คนทำงานบ้าน
คนรับรถ
คนล้างรถ
คนขายของหน้าร้าน
พนักงานเสิร์ฟ
หรือแรงงานรับจ้างทั่วไป… พวกเขา คือ แรงงานเพื่อนบ้านที่ทำงานใกล้ชิดผู้คนในเมืองใหญ่
พวกเขาเดินทางเข้ามาแสวงหาโอกาส หารายได้ในประเทศไทย ด้วยหวังว่านโยบายการจ้างงานและสภาพเศรษฐกิจที่นี่ จะช่วยนำพาให้คุณภาพชีวิตของตัวเองและคนข้างหลังดีขึ้น
เช่นเดียวกัน… มีคนไทยมากกว่า 1.12 แสนคน เดินทางไปทำงานต่างแดน แสวงหาโอกาส หวังเก็บเงินก้อนโตกลับบ้าน ยกระดับคุณภาพชีวิต ไม่ต่างกัน
แล้วเรามองเห็นแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านในมุมไหนได้บ้าง?
“แรงงานข้ามชาติ” คือ ความกังวลใจของทีมควบคุมโรคโควิด-19 ตั้งแต่การระบาดระลอกสอง ที่ จ.สมุทรสาคร ในฐานะกลุ่มประชากรจำนวนมากที่กระจายตัวทำงานและอาศัยในประเทศไทย ทั้งถูกและผิดกฎหมาย
นักระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุข คาดการณ์ว่า การระบาดโควิด-19 ระลอกสามในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ตั้งแต่เดือนเมษายนกำลังทรงตัว กดตัวเลขต่ำกว่าพันคนได้ยาก สถานการณ์ระบาดเรื้อรัง ลุกลามระดับชุมชนมากขึ้น ด้วยปรากฏการณ์ระบาดในกลุ่มคลัสเตอร์ที่มีแรงงานข้ามชาติเป็นตัวละครร่วม
หากย้อนกลับไปที่การระบาดของโควิด-19 ระลอกแรก “ตัวละคร” นี้อาจไม่ปรากฏให้เห็นชัดมากนัก เพราะการระบาดยังอยู่ใน “คลัสเตอร์ใหญ่” เป็นเชื้อนำเข้าจากต่างประเทศ และระบาดในกลุ่มคนทำงานภาคการท่องเที่ยว
แต่การระบาดในระลอกสองและสาม ภาพของ “แรงงานข้ามชาติ” ปรากฏชัดขึ้น หลายคนคุ้นชินกับความเป็นคน “ต่างด้าว” ทั้งในความหมายการนิยามตามแบบรัฐราชการ และนัยของความเป็นอื่น จาก “alien” หรือ คนที่มาจากดาวดวงอื่น แม้ระยะหลังรัฐราชการจะใช้คำว่า “foreign workers” มาแทนที่ เพื่อครอบคลุมคนต่างชาติกลุ่มอื่น ๆ ขณะที่ภาษาในทางวิชาการหรือองค์กรพัฒนาเอกชน มักใช้คำว่า “migrant workers”
การหลุดรอดจากพรมแดนในรอบการระบาดเดือนธันวาคม 2563 ปนเปกับจุดเริ่มต้นใหม่ของการระบาดในค่ำคืนที่ชนชั้นกลางระดับ high-class กำลังท่องราตรีเมื่อเดือนเมษายน 2564 ได้นำมาสู่ตัวเลขผู้ติดเชื้อที่พุ่งทะยานขึ้นสูง ทุบทุกสถิติ ทั้งผู้ติดเชื้อรายวัน คนป่วยหนัก และผู้เสียชีวิต สิ่งเหล่านี้ได้นำให้ประเทศไทยไต่อันดับภาพรวมของการติดเชื้อให้สูงขึ้น สวนทางกับหลายประเทศที่ผู้ติดเชื้อเริ่มคงที่และมีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ
เข้าเดือนที่สามของการระบาดรอบล่าสุด โควิด-19 ทำให้เห็นคนเปราะบางในเมืองใหญ่ ที่ตกหล่นจากระบบควบคุมโรคได้ชัดขึ้น ความเป็นคนอื่น อาจทำให้โลกของ แรงงานข้ามชาติ ไม่เท่ากับเรา แต่…โรคของเขาเท่ากับของเรา อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
The Active ชวนมองให้เห็นตัวตนของหนึ่งในกลุ่มคนเปราะบาง ในสถานการณ์โรคระบาดอย่าง “แรงงานข้ามชาติ”
คนเปราะบางคือใคร ในสถานการณ์โควิด-19
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/06/เปราะบาง_1-1-1024x1024.png)
หากนับ “คนเปราะบาง” ตามนิยามของกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย จากระบบฐานข้อมูล TPMAP (Thai People Map and Analytics Platform) ประเทศไทยมีคนเปราะบาง 10,754,205 คน ใน 76 จังหวัด (ไม่รวมกรุงเทพมหานคร) คำนิยามนี้ครอบคลุมเด็กยากจน คนพิการและผู้สูงอายุที่ไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐ ผู้ป่วยเรื้อรังที่ดูแลตัวเองไม่ได้ และผู้ที่ไม่มีความมั่นคงในที่อยู่อาศัย
ส่วนคนเปราะบางในกรุงเทพฯ จากระบบฐานข้อมูลสวัสดิการสังคม (e-Social Welfare) เพื่อรับเงินเยียวยาโควิด-19 พบว่ามี 948,054 คน กระจายอยู่ใน 3 กลุ่ม คือ 1. เด็กที่ได้รับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด 2. ผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และ 3. คนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการ
แต่หากดูคำนิยามของ “คนเปราะบาง” โดย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) “ประชากรกลุ่มเปราะบางด้านสุขภาพในบริบทของประเทศไทย” จะพบว่ามีความหมายที่ครอบคลุมมากกว่าที่ฐานข้อมูลภาครัฐจะเข้าถึงได้
สิ่งที่ค้นพบจากงานวิจัยภายใต้โครงการ “ศึกษาแนวคิดและแนวทางปฏิบัติเพื่อตอบสนองต่อความต้องการด้านสุขภาพของประชากรกลุ่มเปราะบางด้านสุขภาพในระดับพื้นที่ของประเทศไทย” เมื่อปี 2560 ระบุว่า คนเปราะบางในมิตินี้ คือ ผู้ที่มีคุณสมบัติอย่างน้อย 2 ใน 3 ข้อ คือ 1) ประชากรชายขอบซึ่งอาจถูกตีตราหรือถูกเลือกปฏิบัติจากสังคม 2) ประชากรซึ่งมีความต้องการทางด้านสุขภาพแต่มีข้อจำกัดในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ และ 3) ประชากรซึ่งมีความเสี่ยงต่อการถูกทอดทิ้งหรือการถูกกระทำทารุณหากไม่ได้รับการตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพในระยะยาว
หนึ่งในนั้น คือ แรงงานข้ามชาติ ที่นอกจากเปราะบาง ยังไม่ถูกมองเห็น
แรงงานข้ามชาติ อยู่ในทุกคลัสเตอร์ระบาดหลักของ กทม.
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/06/เปราะบาง_2-1-1024x1024.png)
เมื่อย้อนดูสถานการณ์การติดเชื้อในกลุ่ม “แรงงานข้ามชาติ” ในกรุงเทพมหานคร จะเห็นว่า นับตั้งแต่ 1 เม.ย. เป็นต้นมา มีแรงงานข้ามชาติติดเชื้อ 10,157 คน จากผู้ติดเชื้อทั้งหมด 54,110 คน คิดเป็น 18.78% และพบว่าในคลัสเตอร์เฝ้าระวังสูงสุดทั้ง 66 แห่ง สามารถแบ่งคลัสเตอร์หลักได้ 4 กลุ่ม คือ ชุมชนแออัด ตลาด/ศูนย์การค้า แคมป์คนงาน และโรงงาน/ที่ทำงาน
จะเห็นได้ว่า แรงงานเหล่านี้ ใช้ชีวิตอยู่ในทั้ง 4 กลุ่มคลัสเตอร์เฝ้าระวังสูงสุด พวกเขาอยู่ในชุมชนเช่าขนาดใหญ่และชุมชนแออัดหลายแห่งในเมือง มีไม่น้อยที่เป็นแรงงานก่อสร้าง อาศัยแคมป์คนงานเป็นทั้งที่พักและที่ทำงานหารายได้
ความสัมพันธ์แบบนี้ ยังพบได้ในกลุ่มแรงงานข้ามชาติที่อาศัยพื้นที่ตลาดหรือศูนย์การค้าเป็น แหล่งหากิน ทั้ง หากิน ในความหมายแบบเคี้ยวกลืนให้อิ่มท้อง หรือ หากิน ที่หมายถึงแหล่งรายได้เลี้ยงปากท้องด้วย
เช่นเดียวกันกับคลัสเตอร์โรงงาน ที่มีพวกเขาทำงานกลมกลืนอยู่กับแรงงานไทย อย่างแยกไม่ออก
แรงงานข้ามชาติ คนล่องหนที่เราพึ่งพิง
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/06/เปราะบาง_3-1-1024x1024.png)
จริงอยู่…ว่าแรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้ ใช้แรงแลกเงิน ไม่ต่างจากแรงงานไทย พวกเขาปะปนอยู่กับคนในเมืองเพื่อทำอาชีพที่ได้รับอนุญาต บางส่วน หาช่องทางและโอกาสทำมาหากินผ่านการเช่าช่วง ขยับฐานะจากลูกจ้าง กลายเป็นเจ้าของกิจการ เช่น ค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ
การเป็นแรงงานอพยพเข้าสู่ประเทศไทยนั้น มาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ ปัจจัยที่เป็นแรงผลักดัน อย่าง ปัญหาการว่างงาน ความยากจน ความไม่สงบทางการเมือง ความด้อยโอกาสทางการศึกษา และ ปัจจัยที่เป็นแรงดึงดูด อย่างนโยบายการว่าจ้างแรงงาน ระบบการศึกษา และสภาพทางเศรษฐกิจของประเทศไทย
นอกจากนี้ ยังมีเหตุผลที่แรงงานไทยไม่นิยมทำงานหนักและเสี่ยงอันตราย ทำให้แรงงานข้ามชาติ ซึ่งมีค่าแรงที่ถูกกว่า ขยัน และอดทนสูงกว่า เข้ามาแทนที่ โดยเฉพาะในกิจการที่มีลักษณะพิเศษในงาน 3 ประเภท คือ สกปรก ยากลำบาก และอันตราย (3D Jobs – Dirty, Dangerous and Difficult)
ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวปี 2563 กำหนดให้พวกเขาทำงานได้ 3 แบบ รวม 12 อาชีพ หากพวกเขาเลือกเป็น กรรมกร (คนงานหรือลูกจ้างที่ใช้แรงงานทั่วไป ในที่นี้ รวมถึงลูกจ้างขายของหน้าร้านด้วย) พวกเขาทำงานได้เฉพาะกรณีมีนายจ้างและได้รับอนุญาตให้เขามาในประเทศไทย ตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ภายใต้ MOU
แต่หากจะทำอาชีพด้าน กสิกรรม ทำที่นอน ทำรองเท้า ประดิษฐ์เครื่องแต่งกาย งานก่อสร้างอื่น ๆ ทำมีด ทำหมวก งานปั้นดินเผา มีเงื่อนไขว่าต้องเป็นลูกจ้างและในงานที่ขาดแคลนแรงงานเท่านั้น โดยไม่กระทบต่อโอกาสการมีงานทำของคนไทย
ส่วนงานด้าน บัญชี วิศวกรรมโยธา และสถาปัตยกรรม การจ้างงานเป็นไปตามข้อตกลงระหว่างประเทศอาเซียน ซึ่งคนต่างชาติต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพตามกฎหมายไทยก่อนขอรับใบอนุญาตทำงาน
นี่ทำให้เห็นว่าแรงงานข้ามชาติถูกกฎหมาย จำนวน 2.3 ล้านคนในปี 2564 กระจายอยู่ทั่วประเทศ ทำอาชีพหลากหลาย ใกล้ชิด พึ่งพากันและกัน
ยังไม่นับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ที่ไทยอาศัยศักยภาพของแรงงานข้ามชาติ หากคำนวณจาก “ตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตใน 180 สาขาเศรษฐกิจประจำปี 2558” ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) โดยใช้ “สัดส่วนแรงงานข้ามชาติต่อกำลังแรงงานรวมของไทย” นั้นพบว่าพวกเขาร่วมสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมากกว่าปีละ 4 แสนล้านบาท
ปัญหาของแรงงานข้ามชาติในสถานการณ์ระบาด
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/06/เปราะบาง_4-1-1024x1024.png)
นอกจากปัญหาสภาพความเป็นอยู่ อาชีพ และความจำเป็นในการเคลื่อนย้ายที่อยู่ ทำให้ “แรงงานข้ามชาติ” ไม่สามารถทำมาตรการป้องกันโควิด DMHTT ดังที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำ ได้เพียงพอ (D : Distancing คือ เว้นระยะห่างระหว่างกัน M : Mask Wearing คือ สวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยตลอดเวลา H : Hand Washing คือ ล้างมือบ่อย ๆ T : Testing คือ ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้างาน T : Thai Cha Na คือ เช็กอินผ่านแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ทุกครั้ง เมื่อเข้าไปในสถานที่ต่าง ๆ)
การเข้าไม่ถึงการตรวจเชื้อ รักษา และการฉีดวัคซีน คือ สิ่งที่เกิดขึ้นจริงและเป็นปัญหาของแรงงานข้ามชาติในสถานการณ์โควิด-19 แม้หลายครั้งภาครัฐย้ำว่า สิทธิทางสุขภาพและสาธารณสุข ครอบคลุมทุกคนบนแผ่นดินไทย แต่นั่นเป็นการให้คำมั่นในทางนโยบาย
สิ่งที่เกิดขึ้นจริง หรือในทางปฏิบัติกลับพบว่ามีข้อจำกัดไม่น้อย และปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาอาจไม่ได้ถูกนับอยู่ในชนชั้นใดชนชั้นหนึ่งของเมืองด้วยซ้ำไป
ยกตัวอย่าง การควบคุมโรคในพื้นที่ระบาดคลัสเตอร์คลองเตย กลุ่มแรงงานข้ามชาติที่อาศัยในชุมชนรอบตลาดคลองเตย จะสามารถเข้าถึงการตรวจเชื้อเชิงรุกได้ แม้จะอยู่ในลำดับท้าย ๆ ของกลุ่มเป้าหมาย แต่หากเป็นพื้นที่อื่น พวกเขาแทบไม่มีช่องทางในการเข้าตรวจหาเชื้อ แม้เป็นกลุ่มเสี่ยงตามคำนิยามของการควบคุมโรค
หรือในมิติของการรักษา ที่มีการยืนยันจาก สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ว่าการรักษาโควิด-19 ฟรี ครอบคลุมกลุ่มแรงงานข้ามชาติด้วย หากพวกเขาทำประกันสังคมจะได้รับสิทธินั้นอย่างไม่มีเงื่อนไข
แต่หากซื้อเพียงประกันสุขภาพ กลับพบว่า หลายกรณีที่ค่ารักษาเกินวงเงินประกัน (ส่วนใหญ่พบในโรงพยาบาลเอกชน) ทางเลือกแบบราคาถูกที่สุด กลับไม่ถูกนำเสนอเป็นให้แรงงานได้เลือก หากพวกเขาดูเหมือนเป็นแรงงานที่มีศักยภาพในการจ่ายส่วนต่างได้
สิ่งเหล่านี้เป็นช่องว่างของการเข้าถึงสิทธิ เพราะข้อจำกัดเรื่องภาษาและทัศนคติ ว่า “ไม่รู้อะไร”
ส่วนโอกาสที่จะได้รับการฉีดวัคซีน เป็นปัญหาเช่นเดียวกับการตรวจหาเชื้อ คือ ในระยะแรกนี้ จะเห็นว่ามีแรงงานข้ามชาติที่เข้าถึงการฉีดวัคซีนฟรี เฉพาะในพื้นที่คลัสเตอร์ระบาดหนัก เท่านั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจากกรณีฉีดวัคซีนในแรงงานข้ามชาติในตลาดคลองเตย กลับพบ “ความกังวล” ของภาคเอกชนและสาธารณสุข ว่าจะเกิดการตั้งคำถาม “ทำไมแรงงานข้ามชาติจึงได้ฉีดวัคซีนก่อน” ในขณะที่การจัดสรรวัคซีนให้กับกลุ่มเป้าหมายอื่นยังขาดช่วงและขาดแคลน ได้นำมาสู่การปกปิดไม่ให้ภายนอกรับรู้เหตุผลในการใช้วัคซีนช่วยคุมโรคระบาดในกลุ่มแรงงานข้ามชาติในเมือง
ปัญหาเหล่านี้ ยังเป็นปัญหาร่วมของคนไร้สัญชาติ คนไร้บ้าน รวมถึงคนเปราะบางกลุ่มอื่น ๆ ด้วย ยิ่งหากเป็นแรงงานผิดกฎหมาย ปัญหายิ่งมากกว่าหลายเท่า
ผลกระทบ หากไม่ให้ความสำคัญ “แรงงานข้ามชาติ”
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/06/เปราะบาง_5-1-1024x1024.png)
ข้อมูลจาก ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 หรือ ศบค. แถลงทุกวันในช่วง 2 เดือนนี้ว่า กรุงเทพฯ เป็นแชมป์มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 เสียชีวิตมากที่สุด มีผู้ป่วยล้นเตียงและมีอาการหนัก ใส่เครื่องช่วยหายใจมากที่สุด ซึ่งจำนวนนับดังกล่าวไม่ได้แยกสัญชาติ ว่าเป็นคนไทย หรือ “แรงงานข้ามชาติ”
“ผล” ดังกล่าวมาจาก “เหตุ” ที่ว่า ในพื้นที่กรุงเทพฯ มีกลุ่มคนเปราะบางทางสังคมและสุขภาพ ซึ่งรวมถึง “แรงงานข้ามชาติ” จำนวนมาก เข้าไม่ถึงการตรวจคัดกรองเชิงรุก ทำให้ไม่รู้ “สถานะ” ว่าเขากำลังติดเชื้อหรือเป็นผู้ป่วย เมื่อไม่ทราบสถานะ จึงนำไปสู่ปัญหาใหญ่ตามมา คือ ไม่สามารถแยก “ผู้ติดเชื้อ” และ “ผู้ป่วย” ออกจากกลุ่มผู้สัมผัสที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อให้กลุ่มแรกถูกรักษาทันท่วงที และกลุ่มหลังได้กักกันตัวเองจนพ้นระยะเวลาแพร่เชื้อ
สองปัจจัย คือ การเข้าไม่ถึงการตรวจเชื้อเพื่อทราบสถานะผู้ติดเชื้อ และการไม่สามารถแยกตัวเพื่อกักกันไม่ให้แพร่เชื้อ เป็นสาเหตุให้เกิดการลุกลามแพร่เชื้อในวงกว้าง เมื่อติดตามเคส “ผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการ” ไม่ได้ จึงควบคุมโรคยากลำบากขึ้น
ปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นใน “ชุมชนคลองเตย” ซึ่งมีประชากรในฐานข้อมูลของสำนักงานบริหารทะเบียนราษฎร ของกระทรวงมหาดไทย ประมาณกว่า 70,000 คน แต่เมื่อรวมประชากรแฝงที่ครอบคลุมแรงงานต่างจังหวัดและ “แรงงานข้ามชาติ” ทำให้คาดการณ์ว่ามีจำนวนประชากรมากกว่าแสนคน และแม้ว่ากรุงเทพมหานคร ซึ่งบริหารจัดการสถานการณ์โควิด โดย ศบค. กรุงเทพฯ มีเป้าหมายการตรวจเชื้อเชิงรุกประชาชน 5,000 คน เพื่อนำผู้ป่วยผู้ติดเชื้อแยกตัวออกมาที่โรงพยาบาลสนาม ฉีดวัคซีนให้ชุมชนคลองเตย 50,000 คน นับเป็น 70% ของจำนวนประชากรที่รวมประชากรแฝง ทั้งปิดตลาดคลองเตย 14 วันจะพ้นระยะแพร่โรค
ด้วยมาตรการควบคุมโรคทั้งหมดที่มีอยู่ ได้ระดมใช้จนหมดแล้ว ก็ยังพบว่า มี “คนติดเชื้อซ้ำ” “มีคนที่ฉีดวัคซีนแล้วติดเชื้อ” เนื่องจากในชุมชนยังมีผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการปะปนอยู่ ทุกคนยังใช้อากาศเดียวกันในการหายใจร่วมกัน และมีผู้ป่วยตกค้างอยู่ในชุมชน ซึ่งตัวแทนจาก สปสช. ยอมรับว่า การส่งต่อ “แรงงานข้ามชาติ” และ “ผู้ป่วยติดเตียง” เข้าสู่ระบบการรักษาพยาบาล หรือโรงพยาบาลสนาม เป็นเรื่องยากที่สุด ขณะนี้
และหากต้นทางของปัญหายังวนเวียนไม่จบ ไม่สามารถควบคุมโควิด-19 ที่ระบาดในพื้นที่ชุมชนแออัด ที่มี “แรงงานข้ามชาติ” อาศัยและทำมาหากินในมหานครให้สงบได้ โรคที่ระบาดในมหานครก็ไม่มีทางสงบ และวัคซีนที่มีอยู่อย่างจำกัด แม้เทหมดหน้าตักให้คนกรุงเทพฯ แล้วก็อาจไม่ได้ “ผลตามที่คาดหมายไว้” ถ้ารัฐยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับ “แรงงานข้ามชาติ”
ต้นทุนที่ “พวกเขา” – “แรงงานข้ามชาติ” จ่ายเพื่อหากินในไทย
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/06/เปราะบาง_6-1-2-1024x1024.png)
หลายครั้ง เมื่อมีเสียงเรียกร้องขององค์กรพัฒนาเอกชน ให้รัฐมีมาตรการดูแลและคุ้มครองสิทธิของแรงงานข้ามชาติ มักถูกตั้งคำถามจากสังคมว่า ทำไมต้องดูแลพวกเขา ในขณะที่พลเมืองไทยยังมีความเหลื่อมล้ำและเข้าไม่ถึงสิทธิด้านต่าง ๆ อยู่
ข้อมูลหนึ่ง ที่อาจจำกัดการรับรู้อยู่เพียงกลุ่มนายจ้างหรือในระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพาแรงงานข้ามชาติ เพราะต้องเป็นผู้ร่วมจ่าย ก็คือต้นทุนที่พวกเขามอบให้กับรัฐ ไม่ใช่แค่การใช้แรงกายแลกกับการพัฒนาประเทศเท่านั้น
หากเป็นแรงงานข้ามชาติในกิจการทั่วไป พวกเขาต้องจ่ายค่าใบอนุญาตทำงาน หรือ Work permit ปีละ 1,900 บาท จ่ายเงินซื้อประกันสุขภาพ 3,200 บาท (มีอายุ 2 ปี) และหากเข้าสู่ระบบประกันสังคม พวกเขาต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมทุกเดือน โดยคำนวณจากค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับในอัตราร้อยละ 5 ซึ่งฐานค่าจ้างที่จะนำมาคำนวณต่ำสุด คือ เดือนละ 1,650 บาท และสูงสุดไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท เท่ากับว่า พวกเขาต้องจ่ายเงินสมทบขั้นต่ำเดือนละ 83 บาท และไม่เกินเดือนละ 750 บาท หรือปีละ 996 – 9,000 บาท
ทั้งนี้ ในส่วนมาตรการบรรเทาผลกระทบช่วงโควิด-19 ระลอกสามนั้น คณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อ 18 พ.ค. 2564 ให้ลดเงินสมทบเหลือร้อยละ 2.5 เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ มิ.ย. – ส.ค. 2564 เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนแก่นายจ้างและผู้ประกันตน ตามที่ คณะกรรมการประกันสังคม เสนอ
นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการต่ออายุ VISA รวมแล้ว 1,900 บาท สำหรับขออยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ก่อนขออนุญาตทำงาน
นั่นเท่ากับว่า มีต้นทุนที่แรงงานข้ามชาติต้องจ่ายรายปี เพื่อแลกกับการอนุญาตทำงานในประเทศไทย คนละเกือบ 20,000 บาท เมื่อนำมาคำนวณรวมกับสถิติแรงงานข้ามชาติที่ได้รับอนุญาตทำงานในราชอาณาจักรไทยกว่า 2 ล้านคน อาจมีตัวเลขรวมถึงหลักหมื่นล้านบาทต่อปี
ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมาเป็นรายครั้ง โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของโควิด-19 คือ ค่าตรวจโรค 1,000 บาท ค่าตรวจโควิด-19 2,300 บาท และค่าบัตรสีชมพู 80 บาท และหากเป็นแรงงานประมงจะต้องเสียค่าตรวจโรคเพิ่มอีก 100 บาท และหนังสือคนประจำเรือ (Seaman Book) 100 บาท
รัฐมีข้อเสนอเพื่อควบคุมโรคใน “แรงงานข้ามชาติ” หรือไม่?
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/06/เปราะบาง_7-1-1024x1024.png)
นพ.วิรุฬ ลิ้มสวาท สำนักวิจัยสังคมและสุขภาพ (สวส.) ได้นำเสนอ “มาตรการควบคุมโรคในประชาชนกลุ่มเปราะบางทางสังคม รวมทั้งแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมาย ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล” ในที่ประชุม “ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข (EOC)” กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธาณสุข เมื่อวันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา และเตรียมเสนอในที่ประชุม ศบค. กรุงเทพฯ และปริมณฑล หากข้อเสนอใดเกินอำนาจการจัดการในพื้นที่จะนำเสนอต่อ ศบค.ระดับชาติ ตามลำดับ
“ข้อเสนอ” เพื่อแก้ปัญหาสำหรับ “แรงงานข้ามชาติ” แบ่งเป็น 2 ด้านสำคัญ คือ มาตรการทางสาธารณสุขและมาตรการทางสังคม โดยมีผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน และเงื่อนไขเวลาคือ “เร็วที่สุด”
มาตรการทางสาธารณสุข
- ให้ดำเนินการตรวจคัดกรองเชิงรุกตามแผนควบคุมโรคของทางกรุงเทพฯ และกระทรวงสาธารณสุขใน “พื้นที่เสี่ยงต่าง ๆ” โดยให้ครอบคลุมถึงกลุ่มแรงงามข้ามชาติทั้งที่ถูกและผิดกฎหมายด้วย
- เสนอให้กรุงเทพมหานคร โดย สำนักงานเขต สำนักอนามัย สำนักการแพทย์ และ สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง (สปคม.) กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และภาคประชาสังคม ที่กำลังติดตามสอบสวนโรคขอให้ครอบคลุมกลุ่ม “แรงงานข้ามชาติ” ด้วย โดยแจ้งผลการตรวจคัดกรองให้ผู้เกี่ยวข้องและเจ้าตัวรู้โดยเร็ว และนำเข้าสู่ระบบการรักษาให้รวดเร็วมากขึ้น
- เสนอให้ สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงแรงงานร่วมกันสำรวจจำนวน “แรงงานข้ามชาติ” และวางแผนการฉีดวัคซีนให้ทั่วถึงโดยเร็ว
มาตรการทางสังคม
- ให้ความช่วยเหลือเรื่องอาหาร โดยจัดระบบการให้บริการที่ปลอดภัย เพื่อลดการเคลื่อนย้ายข้ามพื้นที่
- เสนอให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงแรงงาน ชะลอการบังคับใช้กฎหมายแรงงานและกฎหมายการเข้าเมืองในระยะของการระบาดของโรค
- เสนอให้กรุงเทพมหานคร กระทรวง พม. การไฟฟ้า การประปา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยเหลือค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ เพื่อไม่ให้เขาหลุดจากที่พักอาศัยปัจจุบันและลดการเคลื่อนย้ายข้ามพื้นที่ ทั้งนี้ จะต้องมีมาตรการเยียวยาการเสียรายได้แก่บรรดาเจ้าของบ้านเช่าและที่พักของแรงงานข้ามชาติด้วย
นอกจากนั้น ยังมีข้อเสนอขอให้รัฐสนับสนุนภาคเอกชนในการพัฒนาระบบข้อมูล Thai.care เพื่อร่วมติดตามและดูแลผู้ติดเชื้อโควิด 19 ครอบคลุมขั้นตอนตั้งแต่การสอบสวนโรคเพื่อระบุผู้สัมผัสเสี่งสูงที่ครอบคลุม การสนับสนุนผู้สัมผัสเสี่ยงสูงให้กักตัวอยู่ที่บ้าน การติดตามผู้ติดเชื้อ การให้การดูแลเบื้องต้น และประสานงานส่งตัวเคสออกจากชุมชนโดยเร็ว จนถึงการติดตามกลุ่มเป้าหมายการฉีดวัคซีนให้ได้รับการฉีดอย่างทั่วถึง
รวมทั้งมีการกำหนดมาตรฐานกลางของ “รหัสระบุตัวบุคคล” แรงงานต่างด้าวเป็นระบบเดียว ซึ่งกระทรวงแรงงาน เคยทำ “รหัสระบุตัวบุคคล” ในกลุ่มแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายที่จ.สมุทรสาคร จนทำให้เจ้าหน้าที่ควบคุมโรคสามารถติดตามความครอบคลุมในการตรวจเชื้อเชิงรุกและความครบถ้วนของการให้วัคซีน ความสำเร็จดังกล่าว ควรถูกนำมาใช้ที่กรุงเทพมหานคร และพื้นที่อื่น ๆ ด้วย
อ้างอิง
- พร้อมดูแลสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ แก่แรงงานต่างด้าว สัญชาติลาว กัมพูชา และเมียนมา ย้ำ! ต้องขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น
- แรงงานข้ามชาติ กับ การทำให้เป็น “สัตว์-เศรษฐกิจ” ภายใต้ภาวะการถูกกดทับ: กรณีศึกษาแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย
- วาทกรรมว่าด้วย “คนต่างด้าว” กับการกลายเป็น “คนอื่น” ของ ชาวไทใหญ่พลัดถิ่น
- จำนวนแรงงานไทยที่ยังทำงานอยู่ในต่างประเทศ ณ เดือนพฤษภาคม 2564
- กระทรวงแรงงาน ปลดล็อก งานขายของหน้าร้าน
- กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
- ศูนย์ข้อมูล COVID-19