เพื่อจะหยุดวิกฤตการเมืองในขณะนี้ การกลับไปแก้ไข “รัฐธรรมนูญ 2560” ในฐานะกลไกจัดการอำนาจในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดูจะเป็นแนวทางที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด ทั้งจากฝ่ายผู้ชุมนุม นักเรียน นักศึกษา ประชาชน ไปจนถึงพรรคการเมือง ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน
แม้จะเห็นร่วม แต่หนทางที่จะเดินไปสู่แนวทางนั้น อาจจะไม่ง่ายนัก เพราะยังมีหลาย “ด่าน” ที่ต้องฝ่าข้ามไป ตั้งแต่กลไกตั้งต้นอย่าง “สเปกสภาร่างรัฐธรรมนูญ” ที่ยังมีความเห็นที่แตกต่าง ไปจนถึงเงื่อนปมที่ถูกผูกไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ทั้งจำนวนเสียง ส.ส. และ ส.ว. ข้อกำหนดให้ต้องทำประชามติ ไปจนถึงอาจมีการยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เงื่อนปมเหล่านี้ หากยิ่งแก้ออกช้า ย่อมส่งผลต่อวิกฤตที่อาจจะยิ่งยืดเยื้อและรุนแรงขึ้น
The Active ประมวลข้อมูลความแตกต่าง และความยากของแต่ละด่านให้เห็น เพื่อชวนกันร่วมหาวิธี “ผ่านด่าน” ที่ดีที่สุด
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2020/08/ภาพฝ่าด่าน-รธน-1024x684.jpg)
เทียบสเปก “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” ก่อนประชุมร่วมสองสภา
มีความชัดเจนแล้วว่า แนวทางในแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 โดยแก้ไขมาตรา 256 กำลังเดินหน้าไปสู่การ มี “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ “ทั้งฉบับ” ไม่ใช่แค่เพียงการแก้ไขบางมาตราหรือบางหมวดที่เป็นปัญหาเท่านั้น
ข้อเสนอดังกล่าวถูกผลักดันอย่างต่อเนื่อง จากทั้งคณะประชาชนปลดแอก กลุ่มเยาวชนปลดแอก และนักเรียนนักศึกษา ผ่านการชุมนุมทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการชุมนุมทางการเมือง เมื่อวันที่ 10 และ 16 ส.ค. รวมทั้งพรรคร่วมฝายค้าน จนรัฐบาลค่อย ๆ ปรับท่าที จากที่ในระยะแรกไม่ได้สนับสนุนให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญมายกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ มาสู่การยอมมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ
ล่าสุด พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระบุว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล แต่จะแก้ไขอย่างไรเป็นเรื่องของคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) และนำมาสู่การประชุมร่วมของวิป 3 ฝ่ายได้แก่ วิปรัฐบาล ฝ่ายค้าน และวุฒิสภา จนได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า จะมีการประชุมร่วมกันของ “รัฐสภา” เพื่อพิจารณาญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 256 เสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมต่อรัฐสภาในวาระแรก ในวันที่ 23-24 ก.ย. นี้
โดยญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญจากทั้งฝ่ายค้าน รัฐบาล และ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ชุดที่มี พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นประธาน ต่างมีหลักการสำคัญตรงกันคือเปิดทางให้มีการตั้ง “สภาร่างรัฐธรรมนูญ”
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2020/08/4-6-1024x576.jpg)
ส.ส.ร. ตามข้อเสนอวิปรัฐบาล – ฝ่ายค้าน
วิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล สรุปสาระสำคัญของญัตติเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลในเบื้องต้นว่า “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” (ส.ส.ร.) จะมีสมาชิก 200 คน โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ มาจากการเลือกตั้งจากแต่ละจังหวัด 150 คน และอีก 50 คน มาจากการ “แต่งตั้ง” หรือให้เลือกตั้งโดยอ้อม ประกอบด้วย นักวิชาการด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์และอื่น ๆ รวมถึงตัวแทนนิสิต นักศึกษา และนักเรียน
ส่วนมติพรรคร่วมฝ่ายค้าน 5 พรรค นำโดยพรรคเพื่อไทย (ยกเว้นพรรคก้าวไกล) เสนอให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 200 คนเช่นเดียวกัน แต่ให้มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด โดยแบ่งจำนวนตามสัดส่วนประชากรแต่ละจังหวัด
นอกจากนี้ ยังกำหนดกรอบเวลาในการยกร่างฯ ว่าจะต้องเสร็จภายใน 240 วัน (แม้มีการยุบสภาก็ไม่กระทบการทำหน้าที่) เสร็จแล้วเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบ และแม้ผ่านรัฐสภาแล้ว ก็ต้องนำร่างรัฐธรรมนูญนั้นมาผ่านกระบวนการออกเสียงประชามติอีกครั้ง
คุณสมบัติคร่าว ๆ ของ ส.ส.ร. ที่ฝ่ายค้านเสนอไว้เบื้องต้น คือ อายุไม่ต่ำกว่า 35 ปี “ไม่เคยเป็น” สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สมาชิกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สมาชิกสภาปฏิรูปประเทศ (สปช.) คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ หรือพูดง่ายๆ ว่า ส.ส.ร. ที่ฝ่ายค้านต้องการ คือ ต้องเป็นบุคคลที่ “ไม่เคยข้องแวะกับ คสช.มาก่อน” นั่นเอง
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2020/08/1-6-1024x682.jpg)
ส.ส.ร. ตามข้อเสนอภาคประชาชน
ส่วนภาคประชาชนนำโดยโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) ที่กำลังล่ารายชื่อ 50,000 คน ผ่านแคมเปญ ร่วมรื้อ ร่วมสร้าง ร่วมร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็เสนอให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 200 คน มาจากการเลือกตั้งเช่นเดียวกัน แต่กำหนดให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับภายใน 360 วัน
พร้อมกำหนดคุณสมบัติของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะยกร่างขึ้นว่า จะต้องไม่ด้อยไปกว่ารัฐธรรมนูญ 2540 ที่เคยเรียกกันว่า “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน” เพราะภาคประชาชนมีส่วนร่วมเสนอความเห็นอย่างกว้างขวาง จนเกิดกระแสธงเขียว กดดันให้รัฐสภาต้อง “รับร่างรัฐธรรมนูญ” ทั้งฉบับ และประกาศใช้
จะเห็นได้ว่าข้อเสนอของทุกฝ่าย ยังเชื่อว่าการเลือกตั้ง ส.ส.ร. ในแต่ละจังหวัดน่าจะเป็นกลไกการคัดเลือก ส.ส.ร. ที่เหมาะสมที่สุด มีเพียงข้อเสนอจากรัฐบาลเท่านั้น ที่ยังมี ส.ส.ร. จากการแต่งตั้งหรือเลือกโดยอ้อม จำนวน 50 คน
ส่วนกรอบเวลาในการยกร่างรัฐธรรมนูญต่างกันเล็กน้อย คือ ฝ่ายค้านให้ยกร่างฯ เสร็จภายใน 240 วัน ส่วนภาคประชาชนเสนอ 360 วัน ขณะที่รัฐบาลยังไม่ได้ลงรายละเอียดในเรื่องนี้
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2020/08/2-4.jpg)
แง้มประตูที่เกือบปิดตาย – ฝ่า 3 ด่านทั้งนอกและในสภา
การพิจารณาญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระแรกที่จะเกิดขึ้นปลายเดือนกันยายนนี้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการแง้มประตูไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ซึ่งขั้นตอนและวิธีการกว่าจะมี ส.ส.ร. ชุดใหม่ได้ยังอีกยาวนาน และกว่าจะแง้มประตูได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกลไกการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่วางไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ยังมีอีกหลายด่าน และแต่ละด่านก็ล้วนแต่มีความ “ยาก” จนถูกวิจารณ์ว่าเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เกือบจะเป็นไปไม่ได้
เริ่มตั้งแต่ ด่านแรก “วาระที่ 1 รับหลักการ” ต้องใช้เสียง “ไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง” ของสมาชิกของสองสภา (375 จาก 750 เสียง) และในจำนวนนี้ ต้องเป็นคะแนนเสียงเห็นชอบจาก ส.ว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 คือ 84 เสียง และต้องใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย
“วาระที่สอง พิจารณารายมาตรา” ถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ หรือ 376 เสียง และหากเป็นร่างแก้ไขที่ประชาชนเป็นผู้เสนอ ต้องเปิดโอกาสให้ผู้แทนประชาชนเสนอความคิดเห็นด้วย
“วาระที่สาม เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างแก้ไขทั้งฉบับ” ต้องใช้คะแนนเสียงมากกว่าครึ่งหนึ่งของสมาชิกสองสภา หรือ 376 เสียง และในจำนวนนี้ต้องได้เสียงเห็นชอบจาก ส.ว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 คือ 84 คน และต้องได้เสียงเห็นชอบจาก “ส.ส. ฝ่ายค้าน” ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของฝ่ายค้านทั้งหมด
ด่านที่สอง เนื่องจากเป็นการแก้ไขในหมวดที่มีความสำคัญ คือ หมวดการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ จึงมีการบังคับให้ต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติ ตามกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติแม้ว่ารัฐสภาจะมีมติเห็นชอบแล้ว
และ ด่านที่สาม คือ ศาลรัฐธรรมนูญ โดยเปิดช่องไว้ว่า ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะนำร่าง รัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมขึ้นทูลเกล้าฯ ยังให้ ส.ส. หรือ ส.ว. หรือ สมาชิกทั้งสองสภารวมกัน มีจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของแต่ละสภาหรือของทั้งสองสภารวมกัน สามารถเข้าชื่อต่อประธานสภาที่ตนเองสังกัด เพื่อส่งร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยภายใน 30 วัน หากเห็นว่ามีเนื้อหาที่เข้าข่ายขัดต่อมาตรา 255 คือ เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ
หากพิจารณาจากสมัยการประชุมของรัฐสภาที่จะสิ้นสุดสมัยประชุมครั้งที่ 1 ในวันที่ 24 ก.ย. นี้ และเปิดสมัยประชุมอีกครั้งใน พ.ย. – ก.พ. 2564 คาดว่ากว่าจะพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 3 วาระเพื่อตั้ง “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” รวมทั้งผ่านกระบวนการออกเสียงประชามติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 น่าจะใช้เวลาอย่างน้อย 5-6 เดือน หรือประมาณ ก.พ. – มี.ค. 2564
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2020/08/9-4-1024x577.jpg)
กรอบเวลาหลังมี “สภาร่างรัฐธรรมนูญ”ใหม่
เมื่อร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ผ่านความเห็นชอบมีผลบังคับใช้แล้ว จึงจะเริ่มนับหนึ่งให้มีกระบวนการเลือกตั้ง ส.ส.ร. ในแต่ละจังหวัดเพื่อ “เริ่มต้น” ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ และจากกรอบระยะเวลาในการยกร่างฯ ที่แต่ละฝ่ายกำหนดไว้ว่าจะใช้เวลาขั้นต่ำอีก 8 เดือน – 1 ปี
ยังไม่รวมระยะเวลาในการนำร่างรัฐธรรมนูญไปเผยแพร่ เพื่อให้ประชาชนออกเสียงประชามติ และระยะเวลารอคำวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญ (ถ้ามี ส.ส.หรือ ส.ว.เข้าชื่อเสนอไป) ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ซึ่งประเมินว่าต้องใช้เวลาทั้งหมดอีกประมาณ 15 – 18 เดือน หรือปีเศษหลังมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ ขณะที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จะครบวาระ 4 ปีในกลางปี 2566