ปรากฏการณ์การชุมนุมของนักศึกษาหลายสถาบันที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ แม้จะยังยึดโยงอยู่กับข้อเรียกร้องหลัก 3 ข้อ ที่เสนอมาตั้งแต่ต้น คือ หยุดคุกคามประชาชน ยุบสภา และร่างธรรมนูญใหม่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าระหว่างการชุมนุมหลายครั้งที่ผ่านมาก็ปรากฏ “ข้อเสนออื่น” เข้ามาด้วย
หลายฝ่าย ทั้งที่เห็นด้วยและเห็นต่าง ต่างก็มีความกังวลหาก “ปรากฏการณ์” นี้ถูกมองด้วยความไม่เข้าใจและกลายเป็นการไม่ยอมรับในที่สุด
The Active ชวนฟังคำอธิบายปรากฏการณ์ตื่นตัวทางการเมืองของนักเรียน นิสิต นักศึกษา ในยุคปัจจุบันอีกครั้ง ผ่านมุมมองของ ผศ.ประจักษ์ ก้องกีรติ รองคณบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2020/08/4-2-1024x577.jpg)
มองบรรยากาศการชุมนุมครั้งนี้อย่างไร
ถือเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ ในฐานะที่เคยศึกษาเหตุการณ์ 14 ตุลาคม หรือขบวนการนักศึกษาก่อนหน้านี้ ครั้งนี้น่าจะเป็นการเคลื่อนไหวของนักศึกษาที่คึกคักที่สุด มีคนเข้าร่วมมากที่สุด และการที่มีนักศึกษาเป็นคนนำเอง ก็เป็นครั้งแรกตั้งแต่หลัง 14 ตุลาคม หรือ 40 กว่าปีมาแล้วที่ไม่เห็นปรากฏการณ์แบบนี้
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2020/08/3-2-1024x577.jpg)
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนอะไรในมุมรัฐศาสตร์
สะท้อนสิ่งที่นักเรียนรัฐศาสตร์หรือนักวิชาการเคยบอกว่า ถ้าบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยโดยปกติ บทบาทของนักศึกษาก็จะน้อยกว่ากลุ่มอื่น เพราะในยามที่บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย บทบาทจะเป็นของพรรคการเมือง NGO หรือกลุ่มเคลื่อนไหวต่าง ๆ โดยนักศึกษาจะมีบทบาทมากในช่วงที่บ้านเมืองค่อนข้างมีความเป็นประชาธิปไตยน้อย ซึ่งพบปรากฏการณ์นี้ได้ในประเทศอื่น เช่น อินโดนีเซีย หรือ เมียนมา
ในไทยก็เช่นกัน ยุคที่นักศึกษามีบทบาทมากที่สุด คือ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งตอนนั้นอยู่ในระบอบอำนาจนิยมของทหาร ในยุคนั้นมันเกิดสูญญากาศ ขณะที่ผู้ใหญ่ไม่กล้าเคลื่อนไหวหรือโดนปราบปราม กลุ่มชาวนา กรรมกร พรรคการเมือง ก็โดนลิดรอนบทบาท ก็เหลือแต่กลุ่มนักศึกษาที่มีอุดมคติ มีความใฝ่ฝัน มีความบริสุทธิ์ในการเคลื่อนไหว และลุกออกมาเป็นกองหน้าในการเคลื่อนไหว ในขณะที่กลุ่มอื่นไม่กล้าเคลื่อนไหว
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2020/08/1-3-1024x577.jpg)
รัฐบาลควรมองการชุมนุมอย่างไร
คิดว่าเยาวชนก็คือลูกหลานของเราเอง คือ อนาคตของเรา ดังนั้น รัฐบาลก็ควรรับฟัง ขณะที่พลเอก ประยุทธ์ จะพูดอยู่เสมอว่า ปัจจุบันเรามีประชาธิปไตยแล้ว และท่านก็มาจากการเลือกตั้ง ไม่ใช่รัฐบาลรัฐประหารแล้ว มันไม่ใช่ยุค คสช. แล้ว ตอนนี้มีรัฐธรรมนูญ มีหลักประกันสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ซึ่งที่นักศึกษาออกมาเคลื่อนไหว ก็ยังอยู่ในกรอบรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด อย่างสงบและสันติ เป็นการเคลื่อนไหวที่สันติวิธีมาก ๆ และมีข้อเสนอที่ชัดเจน ข้อเสนอทั้ง 3 ข้อ ก็เป็นข้อเสนอในกรอบประชาธิปไตย ก็คือยังยึดอยู่ในเรื่องที่มันถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ได้เรียกร้องสิ่งที่อยู่นอกกรอบกฎหมาย ซึ่งในแง่นี้รัฐบาลยิ่งต้องรับฟัง
รัฐบาลจะจัดเวทีพูดคุยกับนักศึกษา แต่ด้านหนึ่งก็จับกุมแกนนำ?
คิดว่าจุดนี้ที่ทำให้นักศึกษายิ่งออกมามากขึ้น เพราะมันไปตอกย้ำว่าข้อเสนอของเขาที่ขอให้หยุดคุกคามประชาชน มันยังไม่เป็นจริง ซึ่งนักศึกษาก็เสนอชัดเจนมาตลอดและทำได้ง่ายที่สุดยิ่งกว่าข้อเรียกร้องแก้รัฐธรรมนูญหรือยุบสภา เมื่อเขาชุมนุมอย่างสันติ ตำรวจก็ไม่ควรไปคุกคามเขา การอุ้มแกนนำที่จังหวัดพิษณุโลกไปกักขังหน่วงเหนี่ยว เหตุการณ์นั้นเป็นการใช้อำนาจนอกกฎหมาย ซึ่งอันตรายมาก ๆ และรัฐบาลต้องพึงระวัง
ตอนนี้ฝ่ายนิติบัญญัติและพรรคการเมืองต่าง ๆ ต้องออกมาเตือนสติรัฐบาล รวมถึงองค์กรสิทธิมนุษยชนต้องออกมาเตือนว่ารัฐบาลกำลังทำในสิ่งที่ล้ำเส้นเกินกรอบของกฎหมาย การละเมิดสิทธิเสรีภาพไม่ควรเกิดขึ้น ในเมื่อรัฐบาลอ้างมาตลอดว่า เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอยู่ในระบอบประชาธิปไตย ไม่อย่างนั้นเหมือนเป็นการเติมเชื้อฟืนเข้ากองไฟ นักศึกษาจะยิ่งโกรธแค้นมากขึ้น เพราะปัจจุบันกระบวนการยุติธรรมไทยก็ถูกตั้งคำถามมากอยู่แล้ว
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2020/08/6-2-1024x577.jpg)
สิ่งที่รัฐควรจะต้องทำตอนนี้?
ในเมื่อมีกลไกกรรมาธิการ ก็ต้องทำงานอย่างจริงจัง ตั้งเวทีคุยกับนักศึกษา แต่ตอนนี้นักศึกษาเขาไม่เชื่อมั่นแล้ว และยิ่งเกิดเหตุการณ์ที่มีการออกหมายจับ ก็ยิ่งทำให้เห็นว่ารัฐบาลไม่จริงใจ กลไกกรรมาธิการก็จะยิ่งไม่น่าเชื่อถือ ตัวนายกรัฐมนตรีก็กำลังจะขาดความน่าเชื่อถือ ในเมื่อท่านไปตระเวนคุยกับสื่อมวลชน พบสื่อออนไลน์ และบอกว่าจะรับฟังเสียงนักศึกษา แต่ไม่กี่วันต่อมามีหมายจับออกมา นักศึกษาก็จะรู้สึกว่ารัฐบาลไม่จริงใจ ก็จะนำไปสู่การเผชิญหน้ากัน จุดสำคัญอยู่ที่ตัวนายกรัฐมนตรี ที่ต้องแสดงว่าตนอยากรับฟังจริง ๆ และไม่ควรไปคุกคาม ไม่ควรออกหมายจับ
ประเมินการเมืองหลังจากนี้?
มองว่ามีจุดเสี่ยงหลายจุด รัฐบาลก็ง่อนแง่น มีความขัดแย้งกันสูง ปรับ ครม. ครั้งนี้ก็มีหลายกลุ่มอกหัก ทำให้รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพเหมือนเดิม ประกอบกับวิกฤตเศรษฐกิจที่คนเดือดร้อนมากขึ้น ซึ่งประเทศไหนที่เศรษฐกิจไม่ดีก็ยากที่จะมีการเมืองที่สงบ คนจะเดือดร้อน ตกงาน นำมาสู่ม็อบ อาจไม่ใช่แค่ม็อบนักศึกษา แต่รวมถึงคนที่เดือดร้อนจากเศรษฐกิจ แล้วจะมาผสมกับการชุมนุมของนักศึกษา
ซึ่งนักศึกษานั้น ประเด็นพื้นฐานของเขา คือ ประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ และรัฐธรรมนูญ รัฐบาลจะเผชิญศึกหลายด้าน ทั้งศึกในและศึกนอกที่มาจากประชาชน
ถ้ารัฐบาลไม่สามารถบริหารอำนาจได้อย่างระมัดระวังและฟังเสียงประชาชนอย่างแท้จริง รัฐบาลจะเผชิญกับวิกฤตหนัก ทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2020/08/5-1-1024x683.jpg)
ห้วงเวลาที่ถือว่าเป็นจุดเสี่ยง?
จากวันนี้ไปถึงสิ้นปี ประเทศไทยก็อยู่ในภาวะเสี่ยงแล้วที่เราจะเผชิญหน้ากับการเมืองที่ไม่มีเสถียรภาพอีกครั้ง และอาจจะเกิดการเผชิญหน้าได้สูง นักลงทุนก็เริ่มกังวล สำคัญที่สุดคือรัฐบาลที่ควรกำหนดได้ว่า อยากให้มันคลี่คลายหรืออยากจะนำไปสู่การเผชิญหน้า เพราะอำนาจอยู่ในมือรัฐบาล ถ้ารัฐบาลมีความจริงใจ หยุดคุกคาม และเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญเลย ส.ว. ซึ่งเป็นตัวละครสำคัญถ้าออกมาร่วมด้วย ก็จะได้ใจประชาชนว่าไม่ขัดขวางการแก้รัฐธรรมนูญ ผมว่ามันเดินไปได้อย่างสงบ
ม็อบมุ้งมิ้ง รัฐพยายามใช้คำพูดแบบนี้?
ไม่ควรไปดูแคลนเขา ในเมื่อนักศึกษาเป็นอนาคตของชาติ เขาออกมาขนาดนี้ ตากแดดตากฝน ปกติเขาไม่ออกมาหรอกถ้าไม่เดือดร้อนหรือหมดความอดทนจริง ๆ ที่ผ่านมาผู้ใหญ่มักจะบอกว่า อยากให้นักศึกษาสนใจเรื่องบ้านเมือง อย่าเอาแต่เรียน ต้องคิดถึงคนอื่น ตอนนี้นักศึกษาออกมาแล้ว เพราะเขาคิดถึงเรื่องชาติบ้านเมืองแล้ว เราก็ยิ่งต้องสนับสนุนและทำให้เขารู้สึกว่า สังคมนี้เป็นของพวกเขาด้วย เขามีโอกาสที่จะกำหนดอนาคตของเขาด้วย
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2020/08/7-1-1024x683.jpg)
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2020/08/116908558_10164448631040085_3165041465521395430_o-1024x683.jpg)
คิดว่าเรื่องแก้รัฐธรรมนูญเริ่มดำเนินการได้เลย ตอนนี้เป็นฉันทามติของสังคมแล้ว ทุกฝ่ายรู้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ต้องแก้ ไม่อย่างนั้นประเทศเราก็จะไม่สามารถพ้นจากวิกฤตได้ ในเรื่องหยุดคุกคามก็ทำได้เลย ในเรื่องการฟังเสียงประชาชนก็ทำได้เลยเช่นกัน คือ ต้องสร้างพื้นที่ทางการเมืองที่ทำให้ประชาชนรู้สึกมีส่วนร่วมได้ และรู้สึกปลอดภัยที่จะส่งเสียง ถ้าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย ต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ ไม่มีรัฐบาลไหน ปลอดจากการถูกวิพากษ์วิจารณ์ และกลไกตำรวจทหารไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวทางการเมือง ควรปล่อยให้การเมืองเป็นเรื่องของกระบวนการทางการเมือง
[หมายเหตุ : ผศ.ประจักษ์ ก้องกีรติ ให้สัมภาษณ์วันที่ 10 ส.ค. 2563 เวลา 18.00 น.]