศ
แต่วิกฤตโควิด-19 จังหวัดชายแดนใต้ “อยู่ในความสนใจ” ของสังคมไทยเพียงลมปะทะผิวหน้าเบา ๆ การที่รัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรี นำหน่วยงานราชการแถลงยืนยัน เตรียมพร้อมเปิดประเทศ 1 พฤศจิกายนนี้แน่นอน จะด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม นี่คือการส่งสัญญาณให้ทุกหน่วยงาน “ขับเคลื่อน” สู่การเปิดประเทศ มีนัยว่ากระทรวงสาธารณสุขจะต้องรับมือกับสถานการณ์วิกฤตโรคระบาดเพียงลำพัง
หลักฐาน คือ การส่งสัญญาณล่วงหน้าการยุบ ศบค. การวางแผนยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ การควบคุมโรคระบาด และกลับมาใช้ พ.ร.บ.โรคติดต่อ 2558 มาเป็นระยะ
The Active พยายามคลี่ข้อมูล “วิกฤตโควิด-19 จังหวัดชายแดนใต้” เพื่อชี้ให้เห็นว่าแนวโน้มวิกฤตดังกล่าว จะอยู่กับประเทศไทยไปอีกนาน โดยที่ความสนใจของคนทั้งประเทศคือเรื่องปากท้อง จนกว่าวิกฤตดังกล่าวจะฉุด “ภาพรวมของประเทศ” ให้ตกลงมาอยู่ด้วยกันใหม่อีกครั้ง
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/10/TheActive-โควิด-19-กับจังหวัดภาคใต้-3-02-1-1024x1024.jpg)
โควิด-19 กับ “4 จังหวัดชายแดนใต้”
ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2564 เป็นต้นมา ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ใน “4 จังหวัดชายแดนใต้” ค่อย ๆ ยกตัวสูงขึ้นอย่างเงียบ ๆ คู่กับตัวเลขผู้ติดเชื้อของกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่เจอวิกฤตการระบาดระลอก 3 และ 4
ขณะนั้น คนไทยกังวลระคนหวาดหวั่น เมื่อตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมแตะแสนคน เป็นการระบาดขยายวงกว้างพุ่งเป้าไปที่คนจนเมือง แรงงานต่างชาติที่เป็นประชากรแฝงในมหานครใหญ่ ในชุมชนแออัด ซึ่งควบคุมโรคอย่างยากลําบาก จากฤทธิ์ร้ายเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตา ทำให้การแพร่ระบาดเร็วและอาการป่วยหนักเร็วขึ้น จนคนทั้งประเทศพร้อมใจกันยกวัคซีนที่มีอยู่อย่างจำกัด ทุ่มไปที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งเป็นศูนย์กลางการแพร่กระจายเชื้อสู่จังหวัดอื่น ๆ มุ่งหวังการตัดวงจรการระบาดโดยเร็ว
ความรุนแรงของโควิดสายพันธุ์เดลตา สร้างภาพจำ กลายเป็นประวัติศาสตร์สังคมไทยที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น คือ ผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล คนล้มตายกลางถนน ต้องเปิดโรงพยาบาลสนามบุษราคัม 3,000 กว่าเตียงรองรับ และส่งออกคนป่วยจำนวนมากกลับไปรักษาที่ภูมิลำเนา กว่ายอดผู้ติดเชื้อของกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะขึ้นสูงสุดในเดือนสิงหาคม และค่อย ๆ ลดลงจนทรงตัว
จากผู้ติดเชื้อรายใหม่เกือบ 4 พันคน ในช่วงต้นเดือนกันยายน แต่เมื่อเข้าสู่เดือนตุลาคม กรุงเทพฯ มีผู้ติดเชื้อลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง และทยอยลดลงมาแตะ 1 พันคน ในขณะนี้
ขณะที่ ผู้ติดเชื้อในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จากที่เคยพบผู้ติดเชื้อหลัก 100 – 200 คน ในช่วงต้นเดือนกันยายน แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ก็ค่อย ๆ ทะยานไต่ระดับ อยู่ที่ 300, 400 และ 500 คน ในเพียงไม่กี่สัปดาห์ กระทั่งในวันที่ 10 ตุลาคม ก่อนหน้าการแถลงเตรียมพร้อมเปิดประเทศของนายกรัฐมนตรีเพียงวันเดียว ทั้ง 4 จังหวัด กลายเป็นจังหวัดที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงที่สุด เป็นรองเพียงกรุงเทพฯ รวมแล้ว 4 จังหวัด 2,332 คน มากกว่ากรุงเทพฯ เกือบเท่าตัว ขณะที่มีสัดส่วนประชากรรวมกันน้อยกว่ากรุงเทพฯ ราว 1 ใน 3 เท่านั้น
ขณะนี้ “วิกฤตโควิด-19 จังหวัดชายแดนใต้” กำลังมีรูปแบบการระบาดคล้ายกับสถานการณ์กรุงเทพฯ และปริมณฑลเมื่อหลายเดือนก่อน
กล่าวคือ วันที่ 15 ตุลาคม 2564 กรุงเทพฯ และปริมณฑล (5 จังหวัด) ซึ่งมีจำนวนประชากร 10.6 ล้านคน มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ รายวัน เพิ่มขึ้น 1,768 คน ยอดผู้ป่วย ติดเชื้อสะสม 718,277 คน เสียชีวิต 20 คน
4 จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งมีจำนวนประชากรรวมกัน 3.5 ล้านคน มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ รายวัน 2,510 คน ยอดผู้ป่วย ติดเชื้อสะสม 129,270 คน เสียชีวิต 21 คน
เปรียบเทียบให้ชัดขึ้น กรุงเทพฯ และปริมณฑล ติดเชื้อรวม 1,768 คน คิดเป็น 17% ของประเทศ ส่วน พื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนใต้ ติดเชื้อรวม 2,510 คนคิดเป็น 25% ของประเทศ ต่างจังหวัด 67 จังหวัด ติดเชื้อรวม 5,999 คน คิดเป็น 58% ของประเทศ
เมื่อแยกรายจังหวัด ยะลา ติดเชื้อสูงสุด 767 คน ติดเชื้อรองลงมาคือ ปัตตานี 644 คน สงขลา 605 คน และนราธิวาส 494 คน
แต่ยอดการฉีดวัคซีนโควิด-19 กลับแตกต่างกันอย่างมาก ทั้งสถานการณ์และปริมาณ กล่าวคือ เมื่อกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่า เชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตากำลังค่อย ๆ แพร่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ก็รีบทุ่มวัคซีนในการตัดวงจรการระบาด เพื่อไม่ให้ยอดกราฟการติดเชื้อรายวันและการตายพุ่งสูง ผสมการรณรงค์ “ตรวจเชื้อเร็ว (ด้วยชุดตรวจ ATK) รักษาเร็ว (ด้วยยาฟาวิพิราเวียร์) และสร้างภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีน” ทำให้สถานการณ์พลิกกลับมาดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เชื้อไวรัสเดลตาจะแพร่กระจายครอบคลุมพื้นที่ จนโควิดสายพันธุ์อัลฟ่าหายไป
ขณะที่ พื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนใต้ เชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตากินพื้นที่เกือบ 50% ซึ่งเป็น “ขาขึ้น” ของการการระบาด แต่ยอดการฉีดวัคซีนในพื้นที่กลับน้อยมาก จากการจัดส่งวัคซีนไปที่จังหวัดชายแดนห่างไกลล่าช้า เมื่อความเจ็บป่วย “ไกลหัวใจ” จึงแสดงให้เห็นความเจ็บปวดของความเหลื่อมล้ำ
ขณะนี้ กรุงเทพมหานคร มีการฉีดวัคซีนให้ประชาชนไปแล้วมากกว่า 13 ล้านโดส โดยมีผู้ได้รับวัคซีนครบโดส หรือครอบ 2 เข็ม อยู่ที่ร้อยละ 64.27 จากจำนวนประชากรทั้งหมด
ส่วน 4 จังหวัดชายแดนใต้ ทั้ง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส มีการฉีดวัคซีนไปเพียง 2.5 ล้านโดส โดยมีผู้ได้รับวัคซีนครบโดส อยู่ที่ร้อยละ 27.6 จากสัดส่วนประชากรที่มีอยู่ 3.5 ล้านคน ยังไม่นับว่า ในจำนวนวัคซีนที่มีการฉีดทั้งหมด 2.5 ล้านโดส เป็นวัคซีนเข็มที่ 2 เพียง 46,786 คน หรือราว 1.3 % ของสัดส่วนประชากรเท่านั้น
เมื่อแยกรายจังหวัด จะเห็นว่าเปอร์เซ็นสะสมต่อจำนวนประชากรของ นราธิวาส คือ40.51% ปัตตานี43.81% สงขลา49.00% และยะลา50.16% ขณะที่กรุงเทพมหานครมีเปอร์เซ็นสะสม สูงถึง101.78% (จากปัจจัยการรับวัคซีนเข็มที่ 3)
อีกทั้งจังหวัดเหล่านี้ (นอกจากกรุงเทพฯ และปริมณฑล) ส่วนใหญ่ยังได้รับการจัดสรรวัคซีนซิโนแวคมาก่อน หรือเป็นการฉีดวัคซีนสูตรไขว้ ซิโนแวคและแอสตราเซเนกา ต่างจากกรุงเทพฯ ที่ทุ่มแอสตราเซเนกาลงไป เพื่อปูพรมหยุดการระบาด
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/10/TheActive-โควิด-19-กับจังหวัดภาคใต้-03-1-1024x1024.jpg)
ต่างศาสนา ต่างมาตรการควบคุมโรคชายแดนใต้
หากเดินไปถามหมอตามโรงพยาบาลชุมชนพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนใต้ พวกเขาจะบอกว่า “อย่าเอาโมเดลการควบคุมโรคมาใช้กับที่นี่” เพราะบริบทที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด คือ เรื่องวัฒนธรรมและหลักศาสนาที่มีผลต่อพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้คน
กล่าวเฉพาะข้อมูลประชากร ระบบสถิติทางการทะเบียน ปี 2563 พบว่า พื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนใต้ คือ สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส มีประชากรรวมกันจำนวน 3.5 ล้านคน ไม่นับแรงงานต่างชาติ และคนข้ามแดนที่เป็นประชากรแฝง จากการสำมะโนประชากรและการเคหะ ปี 2553 มีประชากรมุสลิม 82.29% พุทธ 17.61% และอื่น ๆ 0.1% ข้อมูลโดยละเอียด กล่าวคือ
- ปัตตานี มีผู้นับถือศาสนาอิสลามมากที่สุด 87.96% มีคนพุทธประมาณ 12%
- ยะลา นับถือศาสนาอิสลาม 81.46% คนพุทธ 18.45%
- นราธิวาส นับถือศาสนาอิสลาม 82% คนพุทธ 17%
- สงขลา นับถือศาสนาอิสลาม 63.71% คนพุทธ 33.16%
ดังนั้น การรวมตัวและสัมผัสจะสัมพันธ์กับกิจกรรมทางศาสนา อาทิ การทักทายกันด้วยวิธี “สลาม” สัมผัสมือ หรือ
พิธีละหมาด กระทำวันละ 5 เวลา ได้แก่ ยามรุ่งอรุณ (ซุบฮี), ยามบ่ายช่วงตะวันคล้อย (ดุฮรี), ยามเย็น (อัศรี), ยามอาทิตย์ตกดิน (มัฆริบ) และยามค่ำคืน (อิชาอ์))
พิธีการถือศีลอด (ปอซอ ในภาษายาวี หรือ ศิยาม ในภาษาอาหรับ) หมายถึง การอดอาหารและเครื่องดื่ม และงดการร่วมประเวณี ตั้งแต่ยามรุ่งอรุณ จนกระทั่งถึงเวลาหลังตะวันตกดิน ปะกอบด้วย 1. ศีลอดภาคบังคับ ที่ชายหญิงมุสลิมที่บรรลุศาสนภาวะต้องปฏิบัติในเดือนรอมะฎอนทุกปี 2. ศีลอดภาคสมัครใจ ที่ชายหญิงมุสลิมถือศีลอดในวันอื่น ๆ นอกเดือนรอมะฎอน
พิธีฮัจญ์ ภาษามลายูปัตตานีเรียก บูวะฮายี คือการเดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจที่มักกะฮ์ (Mecca) ในเดือนซุลฮิจญะฮ์ (Dhu_al-Hijjah) ตามวันเวลา และสถานที่ต่าง ๆ ที่ทางศาสนาอิสลามกำหนดไว้ ซึ่งศาสนกิจข้อนี้เป็นหน้าที่สำหรับมุสลิมทั้งชายและหญิง ทุกคนที่มีความสามารถในด้านร่างกาย ทรัพย์สิน และการเดินทาง ที่จะต้องปฏิบัติ
ส่วนความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่อาชีพประมง เกษตร การค้า และปลูกยางพารา พบว่าในปี 2559 ประมาณ 44% ของผู้มีงานทำ (843,288 คน) ทำงานในภาคเกษตรกรรม
เมื่อพิจารณา “ความยากจน” พบว่า ในปี 2543-2560 อัตราความยากจนในพื้นที่นี้สูงกว่าระดับประเทศและระดับภูมิภาคตลอด ในปี 2560 จ.นราธิวาสและปัตตานี เป็นสองจังหวัดที่ยากจนที่สุดในประเทศ และผู้คนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนใต้ มักอยู่กันเป็นครอบครัวขยายขนาดใหญ่ อยู่กันเป็นเครือญาติ บ้านหนึ่งอยู่กันประมาณ 8-10 คน
และในเชิงพื้นที่กายภาพ พื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนใต้มีพื้นที่เขตแดนติดต่อกับประเทศมาเลเซีย ทำให้ภาษาที่ใช้สื่อสารเป็นภาษามลายูและการรับข้อมูลข่าวสารก็จะได้รับจากทางมาเลเซีย และผู้นำศาสนา ผู้นำชุมชน มากกว่าจาก “ศูนย์กลางอำนาจ” อย่างกรุงเทพมหานคร ผู้คนในพื้นที่จึงอาจได้รับข่าวสารการรณรงค์ด้านสุขภาพ ข้อมูลเกี่ยวกับโควิด-19 ต่างจากคนทั้งประเทศ และแน่นอน ข้อมูลด้านลบเรื่องประสิทธิภาพวัคซีนก็จะมาจากประเทศเพื่อนบ้านเป็นหลัก
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/10/TheActive-โควิด-19-กับจังหวัดภาคใต้-3-07-1-1024x1024.jpg)
คุมระบาดช้า ไวรัสกลายพันธุ์ กระจายเชื้อได้เร็ว
คนไทยอาจจะลืมไปแล้ว การระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อต้นปี 2563 คนกรุงเทพฯ อาจจะตกใจ ตื่นกลัวการระบาดจากคลัสเตอร์สนามมวย และสถานบันเทิงทองหล่อ ต้นเดือนมีนาคม 2563 มีคนไทย 132 คน กลับจากการชุมนุมของผู้เผยแพร่ศาสนา ณ กรุงกัวลาสัมเปอร์ มาเลเซีย และนี่คือจุดเริ่มต้นสำคัญของระบาดในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนใต้เป็นต้นมา
ด้วยเงื่อนไขเชิงบริบททั้งเป็นพื้นที่ชายแดน และวิถีชีวิต วัฒนธรรม การนับถือศาสนาที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ของประเทศทำให้การควบคุมโรคอุบัติใหม่นี้เป็นไปช้า ๆ ตลอดเกือบสองปีนี้ มีการระบาดของโควิด-19 อยู่ตลอดเวลาไม่เคยหายไป และยังพบเชื้อไวรัสโควิดกลายพันธุ์จากคนข้ามแดน โดยเฉพาะเชื้อ โควิดสายพันธุ์เบตามีชื่อเรียกว่า 501Y.V2 หรือ B.1.351 พบการกลายพันธุ์ที่แอฟริกา แต่ภายหลังที่พบการแพร่กระจายเป็นวงกว้างทั่วโลก พบครั้งแรกในประเทศไทย ที่คลัสเตอร์อ.ตากใบจ.นราธิวาส จนเชื้อเริ่มปักหลักอยู่ในพื้นชายแดนนี้
ขณะที่โควิดสายพันธุ์เบตา มีอาการเบื้องต้นของโรคเช่นเดียวกับโควิดสายพันธุ์อื่น ๆ ได้แก่ มีไข้ ไอแห้ง และอ่อนเพลีย สิ่งที่ทำให้ตรวจพบโรคโควิดสายพันธุ์เบตานี้ได้เร็ว คือ ผู้ป่วยมีประวัติเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง และสัมผัสกับผู้ติดเชื้อยืนยัน อาการที่พบอื่น ๆ ได้แก่ ปวดเมื่อยเนื้อตัว, เจ็บคอ, ท้องเสีย, ปวดศีรษะ, ตาแดง, สูญเสียความสามารถในการดมกลิ่นและรับรส, มีผื่นขึ้นที่บริเวณผิวหนัง หรือ นิ้วมือนิ้วเท้าเปลี่ยนสี
อาการโควิดจะรุนแรงเมื่อเชื้อลงปอด คือ ผู้ป่วยหายใจลำบาก ติดขัด หายใจถี่ มีเสมหะอยู่ในปอด เจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก สูญเสียความสามารถในการพูดและเคลื่อนไหว หลังจากที่ได้รับเชื้อแล้วผู้ป่วยมักจะแสดงอาการในวันที่ 5-14 วัน จึงเป็นช่วงเวลาที่ผู้เดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง ควรกักตัว อยู่ในที่พักอาศัย เพื่อเฝ้าระวังโรคติดต่อนี้
เนื่องจากโควิดสายพันธุ์เบตานี้ถูกจัดเป็น “ไวรัสกลายพันธุ์ที่น่ากังวลใจ (Variant of Concern : VOC)” จึงต้องเฝ้าระวังการติดต่อแพร่กระจายที่อาจเร็วกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิม (เชื้ออัลฟา หรือสายพันธุ์อังกฤษ) ในอัตราที่สูงขึ้น และคาดว่ามีความรุนแรงของโรคมากกว่า รวมถึงอาจลดประสิทธิภาพภูมิคุ้มกันของวัคซีน ลดประสิทธิภาพการรักษาที่มีอยู่ และอาจลดประสิทธิภาพของมาตรการด้านสาธารณสุขในสังคม
และต่อมา ไม่นาน ก็พบเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตา ฤทธิ์ร้ายที่เคยจู่โจม กรุงเทพฯ ซึ่งเป็น “ศูนย์กลางการระบาดและส่งออกเชื้อโควิด” ก็ค่อย ๆ คืบคลานมาจู่โจมที่พื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนใต้อย่างเงียบเชียบ กว่าจะรู้ตัวก็เพิ่มอัตราผู้ติดเชื้อใหม่รายวันและเสียชีวิตสูง นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งคอยเฝ้าระวังติดตามเชื้อโควิดกลายพันธ์จากการสุ่มตรวจผู้ป่วย พบข้อมูลที่น่าสนใจ คือ กรุงเทพฯ พบเชื้ออัลฟา 4,987 ตัวอย่าง และสายพันธุ์เดลตา 13,239 ตัวอย่าง ขณะที่ 4 จังหวัดชายแดนใต้ ตรวจพบสายพันธุ์เบตาสูงสุดในประเทศ 615 ตัวอย่าง เคยตรวจพบสายพันธุ์อัลฟา 2,835 ตัวอย่าง สูงกว่าเดลตา 733 ตัวอย่าง แต่วิกฤตโควิด 4 จังหวัดชายแดนใต้กำลังเปลี่ยนโฉมหน้า
นายแพทย์มัซลัน ตะเระ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลธารโต จ.ยะลา เข้าประชุมร่วมกับจังหวัด ในโอกาสที่ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ วันที่ 14 ตุลาคม 2564 ตัวแทนกรมควบคุมโรค ให้ข้อมูลว่า ถ้าไม่เร่งควบคุมโรค เดือนพฤศจิกายน จ.ยะลา อาจมีผู้ติดเชื้อรายวันพุ่งสูงถึงวันละ 2,200 คน และสถานการณ์จะลากยาวถึงเดือนมีนาคม 2565 เพราะโควิดสายพันธุ์เดลตากำลังโจมตีหนักขึ้นเรื่อย ๆ
Alpha | Beta | Delta | |
สิงหาคม 2564 | 70% | 20% | 10% |
กันยายน 2564 | 50% | 25% | 25% |
ตุลาคม 2564 | 25% | 25% | 50% |
พฤศจิกายน 2564 | จะหมดไป | 20% | เกือบทั้งหมด |
ดังนั้น เมื่อชายแดนใต้ พบโควิด-19 มากถึง 3 สายพันธุ์ จึงจำเป็นต้องใช้วัคซีนที่มีประสิทธิในการสร้างภูมิคุ้มกันและตัดวงจรการระบาด นี่เป็นเหตุผลทำไมกระทรวงสาธารณสุข เทวัคซีนไฟเซอร์สำหรับที่นี่ 1 ล้านโดส
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/10/TheActive-โควิด-19-กับจังหวัดภาคใต้-3-08-1-1024x1024.jpg)
วัคซีนคือคำตอบ
เมื่อสถานการณ์การระบาดพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ กำลังซ้ำรอยเช่นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เคยผ่านประสบการณ์วิกฤตสุขภาพครั้งใหญ่มา ประกอบกับบริบทที่รัฐบาลเข้าเกียร์เร่งการเปิดประเทศเพื่อการท่องเที่ยว 1 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรค ให้สามารถนั่งกินในร้านอาหารและสามารถเดินทางข้ามพื้นที่ได้ วันที่ 1 กันยายน ต่อมามีการคลายล็อกมาตรการคุมโรค ลดเวลาเคอร์ฟิว (การห้ามออกจากเคหะสถาน) จาก 21.00 น เป็น 22.00 น. จนถึงเวลา 04.00 น. และวันที่ 16 ตุลาคม ก็ลดเคอร์ฟิวจาก 22.00 น. เป็น 23.00 น. ถึงเวลา 04.00 น. ทำให้ผู้คนจำนวนมากออกมาใช้ชีวิตเกือบเป็นปกติเหมือนก่อนเกิดโรคระบาด
จึงเป็นเรื่องน่าท้าทายมาก เมื่อ ศบค. ประกาศผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคแบบเหมาเข่ง ขณะที่ 4 จังหวัดชายแดนใต้กำลังเผชิญกับวิกฤตการระบาด “ขาขึ้น” ยังไม่เห็นจุดสูงสุดที่จะทำให้ยอดตัวเลขตกลงมา วัคซีนจึงน่าจะเป็นคำตอบสำหรับสถานการณ์นี้
อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุข พยายามทุ่มทรัพยากรเพื่อหยุดยั้งการระบาด นอกจากวัคซีนไฟเซอร์ 1 ล้านโดสเพื่อฉีดให้ครอบคลุมประชากรเป้าหมาย 70% ภายในสิ้นเดือนตุลาคมนี้ เพื่อเร่งสร้างภูมิคุ้มกัน โดยในสัปดาห์นี้จะส่งวัคซีน 4 แสนโดส และสัปดาห์หน้าอีก 6 แสนโดสแล้ว ยังส่งยาฟาวิพิราเวียร์มาให้อีก จำนวน 1,800,000 เม็ด โดยแบ่งให้จ.นราธิวาส 200,000 เม็ด ปัตตานี 50,000 เม็ด สงขลา 1,200,000 เม็ด ส่วนยะลาส่งให้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 350,000 เม็ด พร้อมส่งชุดตรวจ ATK ให้กับบุคลากรทางการแพทย์อีก 140,000 ชุด
นายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ จ.สงขลา ตั้งคำถามว่า การจัดสรรวัคซีนแม้จะได้รับมากขึ้น แต่อาจจะสายเกินไปหรือไม่ เพราะในพื้นที่เกิดการระบาดใหญ่แล้ว ทั้งที่ การการระบาดต่อเนื่องมาตั้งแต่กลางกรกฎาคม ต่อเนื่องสิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่วัคซีนขาดแคลนทั้งประเทศ และต้องทุ่มวัคซีนไปที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เมื่อถึงเดือนกันยายนที่เริ่มมีการคลายล็อก ทำให้เกิดการระบาดเป็นวงกว้างยากที่จะควบคุมได้
“ข้อสังเกตสำคัญคือ การระบาดในชายแดนใต้น่ากังวล เนื่องจากเป็นพื้นที่ห่างไกล ที่ผ่านมาจึงอาจถูกละเลย ต่างจากการระบาดในกรุงเทพมหานคร”
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/10/TheActive-โควิด-19-กับจังหวัดภาคใต้-3-04-1024x1024.jpg)
การใช้กฎหมายความมั่นคง ช่วยควบคุมโรคได้จริงหรือไม่ ในพื้นที่ชายแดนใต้?
การเกิดขึ้นของ ศบค. ในสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 อาจทำให้ประชาชนในภูมิภาคอื่น ๆ เข้าใจกฎหมายพิเศษอย่าง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มากยิ่งขึ้น เพราะเป็นกฎหมายหลักที่ใช้ในการควบคุมโรคระบาดควบคู่กับ พ.ร.บ.โรคติดต่อ
แต่ไม่ใช่กับประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่อยู่กับสถานการณ์ความขัดแย้งและรุนแรงยืดเยื้อยาวนานถึง 17 ปี
กฎหมายพิเศษที่บังคับใช้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มี 3 ฉบับ คือ กฎอัยการศึก ที่เทียบเท่าพระราชบัญญัติ ส่วนอีก 2 ฉบับคือ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ประกาศใช้มาตั้งแต่ปี 2548 และ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร โดยพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ภายใต้กฎอัยการศึก และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และมีการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ในพื้นที่ส่วนน้อย ที่สถานการณ์ด้านความมั่นคงมีรุนแรงน้อยกว่า
ในส่วนของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ นั้น นอกจากจะเป็นการประกาศใช้เพื่อแก้ปัญหาความมั่นคง ที่ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่ทั้ง 3 จังหวัด (ยะลา ปัตตานี นราธิวาส) ในทุก ๆ 3 เดือน ล่าสุด เมื่อวันที่ 14 กันยายน ครม. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในท้องที่ 1. นราธิวาส ยกเว้น อ.ศรีสาครอ.สุไหงโก-ลก และอ.สุคิริน 2. ยะลา ยกเว้นอ.เบตง และอ.กาบัง 3. ปัตตานี ยกเว้นอ.ไม้แก่น และอ.แม่ลาน ออกไปอีก 3 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน – 19 ธันวาคม 2564
และเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2563 ในการระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย ก็มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพิ่มเติมเป็นครั้งแรกที่มีการประกาศใช้กับสถานการณ์โรคระบาด
มีการเปรียบเทียบพระราชกำหนดนี้กับพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ซึ่งหลายฝ่ายเสนอว่า ควรยกเลิกพระราชกำหนดฯ แล้วใช้อำนาจตามกฎหมายดังกล่าวแทน
ข้อเหมือน
- การกักตัวหรือควบคุมตัวบุคคล
- การเข้าออก ตรวจค้นเคหสถาน
- การสั่งห้ามใช้อาคาร หรืออยู่ในสถานที่ที่กำหนด
- การสั่งห้ามใช้เส้นทางคมนาคมหรือยานพาหนะที่กำหนด
ข้อแตกต่าง (ที่ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ให้อำนาจเจ้าหน้าที่กระทำได้ แต่ พ.ร.บ.โรคติดต่อ ไม่ให้)
- การประกาศเคอร์ฟิว
- คำสั่งห้ามชุมนุมหรือมั่วสุม
- การตรวจสอบหรือยับยั้งการสื่อสาร
- การอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ที่กำหนด
- การยกเว้นความรับผิดของพนักงานเจ้าหน้าที่
ยิ่งใช้กฎหมายเข้มยิ่งไม่ช่วยคุมการระบาด?
หลังจากการประกาศหยุดยิงฝ่ายเดียวจากขบวนการบีอาร์เอ็น เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563 แต่เจ้าหน้าความมั่นคงที่ปฏิบัติการในพื้นที่ก็ยังเดินหน้าใช้มาตรการปกติในการเข้าปิดล้อมตรวจค้นบุคคลต้องสงสัยในหมู่บ้าน แม้จะมีการเรียกร้องจากนักสิทธิมนุษยชน องค์กร ภาคประชาสังคมให้มีการยุติการปฏิบัติการในพื้นที่ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือกับคู่ขัดแย้งใน การยุติการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่สร้างความยากลำบากทางด้านสุขภาพ การศึกษา สังคมและเศรษฐกิจต่อประชาชน ทุกเพศ วัย ศาสนา
ซึ่งโฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคง ภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ส่วนหน้า) ยืนยันว่าหน่วยงานความมั่นคงจะดำเนินการต่าง ๆ เป็นไปตามปกติ รัฐจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมาย เนื่องจากฝ่ายความมั่นคงมองว่านโยบายด้านความมั่นคง ด้านการป้องกัน และการใช้กฎหมาย สามารถกำจัดเสรีภาพของผู้ก่อเหตุได้ ซึ่งสะท้อนแนวปฏิบัติของฝ่ายความมั่นคงที่ยังคงไม่ปรับเปลี่ยนท่าทีในการบังคับใช้กฎหมายพิเศษในสถานการณ์โควิด-19
นายแพทย์มัซลัน อุปมาอุปไมย “เคยฟังไหมว่าเหตุการณ์สงบ งบฯ ไม่มา…มันจะมีชุดความคิดนี้ฝังอยู่ลึก ๆ อยู่ในใจของคนในพื้นที่อยู่แล้ว เผอิญว่าโควิดมันไประบาดในมัสยิด ในชุมชนมุสลิม แล้วทำไมคนไทยพุทธไม่ระบาด ทำไมระบาดในมัสยิดอย่างเดียว ทำไมในวัดมันไม่ระบาดล่ะ พอสองชุดความคิดนี้มาอยู่ด้วยกัน ก็เลยเกิดแรงต้านจากชาวบ้านขึ้นมา”
ในช่วงแรกที่ชาวบ้านบางส่วนที่ยังไม่เข้าใจที่มาของโรค จึงไม่ค่อยต้อนรับแพทย์และพยาบาลที่ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมชุมชน จนเจ้าหน้าที่บางคนเกิดอาการท้อและไม่ต้องการลงพื้นที่อีก ซึ่งเขาต้องทำความเข้าใจกับทั้งทีมงานและชาวบ้านถึงความจำเป็นบางครั้งต้องใช้ “ไม้แข็ง” ในการแยกชาวบ้านออกมากักตัวรักษาที่โรงพยาบาลสนามที่ถูกจัดตั้งขึ้น
หรือการฉีดวัคซีนก็ตาม ในพื้นที่ห่างไกลนอกจากวัคซีนจะมาช้าแล้ว ความเชื่อและอุดมการณ์ของคนบางกลุ่มที่คิดว่าการฉีดวัคซีนเท่ากับการร่วมมือกับรัฐไทย และคนกลุ่มนี้ก็มีอิทธิพลทางความคิดกับชาวบ้านที่ลังเลกับการฉีดวัคซีนด้วย
“ผมเคารพในความคิดของทุกคน และพร้อมจะฉีดให้เสมอถ้าติดต่อมา ตอนนี้ที่โรงพยาบาลมีวัคซีนทุกยี่ห้อ เอาเบอร์ผมไปได้เลย จะไปฉีดให้ถึงที่”
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/10/TheActive-โควิด-19-กับจังหวัดภาคใต้-3-06-1024x1024.jpg)
1 พ.ย. 64 “สงขลา” พร้อมเปิดเมือง เปิดประเทศหรือยัง?
เมื่อพูดถึงลักษณะทางภูมิศาสตร์ “ชายแดนใต้” รวมจังหวัดสงขลาในบางอำเภอด้วย แต่สงขลาอาจมีรูปแบบสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม แตกต่างจากอีก 3 จังหวัดในภาพรวม นั่นหมายความว่า ปัจจัยการแพร่ระบาดและรูปแบบการควบคุมโรค ก็แตกต่างกันไปด้วย
“สงขลา” เป็นพื้นที่เศรษฐกิจ ศูนย์กลางของภาคใต้ตอนล่าง ตัวเลขทางเศรษฐกิจมากกว่าครึ่งมาจากอุตสาหกรรมการเกษตร อย่างการส่งออกยางพารา ขณะที่ศูนย์การส่งออกสินค้า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และบริการ 20% อยู่ที่อ.หาดใหญ่ แต่เฉพาะที่หาดใหญ่ รายได้เกือบ 80% พึ่งพาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจากคนจีนและคนมาเลเซีย
วันที่ 1 พฤศจิกายน นี้ อาจจะเปิดการท่องเที่ยวไม่ได้ทั้งหมด เพราะการแถลงของนายกรัฐมนตรี เป็นการเปิดน่านฟ้าการท่องเที่ยวจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่การจะเปิดการท่องเที่ยวชายแดนที่เดินทางผ่านด่านทางบก และเปิดสถานบันเทิงเต็มรูปแบบ จะเริ่มต้นได้ในวันที่ 1 ธันวาคม ซึ่งถือว่าเป็นเป้าหมายหลักของการท่องเที่ยวหาดใหญ่ ที่หากมาจากต่างประเทศ ก็จะมาผ่านทางด่านชายแดนมาเลเซีย นั่นหมายความว่าหากภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ไม่สามารถฉีดวัคซีนได้ 70% สถานการณ์ที่สงขลาจะวิกฤตยิ่งขึ้น เพราะเวลานี้ วัคซีน 1.4 ล้านโดสที่ถูกฉีดให้กลุ่มเป้าหมาย มีผู้ได้รับวัคซีนครบโดสแล้วเพียง เพียง 4.6 แสนคน หรือราวร้อยละ 31.49 เท่านั้น
แพทย์หญิงอภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษก ศบค. แถลงเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ว่า “หาดใหญ่” เป็นพื้นที่ที่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่กลุ่มใหญ่ที่สุด ส่วนอำเภอที่ติดกับ จ.ยะลา อย่าง จะนะ เทพา สะบ้าย้อย และรัตภูมิ ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยส่วนหนึ่งเป็นการสัมผัสผู้ติดเชื้อ และผู้สัมผัสเสี่ยงสูง จากพฤติกรรม วัฒนธรรม นั่งคุย จิบน้ำชายามเช้า กิจกรรมทางศาสนา ประเพณี เป็นเหตุให้ติดเชื้อ
นั่นทำให้ตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม เป็นต้นมาเจ้าหน้าที่ใน จ.สงขลา ประจำด่านตรวจในเส้นทางสายหลักที่เชื่อมต่อไปยังจังหวัดชายแดนภาคใต้อื่น ๆ จำนวน 4 ด่าน เพิ่มความเข้มงวดตรวจคัดกรองประชาชนที่เดินทางเข้ามาจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อสกัดการระบาดของโรคโควิด-19 แม้ จ.สงขลา จะพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นวันละหลายร้อยคนต่อเนื่องมากว่า 1 สัปดาห์ก็ตาม
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/10/TheActive-โควิด-19-กับจังหวัดภาคใต้-3-05-1024x1024.jpg)
ส่องสถานการณ์โลกมุสลิม ฉีดวัคซีนไปแล้วเท่าไหร่?
จริงอยู่ ว่าช่วงแรกของการรณรงค์ให้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในหลายประเทศทั่วโลก จะได้รับแรงต้านจากกลุ่มองค์กรทางศาสนา โดยเฉพาะกลุ่มประชาชนผู้นับถือศาสนาอิสลาม จากความเชื่อทางศาสนา แต่เมื่อมีความพยายามให้สื่อสาร ทำความเข้า และความมั่นใจในวัคซีน ทำให้หลายประเทศในโลกมุสลิมมีจำนวนผู้รับวัคซีนที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
แน่นอนว่า เมื่อดูจากรายชื่อประเทศที่คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม และมีจำนวนผู้ฉีดวัคซีนในลำดับต้น ๆ จะเป็นประเทศที่มีสถานะทางเศรษฐกิจดี เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บรูไน มัลดีฟส์ ซาอุดีอาระเบีย และบาห์เรน ต่างมีศักยภาพในการจัดหาวัคซีน แต่ปัจจัยสำคัญที่อาจปฏิเสธได้ยาก คือ ชนิดของวัคซีนที่ถูกกำหนดให้ฉีดประชากรในประเทศ มีผลต่อการสร้างความเชื่อมั่น หักล้างข้อมูลที่ถูกนำไปเชื่อมโยงกับความเชื่อทางศาสนา
เช่น หากต้องการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยไม่ต้องกักตัว พวกเขาอาจต้องการได้รับวัคซีนที่ประเทศปลายทางกำหนด การใช้แรงจูงใจนี้ เพื่อวางแผนจัดสรรวัคซีน ก็อาจช่วยทำให้สามารถสร้างภูมิคุ้มกัน และควบคุมการระบาดในพื้นที่ไปด้วยได้
นอกจากนี้ ปัจจัยเรื่องการรับข้อมูลข่าวสารของคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ก็เป็นเรื่องสำคัญหากต้องการสร้างแรงจูงใจให้คนในพื้นที่เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 อย่างที่ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลธารโต จ.ยะลา เปิดเผยว่า การควบคุมโรคระบาดชายแดนใต้จะใช้โมเดลเดียวกับกรุงเทพฯ ไม่ได้ เพราะพวกเขารับฟังข้อมูลข่าวสารจากฝั่งมาเลเซีย จึงอยากฉีดวัคซีนไฟเซอร์มากที่สุด และที่สำคัญ ที่นั่นยังมีการระบาดของสายพันธุ์เบต้า ซึ่งดื้อต่อวัคซีนซิโนแวค
หากประเทศไทยมีวัคซีนที่พร้อม อีกปัจจัยที่น่าสนใจ หากต้องการสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนชาวมุสลิมเข้ารับการฉีดวัคซีน ก็คือความจำเป็นที่ต้องรับวัคซีนตามที่แต่ละประเทศกำหนด เพื่อเดินทางข้ามประเทศในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่สำคัญ
ซาอุดีอาระเบีย
- ผู้ที่จะเดินทางเข้าประเทศซาอุดีอาระเบีย จะต้องแสดงผลการตรวจ PCR ของโควิด-19 เป็นลบ โดยทำการตรวจไม่เกิน 72 ชั่วโมง ก่อนการเดินทาง และต้องทำประกันโควิด-19
- ผู้ได้รับวัคซีนดังต่อไปนี้ คือ
2.1 แอสตราเซเนกา 2 โดส หรือ ไฟเซอร์ 2 โดส หรือ โมเดอร์นา 2 โดส หรือ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน 1 โดส และรับโดสสุดท้ายอย่างน้อย 14 วัน ก่อนเดินทางเข้าซาอุดีอาระเบีย มีภูมิคุ้มกันสมบูรณ์ และไม่ต้องกักตัว
2.2 ซิโนฟาร์ม 2 โดส หรือ ซิโนแวค 2 โดส หากได้รับวัคซีนตามข้อ 1.1 อย่างน้อย 1 โดส และรับโดสสุดท้ายอย่างน้อย 14 วันก่อนเดินทางเข้าซาอุดีอาระเบีย มีภูมิคุ้มกันสมบูรณ์ และไม่ต้องกักตัว - ผู้ที่ได้รับวัคซีนที่รับรองโดย WHO แต่ไม่ได้รับการรับรองโดยรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย (ข้อ 1.1) หรือ ได้รับวัคซีนตามข้อ 1.1 เพียง 1 เข็ม หรือ ไม่ได้รับวัคซีนใดเลย จะต้องเข้าสู่การ Quarantine ในโรงแรมที่อยู่ในกลุ่มโรงแรมที่รัฐบาลกำหนดเป็นเวลา 5 วัน โดยจะสามารถออกจาก Quarantine ได้หากผลการตรวจ PCR เป็นลบในวันที่ 5 หลังการมาถึงซาอุดีอาระเบีย ทั้งนี้ ผู้เดินทางควรจองสถานที่ Quarantine ผ่านสายการบินที่จะใช้บริการ
อินโดนีเซีย
- บุคคลทุกคนที่จะเข้าอินโดนีเซียจะต้องแสดง 1) ผลการตรวจ PCR ของ โควิด-19 เป็นลบ โดยตัวอย่างต้องเก็บไม่เกิน 72 ชั่วโมง ก่อนการเดินทาง และ 2) บาร์โค้ดการยืนยันการแจ้งเตือนทางสุขภาพ (electronic Indonesia Health Alert Certificate, e-HAC) ต่อเจ้าหน้าที่สนามบิน/เจ้าหน้าที่ Quarantine
- บุคคลทั่วไปที่จะเข้าอินโดนีเซียต้องแสดงเอกสารรายงานการรับวัคซีนแบบเต็มสูตร คือ
แอสตราเซเนกา 2 โดส หรือ ไฟเซอร์ 2 โดส หรือ โมเดอร์นา 2 โดส หรือ ซิโนฟาร์ม 2 โดส หรือ ซิโนแวค 2 โดส หรือ - จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน 1 โดส โดยลงทะเบียนล่วงหน้ากับเว็บไซต์ของทางการ และจะได้รับอีเมล์ยืนยันภายใน 3 วันทำการ
ข้อมูลการลงทะเบียนออนไลน์จะใช้อนุมัติการเข้ารับประทานอาหาร การเข้าสถานที่ราชการ และการเดินทางด้วยขนส่งมวลชน (ภายในเกาะเดียวกันหรือระหว่างเกาะ) ของบุคคลนั้นในอินโดนีเซีย
มาเลเซีย
พรมแดนมาเลเซียยังคงปิดสำหรับนักเดินทางระหว่างประเทศ ยกเว้นในกรณีฉุกเฉิน หรือในกรณีที่มีวัตถุประสงค์ทางธุรกิจหรือทางการ และจะต้องถูก Quarantine 14 วัน
อ้างอิง
- Coronavirus (COVID-19) Vaccinations
- ทำไมการปูพรมฉีดวัคซีนชายแดนใต้ จึงท้าทายกว่าพื้นที่อื่นของประเทศไทย ?
- นักระบาด ชี้ โควิด-19 กำลังกลายเป็นโรคประจำถิ่นของชายแดนใต้
- “สงขลา” ตั้งด่านสกัดคนเดินทางจาก 3 จังหวัดชายแดนใต้
- “สงขลา” ขึ้นอันดับ 2 รองจาก กทม. ติดโควิดสูงสุดรายวัน
- โควิด-19 : ผอ.รพ.ธารโตกับกลยุทธ์พิชิตความเชื่อ “โควิดทิพย์”
- พ.ร.ก. ฉุกเฉิน: ชีวิตคนไทยภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน รัฐบาลสะดวก-ประชาชนสะดุด
- ความท้าทายของกระบวนการสันติภาพจังหวัดชายแดนใต้ในสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19
- รู้จัก “โควิดสายพันธุ์เบตา” จับตาเฝ้าระวัง
- รายงานคุณภาพชีวิตประชาชน จ.ยะลา ปี 2562
- เมืองงาม สามวัฒนธรรม ธรรมชาติงามตา บรรยายสรุปจังหวัดปัตตานีประจําปี 2564
- กลุ่มงานข้อมูลสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานจังหวัดนราธิวาส
- บทบาทสตรีในสังคมมุสลิม: สถาบันนโยบายศึกษา (IPPS)
- ความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีต่อการบังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ในจังหวัดชายแดนภาคใต้