ตำรวจส่งตัวผู้ต้องหาเข้าเรือนจำกลาง จ.เพชรบุรี ส่วนชาวบ้านที่เหลืออีก 63 คน เจ้าหน้าที่นำส่งกลับบางกลอยล่าง ขณะที่ภาคประชาชน ออกแถลงการณ์กังวล ปฏิบัติการนำไปสู่ความขัดแย้ง ปิดทางข้อตกลงร่วมแก้ไขปัญหา
เมื่อช่วงค่ำวันนี้ (5 มี.ค. 2564) ประกิต วงศ์ศรีวัฒนกุล รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช แถลงข่าวสรุปผลการปฏิบัติการเคลื่อนย้ายผู้บุกรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี โดยระบุว่า ปฏิบัติการที่เกิดขึ้นตลอดทั้งวันนี้ เป็นไปตามคำสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี ที่แต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาบางกลอย โดยก่อนหน้านี้ กรมอุทยานฯ ได้ตรวจสอบพื้นที่การบุกรุกป่าแก่งกระจาน บริเวณบางกลอยบน พบการบุกรุกเพิ่มเติมต่อเนื่อง โดยการแผ้วถาง ทำไร่ จำนวน 30 แปลง เนื้อที่รวมกว่า 157 ไร่ และได้ขอหมายศาลจับกุมผู้กระทำผิด ตามกฎหมายอุทยานแห่งชาติ ปี 2562 โดยยืนยันว่าการแผ้วถางพื้นที่จำนวนมากเพื่อทำไร่หมุนเวียน ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ต้นน้ำของคน จ.เพชรบุรี และคนทั้งประเทศ เจ้าหน้าที่จึงต้องดำเนินการตามกฎหมาย
รองอธิบดีกรมอุทยานฯ ระบุถึงรายละเอียดปฏิบัติการนำตัวชาวบ้านบางกลอยออกจากป่าในวันนี้ พบมีชาวบ้านที่บางกลอยบน จำนวน 85 คน ในจำนวนนี้เป็นผู้ที่อยู่ในหมายศาล 22 คน สำหรับชาวบ้านที่ไม่อยู่ในหมายศาล ได้ทำการเปรียบเทียบปรับตามข้อกำหนดของอุทยานฯ จำนวน 27 คน ที่เหลือเป็นเด็ก 36 คน ซึ่งทางอุทยานฯ ไม่ได้ดำเนินการใด ๆ
สำหรับการดำเนินคดีกับชาวบ้าน 22 คนนั้น พ.ต.อ. จิรัฏฐ์ โรจน์บวรวิทยา ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรแก่งกระจาน เปิดเผยว่า วันนี้พนักงานสอบสวนได้เข้าพูดคุยชาวบ้านทั้ง 22 คน หลังจากที่รับตัวผู้ต้องหาจากชุดจับกุม โดยพบว่า 20 คนแรก ที่จับกุมมา เป็นผู้ที่อยู่ในที่เกิดเหตุ มี 1 คน จับกุมได้จากชุดมวลชน ขณะที่อีก 1 คน จับกุมหลังจากชาวบ้านล่องแพลงมาตามแม่น้ำเพชรบุรี โดยในช่วงการสอบสวน ทุกคนมีทนายความและล่าม คอยให้การช่วยเหลือ ภายหลังเสร็จสิ้นการสอบสวน ตำรวจได้ส่งตัวชาวบ้านทั้ง 22 คน ยื่นคำร้องขอฝากขังต่อศาลจังหวัดเพชรบุรี ซึ่งศาลอนุญาตฝากขัง และได้นำตัวทั้ง 22 คน ส่งเรือนจำกลาง จ.เพชรบุรี แล้ว ขณะที่ชาวบ้านอีก 63 คน ที่ไม่ได้อยู่ในหมายศาล ผู้ใหญ่บ้านบางกลอยล่างได้มารับตัว โดยมีเจ้าหน้าที่อุทยานฯ นำส่งทุกคนกลับไปยังบ้านที่บางกลอยล่างเรียบร้อยแล้ว
รายงานข่าวยืนยันว่า ในจำนวนผู้ต้องหา 22 คน ที่ถูกฝากขัง หนึ่งในนั้น คือ หน่อแอะ มีมิ ลูกชายของปู่คออี้ (โคอิ มีมิ) รวมอยู่ด้วย
ภาคี #Saveบางกลอย ขอรัฐเคารพข้อตกลงแก้ปัญหาชาวบ้าน
สถานการณ์ที่เกิดในวันนี้ นำไปสู่ปฏิกิริยาจากทางฝั่ง ภาคี #Saveบางกลอย ซึ่งได้เตรียมส่งจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงเพื่อแก้ไขปัญหากรณีบางกลอย เมื่อวันที่ 16 ก.พ. ที่ผ่านมา
โดยขอให้พิสูจน์สิทธิพื้นที่ทำกินดั้งเดิมทั้งหมดในพื้นที่บางกลอยบน-ใจแผ่นดิน หากพบการทำกินและตั้งถิ่นฐานในพื้นที่นั้นมาก่อน ต้องคืนสิทธิให้ชาวบ้านสามารถกลับไปอยู่อาศัยและทำกินได้
สุดท้าย เรียกร้องให้รัฐบาล เปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เนื่องจากที่ผ่านมาแสดงให้เห็นแล้วว่า ไม่มีความสามารถในการบริหาร กำกับ บังคับบัญชาเจ้าหน้าที่ในกระทรวงฯ ได้ ไม่สามารถทำให้ประชาชนเชื่อมั่นในคำสั่งและนโยบายในการแก้ไขปัญหาได้ รวมทั้งยังขาดความเข้าใจปัญหา และไม่รับฟังข้อมูลที่รอบด้าน
ขณะเดียวกันมีคำยืนยันจาก ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือ พีมูฟ ว่า ในวันจันทร์ ที่ 8 มี.ค. นี้ จะนัดชุมนุมใหญ่ ต่อกรณีที่เกิดขึ้นกับชาวบ้านที่บางกลอย และเพื่อทวงถามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาที่ดินให้กับชาวบ้านในหลายพื้นที่ทั่วประเทศด้วย
ขณะที่ มานพ คีรีภูวดล ส.ส.กลุ่มชาติพันธุ์ จากพรรคก้าวไกล โพสต์แสดงความเห็น ว่า เรียกร้องไปยังรัฐบาล และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้รอกลไกการตรวจสอบแก้ปัญหาที่ตั้งขึ้นตามข้อตกลง ซึ่งถือเป็นความหวังและทิศทางการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทที่ขัดแย้งยาวนานของชุมชนในเขตป่า ในยุคสมัยใหม่นี้ แต่ปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่เข้าจับกุมชาวบ้านบางกลอย อาจทำให้ความหวังการแก้ไขปัญหา นำไปสู่ความขัดแย้งในสังคมมากกว่าเดิม เพราะเห็นว่า เจ้าหน้าที่อ้างแต่กฎหมาย โดยไม่ได้เคารพสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของกลุ่มชาติพันธุ์
ด้าน สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ที่ส่งทนายความไปให้การช่วยเหลือชาวบ้าน ออกแถลงการณ์ ระบุว่า ภาครัฐใช้กลไกที่ไม่คล้องกับหลักกฎหมาย ในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติ และสิทธิในวิถีชีวิตของผู้คน จึงเสนอให้ ตรวจสอบและระงับการกระทำของเจ้าหน้าที่ เพราะการดำเนินคดี กับชาวบ้าน และนักสิทธิมนุษยชน ที่มีสนับสนุนข้อเรียกร้องของชุมชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยง อาจทำให้เสียโอกาสการแก้ปัญหาร่วมกัน
ขณะเดียวกันขอให้รัฐ ระงับการใช้กำลังปิดล้อมเส้นทาง ขัดขวางการเดินทาง ข่มขู่ บีบคั้น ชาวบ้าน ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อการหาทางออกด้วยการเจรจา
ทั้งยังขอให้รัฐยุติ ยุทธการพิทักษ์ป่าต้นน้ำเพชร ทั้งหมด พร้อมทั้งศึกษาข้อมูล ข้อเท็จจริง ตามที่ได้ทำความตกลงไว้กับชาวบ้านบางกลอย เพื่อการหาทางออกอย่างเหมาะสม