![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/10/3A097E5C-F211-46E7-923E-D8949C8D2C25-1024x499.jpeg)
เวทีเสวนาออนไลน์ “ ตีแผ่ปัญหาสังคมและความเหลื่อมล้ำ บนความล้มเหลวของรัฐบาลประยุทธ์ ” ที่จัดขึ้นโดยองค์กรชุมชน และภาคประชาสังคมจาก 5 ภูมิภาค เมื่อ 30 กันยายนที่ผ่านมา สมบูรณ์ คำแหง ที่ปรึกษาคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคใต้ ผู้ดำเนินการเสวนา กล่าวว่า เป็นระยะเวลายาวนานในการบริหารประเทศของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ โจทย์การฉายภาพเรื่องความเหลื่อมล้ำในสังคมในครั้งนี้ จึงหมายรวมตั้งแต่ช่วงยึดอำนาจยุค คสช. จนถึงในยุคการเลือกตั้ง เพื่อตีแผ่ความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่เกิดขึ้นให้คลอบคลุมแต่ละมิติ แต่ละประเด็น เช่น ปัญหาด้านที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัย เกษตรแรงงาน และเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนที่ดำเนินการในพื้นที่ตนเองในแต่ละมิติ เพื่อให้เห็นว่า 7-8 ที่ผ่านมาเกิดปัญหาอะไรขึ้นและจะต้องแก้ไขอย่างไร
ภาคประชาชนต่อคิว ตีแผ่ความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้นในรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จี้ปลด “จุติ” จาก ครม.”
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/10/B30C6A08-DCBD-4F66-AD9A-2257C1743A80.jpeg)
นุชนารถ แท่นทอง เครือข่ายสลัมสี่ภาค วิพากษ์การทำงานของนาย จุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) ซึ่งเป็นกระทรวงสำคัญ ที่นอกจากเกี่ยวข้องกับเรื่องที่อยู่อาศัยแล้ว ยังเป็นเรื่องสวัสดิการ และที่เป็นประเด็นขณะนี้ คือเรื่องปัญหาเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ โดยวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา เป็นวันที่ข้าราชการเกษียณอายุ ได้รับเงินบำนาญ แต่กลับมีประชาชนจำนวนมากไม่มีรายได้ ที่อายุ 60 ปีแล้ว ยังต้องทำงานอยู่ แต่พอเครือข่ายภาคประชาชน เสนอให้ผลักดันเบี้ยยังชีพเป็นบำนาญ 3,000 บาท เพราะเบี้ยยังชีพประมาณ 600 บาท ไม่เพียงพอ
แต่แนวคิด ของ รมว.พม. กลับบอกกับคณะกรรมการผู้สูงอายุ ว่างบฯผู้สูงอายุเป็นปัญหาหนักทำให้ค่าใช้จ่ายของรัฐบาลสูง เพราะฉะนั้นต้องเลือกที่จะให้ และล่าสุดเมื่อภาคประชาชนไปคัดค้านกรณีนี้ และเรียกร้องบำนาญถ้วนหน้า แต่ท่าทีของ รมต. กลับไม่ตอบรับอะไรเลย บอกว่าไม่มีใครมีอำนาจตัดสินใจ แต่ต้องตัดสินใจด้วยระบบที่มีอยู่ แต่ในความจริงระบบที่ว่า ไม่ได้มีส่วนร่วมของภาคประชาชนที่เป็นผู้เดือดร้อน อนุกรรมการผู้สูงอายุ ก็มาจากราชการ ซึ่งไม่เคยลำบาก
“ท่าทีคือ ไม่ตอบรับไม่พอ ข้อมูลที่เราได้มา คือรัฐมนตรีท่านนี้ยังต่อว่า พอช.ว่าสนับสนุนให้เครือข่ายสลัมสี่ภาคมาชุมนุมหรือไม่ ดังนั้นด้วยท่าทีแบบนี้ เราคิดว่ากระทรวงนี้ จึงไม่เหมาะสมกับรัฐมนตรีท่านนี้ ”
เรื่องที่ 2 คือเรื่องสถานการณ์โควิด- 19 ที่ผ่านมาภาคประชาชนต้องลุกมาดำเนินการก่อนที่รัฐจะทำ เพราะเป็นเรื่องที่รอไม่ได้ แต่สุดท้ายกลับโยนความผิดให้คนสลัม ว่าเป็นคลัสเตอร์ใหญ่ โดยไม่มองถึงต้นปัญหาว่าไม่มีที่รองรับ บ้านหลังเล็กอยู่กันแออัดถึง 10 คน กักตัวรวมเกือบเดือน ปิดกิจการต่างๆ กระทบลูกจ้าง แต่ไม่มีการเยียวยาแบบถ้วนหน้า สะท้อนชัดว่าปัญหาสำคัญ คือ มาตรการรัฐไม่มีความพร้อมในการรับมือ
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/10/B5953AA4-9CE7-4BA5-8EEF-1D53C723068D.jpeg)
สุนทรี เซ่งกิ่ง กรรมการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ สะท้อนมุมปัญหาต่อกลุ่มแรงงานนอกระบบ คือกลุ่มคนที่ใช้แรงงานในการหาเลี้ยงชีพ อยู่นอกระบบการจ้างงานหรือเศรษฐกิจที่เป็นทางการ เช่น คนขับแทคซี่มอเตอร์ไซต์รับจ้าง หาบเร่ แผงลอย คนเย็บเสื้อโหลที่บ้าน โดยคนเหล่านี้มีทั้งที่มีนายจ้าง และประกอบอาชีพอิสระผลิตสินค้าขายด้วยตัวเอง แต่ที่เหมือนกัน คือมีฐานะยากจน ค่าจ้างน้อย ไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน ดังนั้นสวัสดิการของรัฐเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ ต้องมีที่เรียนฟรีรักษาพยาบาลฟรี มีบำนาญเลี้ยงในช่วงแก่ตัวไม่มีเรี่ยวแรง แรงงานนอกระบบจึงต้องใช้สวัสดิการสังคม
แต่รัฐบาลชุดนี้ กลับไม่เข้าใจสวัสดิการสังคม เพราะตอนที่ตนนั่งเป็นกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติตอนนั้นช่วงแรกๆของยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ก็มีแนวคิดจะยกเลิกหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ คือยกเลิกการรักษาฟรีถ้วนหน้า รักษาเฉพาะคนจน จึงชัดว่าเป็นแนวคิดเดียวกับที่จะทำเบี้ยผู้สูงอายุ เฉพาะคนจน
“ อันที่จริงเงินที่มาจัดสวัสดิการ ไม่ใช่เงินนายกรัฐมนตรี หรือ รมต.พม.แต่เป็นเงินภาษีประชาชน ชัดว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่เข้าใจ ว่าสวัสดิการถ้วนหน้า คือเครื่องมือลดความเหลื่อมล้ำ คิดแต่ว่าเป็นภาระค่าใช้จ่ายสูงของรัฐ ซึ่งเห็นความพยายามซ้ำแล้วซ้ำเล่าในรัฐบาลชุดนี้ ที่จะให้เฉพาะเจาะจง ”
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/10/816A98B3-97C6-4C43-8904-5B77D25F9908.jpeg)
สังคม เจริญทรัพย์ คณะกรรมการประสานงานองค์กรชุมชน (คปอ.) กล่าวถึงข้อกล่าวหาว่า พอช.ออกมาสนับสนุนภาคประชาชนให้เคลื่อนไหวคัดค้าน รมว.พม.โดยยืนยันไม่เป็นความจริง และ คปอ.ซึ่งจะมีตัวแทนมาจากประเด็นต่างๆในระดับพื้นที่ หรือชาวบ้าน ไม่ได้อยู่ในอันเดอร์ พอช. และจะคิดว่าต้องสั่งได้ กำกับได้ เป็นเรื่องที่คิดผิดอย่างมาก เพราะพวกเราไม่ได้มีนายเป็นรัฐมนตรี เป็นหน่วยงานราชการ หรือ ไม่มีนายเป็น พอช.
เราจึงไม่ต้องการรัฐมนตรีที่ไม่เข้าใจ ว่าพวกเราจะพัฒนาสังคมให้เข้มแข็งได้อย่างไร มองแค่ได้รับเงินจากรัฐบาลมาเท่าไหร่ ก็สงเคราะห์ไป คนชราได้กี่คน เด็กได้กี่คน เป็นวิธีการแบบประชาสงเคราะห์
“ เราเสียดายเวลา 7 ปีของท่าน ขณะที่รัฐมนตรีที่เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาล อย่าง รมว.พม.เมื่อไม่สนับสนุนการทำงานของชาวบ้าน และยังจะทำลายองค์กรที่สนับสนุนชาวบ้านด้วย เราไม่อยากทำงานกับรัฐมนตรีคนนี้ ขอปลดรัฐมนตรีคนนี้ และขอชี้แจงว่า พอช.ไม่ได้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ”
ภาคประชาชน ชี้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ รวมศูนย์จัดสรรทรัพยากร สร้างความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/10/6014FC34-7D15-4DAF-9D77-ADC0AE183EA3-1024x720.jpeg)
พชร คำชำนาญ เจ้าหน้าที่สื่อสาร มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ กล่าวว่า 7 ปีของรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาและการมีอยู่ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และปัจจุบันภายใต้การนำของพรรคชาติไทยพัฒนา นายวราวุธ ศิลปอาชา ไม่มีวิสัยทัศน์ในการจัดการพื้นที่ป่า และเป็นต้นเหตุความเหลื่อมล้ำ
ไล่เลียงตั้งแต่ช่วงยุครัฐบาล คสช. หลังการทำรัฐประหาร ก็มีการออกคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 64 /2557 เป็นคำสั่ง คสช. ฉบับแรกที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ดินป่าไม้ ที่น่าสงสัยแล้วก็น่าตั้งคำถามว่า ทำไมเรื่องพื้นที่ป่าจึงกลายเป็นวาระแรก ๆ ที่รัฐบาลทหารตั้งใจที่จะขยายอำนาจเข้าไป และแม้สุดท้ายคำสั่งนี้จะถูกยกเลิกไป แต่เหมือนว่าสิ่งนี้ยังไม่ถูกยกเลิก เพราะวันที่ 6 สิงหาคม เมื่อปี 2557 มีแผนแม่บท แก้ไขปัญหาการทำลายทรัพยากรป่าไม้ที่ดินของรัฐ การบริหารจัดการทรัพยากรป่าไม้อย่างยั่งยืน หรือว่าเรียกสั้นๆว่าแผนแม่บทป่าไม้ขึ้นมา แต่จริงแล้วๆหากดูรายละเอียดของแผนแม่บทป่าไม้นี้ กลับเป็นการเข้ายึดพื้นที่ห้ามประชาชนทำกิน
“ ที่น่าตั้งข้อสังเกต จะเห็นว่าคดีบุกรุกป่าทั้งหมด คือประมาณ 13,713 คดี แต่ที่แปลก คือ คดีมีตัวผู้กระทำความผิดก็คือจับคนได้ซึ่งหน้า จับคนเข้าคุกได้ เข้ากระบวนการยุติธรรมได้ 1,484 คดี เท่านั้นเอง ประมาณไม่ถึง 10% ของตัวเลขทั้งหมด แล้วที่จับตัวผู้กระทำความผิดไม่ได้ก็คือ 12,229 คดี เป็นตัวเลขที่สูงมาก นั่นหมายความว่าปฏิบัติการกฎหมายแล้วก็แผนแม่บททั้งหมด มันสะท้อนให้เห็นว่า จริงๆแล้วปฏิบัติการของกระทรวงทรัพย์ฯ ไม่ใช่การจับคนผิด แต่คือการยึดที่ดิน”
ทั้งนี้ยังพบว่าในช่วงการบริหารงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมคนปัจจุบันมีอีกหลายคดี หลายกรณีที่เกิดขึ้นกับชาวบ้านในพื้นที่ป่า แต่ที่ชัดเจนอย่างมากคือกรณีบางกลอย ที่ชาวบ้านเพียงแค่กลับไปทำกินตามวิถีที่ดินทำกินเดิมของพวกเขา เพราะที่รัฐจัดสรรให้ทำกินไม่ได้ และพวกเขาได้รับผลกระทบหนักจากโควิด แต่สุดท้ายกลับโดนคดี ซึ่งตรงข้ามและย้อนแย้งกับข้อมูล 5 ตระกูลที่ถือครองที่ดินมากที่สุดในประเทศไทย บางตระกูลมีที่ดินในมือเท่ากับจังหวัดทั้งจังหวัด นี่คือความเหลื่อมล้ำชัดเจน เป็นนโยบายที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำชัดเจนมาก
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/10/036E66AB-CBFA-47E7-B42D-6C81829F5C6B.jpeg)
วิศรุต ศรีจันทร์ เจ้าหน้าที่ภาคสนาม มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ กล่าวว่าความล้มเหลวภายใต้รัฐบาล 7 ปี ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ปัญหาเกิดขึ้นหลังมีการฉีกรัฐธรรมนูญปี 2550 แล้วเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ปี 2560 ซึ่งเขาเห็นว่า ตัดตอนและริดรอนสิทธิของภาคประชาชน ที่เป็นหัวใจหลักสำคัญ รวมถึงยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ส่งผลต่อการจำกัดสิทธิของภาคประชาชน อีกส่วนคือคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ที่กำลังพยายามรวมศูนย์ในการจัดการที่ดินและทรัพยากรทุกมิติ และออกกฎหมายนโยบายที่จำกัดสิทธิกดทับประชาชน สะท้อน 3 ปัญหาหลัก คือรวมศูนย์ผูกขาด,ครอบครอง กระจุก , จนนำมาสู่ปัญหาการจนกระจาย จึงมี 3 ข้อเสนอ คือการทำโฉนดชุมชน การมีภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้า และการจัดการที่ดินและทรัพยากรที่สอดคล้องกับบริบท และอีกส่วนที่สำคัญมาก คือการบัญญัติเรื่องจัดการที่ดินและทรัพยากรไว้ในรัฐธรรมนูญ
ภาคประชาชน ตั้งเป้าเปลี่ยนแปลงสังคมสู่ความเท่าเทียมทุกมิติ ลดเหลื่อมล้ำด้วยสวัสดิการประชาชน ตั้งแต่เกิดจนตาย
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/10/61C11A72-8EAC-410D-A96D-56A6BFE9DA5E-1024x778.jpeg)
ชัชวาล ทองดีเลิศ ประธานคณะกรรมการอำนวยการ สภาลมหายใจเชียงใหม่ กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้ประกาศว่าจะลดความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แต่เท่าที่ฟังหลายคนกลับเห็นว่า เป็นรัฐบาลที่สร้างความยากจน ขยายความเหลื่อมล้ำ ทิ้งคนจนและอุ้มคนรวย และที่สำคัญคือการควบคุมองค์กรชุมชนและองค์กรพัฒนาเอกชนและภาคประชาสังคมด้วย ให้โอกาสนายทุนที่มีที่ดินมหาศาล ให้ผูกขาดระบบเศรษฐกิจ ระบบกินรวบได้ทั้งระบบ และเมื่อรัฐนี้เป็นรัฐราชการที่สืบทอด คสช.เพราะฉะนั้นการรวมศูนย์อำนาจ การกระชับอำนาจ การปกป้องโครงสร้างอำนาจเดิมจึงมีการกระชับและทำเข้มข้นมาก และสิ่งสำคัญที่สุดคือการไปกำหนดทิศทางพัฒนา อันนี้แหละที่สร้างความไม่เป็นธรรมสร้างความเหลื่อมล้ำมากขึ้น
“ และในสถานการณ์โควิด และสถานการณ์ใหม่ที่จะเกิดข้างหน้า เชื่อว่าจะทำให้สังคมเห็นปัญหาชัดเจนมากขึ้น ทั้งปัญหาความเหลื่อมล้ำ ยากจนหลายๆเรื่อง มันสะท้อนว่า ปัญหาเก่าไม่แก้ไข ปัญหาใหม่วิกฤต เราเห็นภาพวิกฤตสุขภาพ ทั้งโควิด มลพิษธรรมชาติ มีวิกฤตทางสิ่งแวดล้อม วิกฤตทรัพยากรเสื่อมโทรม เศรษฐกิจพังชาวบ้านยากจน ขยายจำนวนมาก ”
ชัชวาล ระบุด้วยว่า ที่สำคัญคือวิกฤตทางการเมือง เพราะดูแล้วไม่สามารถพาสังคมไปสู่สังคมสันติสุขได้ หลังเกิดวิกฤตเศรษฐิกิจ แรงงานต้องกลับบ้าน คนรุ่นใหม่กลับบ้าน แต่ต้องไปเจอกับการล๊อคทรัพยากรธรรมชาติ ที่ถูกประกาศเป็นเขตอนุรักษ์ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ เขตป่าสงวน คิดเป็น 40% หรือ 8 ล้านไร่ หรือเกือบครึ่งของประเทศ ประชาชนที่ถูกล๊อคในพื้นที่เหล่านี้ คือชุมชนที่ถูกประกาศทับที่ทำกินที่อยู่อาศัย ถูกละเมิดสิทธิชุมชน ถูกจำกัดสิทธิการพัฒนาเพราะทุกกระทรวงไม่สามารถเข้าไปพัฒนาได้เลย นี่คือการสร้างความเหลื่อมล้ำชัดเจน ยังไม่เห็นวิสัยทัศน์ในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้
“ ผมคิดว่า คงต้องถึงเวลาแล้ว ที่ขบวนองค์กรชุมชน พี่น้องชุมชนต่างๆ องค์กรพัฒนาทุกข่ายคงต้องเชื่อมเครือข่ายพลังสังคมต่างๆ สร้างการเปลี่ยนแปลงชัดเจนมากขึ้น ผนึกกำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงสังคมนี้ เพื่อไปสู่สังคมเป็นธรรม เท่าเทียม ”
ต้องมีการเปลี่ยนแปลงระบบการจัดการทรัพยากรใหม่ ต้องกระจายการถือครองที่ดิน เพื่อให้ทุกคนมีความมั่นคงในเรื่องที่ดิน ที่อยู่อาศัยต้องเป็นธงสำคัญ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรม เป็นระบบเศรษฐกิจที่แบ่งปัน ระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นเข้มแข็งขึ้น การผลิตยั่งยืน ลดความสูญเสียทางสิ่งแวดล้อม
ที่สำคัญทางด้านสังคม ต้องมีระบบสวัสดิการชัดเจนตั้งแต่เกิดจนตาย การเคารพความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม สุดท้ายคือการเปลี่ยนแปลงระบบการเมือง เริ่มจากประชาธิปไตยที่ชัดเจนก่อน มีการกระจายอำนาจสิทธิชุมชนชัดเจน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมในสังคม