เปิดตัวคิด for คิดส์ ศูนย์ความรู้นโยบายเด็กและครอบครัว รับมือความท้าทายจากวิกฤตโควิด-19 – ความเหลื่อมล้ำ เสนอเร่งแก้ความรู้ถดถอย เยียวยากลุ่มเปราะบาง ขยายช่องทางการมีส่วนร่วมทางการเมืองทำให้เด็กเข้าถึง บริการสุขภาพจิตได้ง่ายที่สุด
จากข้อมูลในปี 2564-2565 เด็กและครอบครัวต้องเผชิญกับโควิด-19 ที่ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อสะสม 4.6 ล้านคน (ศคบ. 2565) และได้มีการประกาศใช้มาตราการพิเศษ และ พ.ร.ก. ฉุกเฉินนานกว่า 2 ปี 4 เดือน และยังพบวิกฤตความเหลื่อมล้ำและพัฒนาการกว่า 61.4 % ของเด็กและเยาวชนที่อายุไม่เกิน 21 ปี อาศัยอยู่ในครอบครัวที่มีรายได้ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูโดยเฉลี่ย ทั้งนี้มีข้อมูลจาก Mob Data Thailand และศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ปี 2565 พบว่าวิกฤตสังคมและการเมืองที่ช่วงที่ผ่านมามีเด็กและเยาวชนจัดชุมชุม 193 ครั้งในปี 2563 และมีส่วนร่วมในการชุมนุม 1,838 ครั้ง และถูกดำเนินคดีแล้วกว่า 279 ราย
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2022/08/S__7323746-1024x682.jpg)
ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว ร่วมกับศูนย์ความรู้นโยบายสาธารณะเพื่อการเปลี่ยนแปลง (101 Public Policy Think Tank หรือ 101 PUB) จัดเสวนาสาธารณะ “เด็กและครอบครัวไทยใน 3 วิกฤต : รายงานสถานการณ์เด็กและครอบครัว ประจำปี 2565” เปิดตัว ศูนย์ความรู้นโยบายเด็กและครอบครัว หรือ “คิด for คิดส์”
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2022/08/S__7323748-1024x682.jpg)
โดย ณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สสส. กล่าวว่า การจัดตั้ง ‘คิด for คิดส์’ เป็นหมุดหมายสำคัญที่ สสส. ต้องการขับเคลื่อนงานเด็ก เยาวชน และครอบครัวสู่อนาคต บนฐานของความรู้ที่มีคุณภาพ ไม่แปลกแยกจากโลกใหม่ เน้นการทำงานความรู้และสื่อสารกับสังคม โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายเป็นคนรุ่นใหม่ทุกกลุ่ม และภาคีเครือข่ายของ สสส. ให้เข้ามาช่วยกันส่งเสียง ตั้งโจทย์ และทำงานร่วมกัน เพื่อจุดประกายและสร้างสังคมที่มีประโยชน์กับเด็กและเยาวชน
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2022/08/S__7323736-1024x682.jpg)
ทั้งนี้ พบว่า 3 วิกฤตส่งผลต่อชีวิตเด็กและครอบครัวไทยอย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งมองเห็น 7 แน้วโน้มพร้อมกับข้อเสนอที่เป็นนโยบาย
หนึ่ง เด็กและเยาวชนเผชิญการภาวะการเรียนรู้ที่ถดถอย(Learning Loss) พัฒนาการหยุดชะงัก ทำให้ทักษะต่างๆ ที่เด็กควรจะได้รับการพัฒนาตามช่วงวัยสูญเสีย ถดถอย หรือล่าช้าไป ส่งผลต่อพัฒนาการหลายด้าน เช่น ด้านวิชาการโดยเฉพาะทักษะอ่าน-เขียน และการคํานวณด้านพัฒนาการทักษะทางร่างกาย ความสามารถในการจดจําและอารมณ์และสังคม เด็กเกิดความเครียดขาดทักษะการสื่อสาร ไม่ใช่เพียงแค่ในประเทศไทยเท่านั้น ข้อมูลจาก องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือ UNICEF ระบุว่า เด็กและเยาวชน 1.6 พันล้านคนทั่วโลก เผชิญกับภาวะการเรียนรู้ถดถอย ขณะที่ข้อมูลจากกระทรวงศึกษาธิการ เผยตัวเลข ในปี 2564 มีเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา 2.3 แสนคน ซึ่งมีตัวเลขเปอร์เซนต์นักเรียนยากจนพิเศษ ถึง 14.6 % ไม่กลับไปเรียนต่อ นำมาสู่ข้อเสนอที่ให้ ทบทวนและตั้งหลักระบบการศึกษาใหม่ เพื่อชดเชยช่วงเวลาที่สูญหาย ดึงเด็กที่หลุดออกจากระบบ รองรับสถานะแหล่งเรียนรู้นอกระบบ ชดเชยความรู้ ทบทวนหลักสูตรใหม่ และพัฒนาระบบระบบนิเวศ และเติมการเรียนรู้แบบใหม่
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2022/08/ภาพ_2022-08-22_170517797-1024x713.png)
สอง เด็กและครอบครัวเข้าถึงการบริการของรัฐได้ยากขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากสุดคือแม่และเด็ก จึงนำไปสู่ข้อเสนอนโยบายที่ว่า บริการรัฐต้องต่อเนื่องทั่วถึง ยืดหยุ่น และพร้อมรับมือวิกฤต เร่งเยียวยาช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบ ปรับปรุงประสิทธิภาพกำลังบุคลากรและทรัพยากร พร้อมกับการถอดบทเรียนปรับโครงสร้างให้พร้อมรับมือวิกฤต
สาม เด็กและเยาวชนถูกผลักเข้าสู่โลกออนไลน์โดยขาดฐานที่จำเป็น การปิดสถานที่เพื่อชะลอการแพร่ระบาดส่งผลให้เด็กและเยาวชนเข้าสู่โลกออนไลน์อย่างรวดเร็ว 2-3 ปีที่ผ่านมา พบว่าเด็กส่วนใหญ่เริ่มใช้สื่อดิจิตอล และใช้เป็นเวลานานถึง 12 ชั่วโมง ซึ่งก็พบว่าเด็กและชนต้องเข้าสู่โลกออนไลน์โดยขาดทักษะ การรู้เท่าทันสื่อสาระสนเทศและดิจิตอล(MIDL) ขณะที่หลายคนถูกผลักเข้าสู่โลกออนไลน์โดยไม่มีแม้กระทั่งอินเตอร์เน็ต กว่า 2.1 % ของเด็กและเยาวชนอายุ 6 ถึง 24 ปี โดยมีข้อเสนอนโยบาย คือ ฟื้นฟูผลกระทบ ด้วยการเน้นกิจกรรมที่เน้นปฏิสัมพันธ์ แหล่งเรียนรู้และนันทนาการ ที่มีคุณภาพ,สร้างฐานที่จำเป็น – เท่าเทียม ทั้งด้านทักษะและอุปกรณ์ เตรียมรับวิกฤตใหม่
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2022/08/ภาพ_2022-08-22_170316084-1024x714.png)
สี่ เด็กและเยาวชนมีส่วนร่วมทางการเมืองแต่ภาครัฐสกัดกั้นด้วยความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งมีข้อเสนอนโยบายให้ หยุดกดปราบและขยายช่องทางการมีส่วนร่วมที่มีความหมาย ขยายช่องทางในระบบการเมืองระดับชาติ-ท้องถิ่น, ปรับปรุงกลไกสภาเด็กและเยาวชน, ขยายช่องทางในระดับชุมชนและสถานศึกษา
ห้า โครงสร้างประชากรเข้าสู่สังคมสูงวัยสมบรูณ์ ครอบครัวมีขนาดเล็กและเปราะบางยิ่งขึ้น ข้อเสนอนโยบาย คุ้มครองเยียวยาดูแลเด็กเปราะบางที่รับผลกระทบก่อนเป็นอันดับแรก แก้ความเหลื่อมล้ำระหว่างพื้นที่ลดครัวเรือนข้ามรุ่น วางแผนดูแลเด็กกำพร้าจากโควิดโดยคำนึงถึงสภาวะจิตใจ
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2022/08/ภาพ_2022-08-22_170919720-1024x684.png)
หก เด็กและเยาวชนเครียดและมีปัญหาสุขภาพจิตมากขึ้น ข้อเสนอนโยบาย คือการทำให้เด็กเข้าถึง บริการสุขภาพจิตได้ง่ายที่สุด, เพิ่มบุคลากรด้านสุขภาพจิตและวัยรุ่นให้เพียงพอ, รณรงค์สร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพจิต
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2022/08/ภาพ_2022-08-22_165910550-1024x697.png)
และ เจ็ด ความไม่ลงรอยระหว่างรุ่นรุนแรงขึ้น บั่นทอนความสัมพันธ์ภายในครอบครัว โดยมีข้อเสนอคือ สร้างทักษะในการอยู่ร่วมกันลดความเหลื่อมล้ำพร้อมรับสถานการณ์ที่เลวร้ายเสริมสร้างความเข้าใจลดความเหลื่อมล้ำเชิงอำนาจเพื่อลดความขัดแย้งจัดกลไกป้องกันและเยียวยาผลจากความรุนแรง
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2022/08/ภาพ_2022-08-22_171107014-1024x675.png)
นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอให้รัฐบาลตั้งหลักใหม่ เติมความฝันเด็กและครบครัว เพื่อให้เด็กเติบโตเป็นพลเมืองในโลกใหม่อย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งจะต้องอาศัยเสาหลัก 3 อย่าง
หนึ่ง จัดหาทรัพยากรที่เพียงพอสําหรับการดูแลและพัฒนาเด็กเยาวชนและครอบครัว อย่างเช่น สวัสดิการพื้นฐานที่ครอบคลุมและเข้าถึงได้จริงโดยเฉพาะครอบครัวเปราะบางสิทธิแรงงาน โดยเฉพาะโอกาสของพ่อแม่ในการดูแล และพัฒนาเด็กแรกเกิด ขยายสิทธิ์เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดให้ถ้วนหน้า(ตัดปัญหาเด็กยากจนตกหล่น),เพิ่มเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดเป็น1,200-1,500 บาท/เดือน(ครอบคลุมค่าใช้จ่ายครึ่งหนึ่ง),ขยายความมั่นคงทางการเงินสู่เด็กและเยาวชนอายุมากกว่า 6 ปีเพิ่มสวัสดิการดูแลผู้สูงอายุ,ขยายสวัสดิการแรงงานและการว่างงาน
สอง เพิ่มทางเลือกและคุณภาพของบริการสาธารณะ โดยบริการสาธารณะด้านสุขภาพและการเรียนรู้ที่มีคุณภาพเสมอหน้ากันตั้งแต่แรกเกิด
และ สาม ส่งเสริมสิทธิเด็กและการมีส่วนร่วมของเด็กตลอดกระบวนการนโยบาย ลดอายุขั้นต่ำ และเพิ่มความสะดวกในการมีส่วนร่วมทางการเมือง พัฒนาสภาเด็กและเยาวชนเพื่อสะท้อนเสียงและขับเคลื่อนสังคมที่เยาวชนต้องการเห็น เคารพสิทธิเด็กในฐานะพลเมืองส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกระบวนการนโยบายอย่างมี ความหมาย ให้เด็กมีสิทธิตัดสินใจในชีวิตของตนเอง และร่วมสร้างสังคมที่ต้องการอยู่ใน อนาคต