สำหรับผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ…ไม่ว่าเป็นคนกรุงแต่กำเนิด คนต่างจังหวัดมาเรียน มาทำงาน สร้างอาชีพ มาสร้างครอบครัว คงน้อยมากที่จะมีใครไม่เคยใช้บริการ ‘รถเมล์’ ระบบขนส่งมวลชนสุดคลาสสิกอยู่คู่คนกรุงมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าทั้ง ขสมก. หรือ รถร่วมบริการ ต่างก็นำพาผู้คนจำนวนมากเดินทางไปสู่จุดหมายทั่วทุกมุมเมือง
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/02/ผู้โดยสารที่หน้าต่างรถเมล์-1024x683.jpg)
วันหนึ่งรถเมล์ที่คนกรุงใช้บริการกันมาเกือบครึ่งชีวิตของแต่ละคน เกิดการเปลี่ยนแปลง แน่นอนว่าถ้าความเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นพร้อมกับคุณภาพของรถที่ดีขึ้น น่าใช้ ปลอดภัย แอร์เย็นสบาย รวมถึงการให้บริการอย่างเป็นมิตร สิ่งนี้อาจสร้างความสุข และรอยยิ้มตลอดการเดินทางในเมืองได้ไม่น้อย ซึ่งประเด็นพวกนี้เราก็ได้เห็นรถเมล์ยุคนี้กำลังค่อย ๆ พัฒนาไปสู่จุดนั้น
แต่ถ้าการเปลี่ยนแปลง กลับนำไปสู่ความสับสน ก็คงไม่แปลกที่ระบบขนส่งดั้งเดิมของคนกรุง จะถูกตั้งคำถาม ?
ถ้าวันนี้ ‘เลขสายรถเมล์’ ที่เราคุ้นเคย จดจำกันได้แม่น เปลี่ยนมาเป็นตัวเลข หรือ ผสมตัวอักษรแบบนี้… 1-22E, 1-80E, 3-55, 4-71, 2-38, 2-46, 3-8, 3-15 คุณคิดว่าชีวิตการเดินทางในเมืองใหญ่ จะง่ายขึ้น หรือ โกลาหล ยุ่งยากกว่าเดิม ?
นั่นเป็นตัวเลขสายรถเมล์ แค่บางส่วน บางเส้นทางที่หยิบมาเป็นตัวอย่าง กับความพยายามของ กรมการขนส่งทางบก ที่หวังปฏิรูปเส้นทางรถเมล์ ทั้งการกำหนดเส้นทางใหม่ ปรับปรุงบางเส้นทาง พร้อมทั้งกำหนดเลขสายขึ้นมาใหม่ เพื่อจุดประสงค์การแบ่งโซนให้ชัดเจนขึ้น “ผู้โดยสารจะได้รู้ว่ารถเมล์แต่ละสาย มีต้นทางอยู่ในพื้นที่ใด ถนนสายใด”
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/02/ประชาชนที่ป้ายรอรถเมล์-1024x683.jpg)
‘เลขสายรถเมล์’ เจ้าปัญหา…เปลี่ยนแล้ว เปลี่ยนอีก
ความหวังดีกับการปฏิรูปสายรถเมล์ที่รัฐคาดหวัง มาพร้อมเสียงวิจารณ์อย่างหนัก จนกลายเป็นปัญหาที่ประชาชน คนใช้บริการ ต้องเผชิญตลอดช่วงที่ผ่านมา ทำให้เมื่อไม่นานมานี้ (2 ก.พ. 67) สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เจ้ากระทรวงคมนาคม สั่งปรับเปลี่ยนเลขสายรถเมล์อีกครั้ง โดยให้ นำขีดกลาง (-) ออก และต่อท้ายด้วยวงเล็บเลขสายเดิม เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ เช่น
- สายเดิม 510 มีการปฏิรูปเป็น 1-19 จากนั้นเปลี่ยนเป็น 119 (510 เดิม)
- สายเดิม 522 มีการปฏิรูปเป็น 1-22E จากนั้นเปลี่ยนเป็น 122E (522 เดิม)
การเปลี่ยนเลขสายรถเมล์ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก เพราะก่อนหน้านี้ ย้อนกลับไปในวันที่ 5 ม.ค. 67 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ได้เปลี่ยนเลขสาย และเส้นทางรถเมล์ใหม่ จำนวน 36 สาย เพื่อให้เป็นไปตามเส้นทางปฏิรูป ตามคำสั่งของกรมการขนส่งทางบก มาแล้วเช่นกัน
การเปลี่ยนแปลงส่งผลกระทบต่อประชาชนที่ใช้บริการ ก่อเกิดความสับสน เพราะประชาชนไม่ได้ทราบการประชาสัมพันธ์มาก่อน แม้ กิตติกานต์ จอมดวง จารุวรพลกุล ผู้อำนวยการ ขสมก. ออกมาขอโทษประชาชนต่อกรณีที่ทำให้เกิดความสับสนกับหมายเลขรถเมล์ แต่ก็ยังยืนยันว่า จำเป็นต้องทำตามแผนปฏิรูปรถเมล์ ซึ่ง ขสมก. ได้ใบอนุญาตประกอบการเดินรถจากกรมการขนส่งทางบก 107 เส้นทาง ดังนั้นหลังจากนี้จะเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบ
ตามมาด้วยการออกแถลงการณ์จาก สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (สร.ขสมก.) ในวันเดียวกัน (5 ม.ค. 67) เรียกร้องให้ยกเลิก การแจ้งเลขสายรถเมล์แบบใหม่ และจะมีมติส่งหนังสือถึง สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และผู้เกี่ยวข้อง เพื่อยกเลิกการเปลี่ยนสายรถเมล์แบบใหม่ต่อไป
แต่ผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่เห็น…การยกเลิกเปลี่ยนสายรถเมล์ใหม่ยังทำไม่สำเร็จ
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/02/ปิดตำนานรถเมล์ร้อน-สาย-7-1-1024x683.jpg)
เปลี่ยนเลขสายรถเมล์ เพื่อประโยชน์ต่อทุกคน ?
แรกเริ่มเดิมที เลขสายรถเมล์ไม่ได้มีหลักเกณฑ์การตั้งใด ๆ ซึ่งผู้ใช้บริการก็สามารถจำเลขรถเมล์ได้เป็นปกติ แม้ไม่ได้มีหลักเกณฑ์ในการช่วยจำก็ตาม
จนกระทั่งมีแนวคิดการปรับเปลี่ยนเลขสายรถเมล์ ตามแผนแม่บทพัฒนาระบบรถโดยสารประจำทางในกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ซึ่งศึกษาโดย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ตั้งแต่ปี 2560 และผ่านการรับฟังความคิดเห็นประชาชน จนได้ข้อสรุปออกมา โดยใช้หลักการแบ่งตามการเดินรถเมล์ของจุดต้น ตามทิศของกรุงเทพฯ ซึ่งคือ เลขแรกเป็นเลขโซน คั่นด้วยขีด (-) และเลขหลังเป็นเลขสาย แบ่งพื้นที่ของกรุงเทพฯ ออกเป็น 4 โซน ได้แก่
- โซนที่ 1 ทิศเหนือ (กรุงเทพฯ โซนเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ ถนนพหลโยธิน) ตั้งแต่ 1-1 ถึง 1-80E (รวม 80 สาย)
- โซนที่ 2 ทิศตะวันตก (กรุงเทพฯ ชั้นในและโซนตะวันตกเฉียงเหนือ) ตั้งแต่ 2-1 ถึง 2-55 (รวม 55 สาย)
- โซนที่ 3 ทิศตะวันออก (กรุงเทพฯ โซนตะวันออกเฉียงใต้ ถนนสุขุมวิท) ตั้งแต่ 3-1 ถึง 3-55 (รวม 55 สาย)
- โซนที่ 4 ทิศใต้ (กรุงเทพฯ โซนใต้และตะวันตกเฉียงใต้ ถนนเพชรเกษม) ตั้งแต่ 4-1 ถึง 4-71 (รวม 71 สาย)
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/02/bus_zone-1024x767.jpg)
(ที่มา กรมการขนส่งทางบก PR.DLT.News)
นอกจากนี้ยังมี
- สาย 5 เส้นทางวงกลมอื่น ๆ ตั้งแต่ 5-1 ถึง 5-3 (รวม 3 สาย)
- สาย A เชื่อมต่อกับท่าอากาศยานดอนเมือง ตั้งแต่ A1 ถึง A4 (รวม 4 สาย)
- สาย S เชื่อมต่อกับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตั้งแต่ S1 ถึง S8 (รวม 8 สาย)
รวมทั้งหมด 276 เส้นทาง
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงเลขสายรถเมล์ครั้งแรกช่วงเดือน มิถุนายน 2565 จิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ว่า การปฏิรูปสายรถเมล์มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทราบว่า รถเมล์แต่ละสายมีต้นทางอยู่ในพื้นที่ใด ถนนสายใด ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อผู้ใช้ทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ไม่ค่อยใช้รถเมล์หรือนักท่องเที่ยวก็ตาม นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้ ขสมก. และรถเอกชน ใส่เลขสายเดิมควบคู่กับเลขสายใหม่กำกับไว้หน้ารถอย่างน้อย 1 ปี เพื่อให้ประชาชนเกิดความคุ้นเคย
แต่จนแล้วจนรอด กระบวนการเปลี่ยนเลขสายรถเมล์นี้ ก็ปรับแค่การตัดขีดกลาง (-) ออก ตามที่ รมว.คมนาคม สั่งการ
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/02/ปิดตำนานรถเมล์ร้อน-สาย-7-1024x683.jpg)
สับสน – จำเยอะ – เลขซ้ำ – การแบ่งโซนยังมีปัญหา
แน่นอนว่าการเปลี่ยนสายรถเมล์ไม่ได้นำมาสู่แค่ความมึนงงของผู้ใช้บริการเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องของการจดจำตัวเลขสายใหม่ ซึ่งพบปัญหา ‘เลขสายใหม่’ ซ้ำกับ ‘เลขสายเก่า’ ด้วย
โดยพบว่า วิธีการปฏิรูปเลขรถเมล์ แบบมีขีดกลาง (-) จะทำให้ผู้ใช้งานต้องจำเลขสายรถเมล์ใหม่ทั้งหมด 276 สาย ในขณะที่วิธีปฏิรูปเลขรถเมล์ แบบตัดขีดกลาง (-) ออก นอกจากจะต้องจำเลขใหม่แล้ว ยังส่งผลให้มีเลขซ้ำกับเลขสายที่มีอยู่แล้วด้วย เช่น
- สาย 29 (บางเขน-วิภาวดี-หัวลำโพง) ปฏิรูปเป็น 1-1 จากนั้นเปลี่ยนเป็น 11 ซึ่งซ้ำกับเลขสาย 11 เดิม (สวนหลวง ร.9-สนามกีฬาแห่งชาติ)
- สาย 11 (สวนหลวง ร.9-สนามกีฬาแห่งชาติ) ปฏิรูปเป็น 3-3 จากนั้นเปลี่ยนเป็น 33 ซึ่งซ้ำกับเลขสาย 33 เดิม (ปทุมธานี-เทเวศน์)
มีเพียงสาย 38 เท่านั้นที่ไม่เปลี่ยนไป เพราะปฏิรูปเป็น 3-8 จากนั้นเปลี่ยนเป็น 38 ซึ่งบังเอิญได้เป็นเลขเดิมอย่างพอดิบพอดี
ดังนั้น วิธีการปฏิรูปเลขสายรถเมล์ใหม่ล่าสุด จะมีเลขสายซ้ำเดิม ทั้งหมด 118 สาย (The Active สรุปข้อมูล)
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องการแบ่งเลขโซน โดยผู้ใช้งาน X (เดิม Twitter) ชื่อ BKK BUS Photographer (@bkk_bus) ชี้ให้เห็นว่า การแบ่งโซนพื้นที่รถเมล์ยังมีปัญหา เช่น
- บางสายมีจุดเริ่มต้น และสิ้นสุดที่เดียวกัน แต่มีเลขโซนคนละเลข เช่น สาย 52 (เลขใหม่ 1-6 หรือ 16 อยู่โซนที่ 1) และสาย 104 (เลขใหม่ 2-16 หรือ 216 อยู่โซนที่ 2) เป็นเส้นทางปากเกร็ด-หมอชิต 2 เหมือนกัน แต่มีเลขโซนอยู่คนละโซน
- บางสายวิ่งไม่ใกล้เคียงกัน แต่มีเลขโซนเดียวกัน เช่น สาย 73ก (เลขใหม่ 2-46 หรือ 246 อยู่โซนที่ 2) สวนสยาม-สนามกีฬาแห่งชาติ และสาย 2-36 (เลขใหม่ 236 อยู่โซนที่ 2) ไทรน้อย-ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ กลับอยู่โซนที่ 2 เหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่เส้นทางการวิ่งไม่ได้ใกล้กันเลย
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/02/ปิดตำนานรถเมล์ร้อน-สาย-7-2-1024x683.jpg)
ปฏิรูปสายรถเมล์ ในมุมคนใช้บริการ
มารุต จันทน์โรจน์ หนึ่งในผู้ดูแลเพจ Bangkokbusclub.com ชุมชนคนรักรถเมล์ โพสต์ข้อความใน Facebook กล่าวถึงปัญหาการปฏิรูปเลขสายรถเมล์ในปัจจุบัน ว่า อ่านชื่อสายยาก ไม่ได้ช่วยให้ผู้ใช้งานจำได้ รวมไปถึงการแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 โซน เขามองว่ามีความหยาบ และไม่ได้อิงตามพื้นที่ จึงอาจสรุปได้ว่า “ล้มเหลวในการใช้เลขรูปแบบนี้อย่างแน่นอน”
“ถ้าการเปลี่ยนแปลงมันควบคู่กับการทำให้คนเดือดร้อนในการใช้งานน้อยที่สุด เราจะได้ไปโฟกัสกับเรื่องเส้นทางที่สร้างโอกาสหรืออาจจะทิ้งใครให้เดือดร้อนบ้าง จะได้ไปโฟกัสแก้ตรงนั้นไป ไม่ใช่ถูกเลขสายประหลาด ๆ กลบไปเสียหมด”
มารุต จันทน์โรจน์
นอกจากการชี้ให้เห็นปัญหา มารุต ยังเสนอวิธีการปฏิรูปเลขสายรถเมล์ ทั้งหมด 4 วิธี ประกอบด้วย
1. ใช้เลขสายแบบเดิม ถ้าเป็นเส้นทางใหม่ ให้รันต่อจากเลขเดิมหรือแทรกเลขที่ขาด
- ตัวอย่าง : สาย 2 กับ 2E / สาย 7 กับ 7A
- ข้อดี : ผู้โดยสารคุ้นเคยกับเลขเดิมมากที่สุด
- ข้อเสีย : อาจสับสนระหว่างรถข้างล่าง-รถทางด่วน รถทางหลัก-รถทางเสริม ที่เป็นการใช้เลขเดียวกันแต่เติมอักษรท้าย เช่น 2 กับ 2E
2. ใช้เลขสายเก่าในบางสาย ถ้าเลขซ้ำให้ใช้เลขใหม่ ลำดับเลขสายจากเลขแรกถึงเลขสุดท้าย
- ตัวอย่าง : สาย 7 และ 41 (เปลี่ยนชื่อจากเดิม 7ก เพื่อลดความสับสน)
- ข้อดี : เลขสายไม่ซ้ำกันและส่วนมากยังเป็นเลขสายเดิม ช่วยลดการสับสน เช่น 7 กับ 41
- ข้อเสีย : ผู้โดยสารอาจจะต้องจำเลขสายที่เปลี่ยนมากขึ้น
3. รวมข้อดีของวิธีที่ 1 และ 2 ใช้เลขเก่าได้แต่ต้องไม่ซ้ำ ถ้าซ้ำให้ใช้เลขใหม่
- ข้อดี : ผู้โดยสารจำเลขสายใหม่น้อยกว่าวิธี 2 (เพราะสัดส่วนเลขสายเก่ามีมากกว่าวิธี 2) และเลขสายไม่ซ้ำกัน ลดการสับสน
- ข้อเสีย : ผู้โดยสารอาจจะต้องจำเลขสายที่เปลี่ยนมากขึ้น (มากกว่าวิธีที่ 1 แต่น้อยกว่าวิธีที่ 2)
4. กรณีแบ่งตามโซน มีการทำโซนอย่างละเอียด และใช้เลข 2 หลักหน้าบอกโซน (ซึ่งละเอียดกว่าการแบ่ง 4 โซนตามวิธี ขสมก. ปัจจุบัน)
- ตัวอย่าง : รถที่มีต้นทางอยู่อู่บรมฯ ที่จะเข้าถนนเพชรเกษมหรือมาจากช่วงกลางของถนนเพชรเกษม ใช้เลขสาย 60X
- ข้อดี : การอ่านโซนเป็นประโยชน์ต่อผู้โดยสารรถเมล์หน้าใหม่
- ข้อเสีย : ผู้โดยสารต้องจำเลขสายใหม่ทั้งหมด และบางตัวเลขจะซ้ำกับเลขเก่าที่เคยมีอยู่แล้ว กระทบในช่วงเปลี่ยนผ่าน
The Active จึง สรุปจากวิธีที่มารุต เสนอ พบว่า
- วิธีที่ 1 (ใช้เลขสายแบบเดิม) จะมีเลขใหม่ที่ต้องจำเพิ่ม 118 สาย
- วิธีที่ 2 (เลขซ้ำให้ใช้เลขใหม่) จะมีเลขใหม่ที่ต้องจำเพิ่ม 145 สาย
- วิธีที่ 3 (รวมข้อดีของวิธีที่ 1 และ 2) จะมีเลขใหม่ที่ต้องจำเพิ่ม 125 สาย
- วิธีที่ 4 (แบ่งตามโซน) จะมีเลขสายใหม่ที่ต้องจำเพิ่ม 276 สาย
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/02/image-20-1024x504.png)
โดยสรุปวิธีที่ทำให้คนจำเลขใหม่เรียงตามลำดับจากน้อยไปมาได้ ดังนี้
- วิธีที่ 1 – ใช้เลขสายเดิม (จำใหม่ 118 สาย หรือ 42.75%)
- วิธีที่ 3 – รวมข้อดีของวิธีที่ 1 และ 2 (จำใหม่ 125 สาย หรือ 45.29%)
- วิธีที่ 2 – เลขซ้ำให้ใช้เลขใหม่ (จำใหม่ 145 สาย หรือ 52.54%)
- วิธีปฏิรูปปัจจุบัน (จำใหม่ 270 สาย หรือ 97.83%)
- วิธีที่ 4 – แบ่งตามโซน และวิธีปฏิรูปปัจจุบัน (จำใหม่ 276 สาย หรือ 100%)
ไม่ว่าจะใช้วิธีปฏิรูปเลขสายแบบไหน ประชาชนก็จะต้องจดจำสายรถเมล์เพิ่มเติมอยู่ดี ขึ้นอยู่กับว่าจะต้องจำเพิ่มมากหรือน้อย สิ่งนี้นำมาสู่การตั้งคำถามว่า…เราจำเป็นต้องปฏิรูปเลขสายรถเมล์จริงหรือไม่ ?
แล้วถ้าต้องปฏิรูปกันจริง ๆ จะใช้วิธีการใดจึงจะเหมาะสมที่สุด ? รวมไปถึง วิธีการในแบบปัจจุบันที่แบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 โซนนั้น เพียงพอแล้วหรือยัง ? ที่จะบรรลุตามตามวัตถุประสงค์ “ผู้โดยสารรู้ว่ารถเมล์แต่ละสายมีต้นทางอยู่ในพื้นที่ใด ถนนสายใด”
สรุปข้อมูลข้อเสนอวิธีการปฏิรูปสายรถเมล์โดย มารุต จันทร์โรจน์ และ ข้อมูลเลขสายรถเมล์ซ้ำ : LINK