กสม. จี้ รพ.เอกชน เลิกรับตรวจหาเชื้อเอชไอวีให้เอกชน

หลังพบถูกใช้เป็นเงื่อนไขก่อนรับเข้าทำงาน ชี้ เข้าข่ายการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ‘ภาคประชาชน’ เร่งสื่อสารความเข้าใจที่ถูกต้อง ผู้อยู่ร่วมกับเอชไอวี รักษา กินยา สามารถทำงานได้ ไม่ป่วย ไม่แพร่เชื้อ

วันนี้ (9 ส.ค. 2566) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 29/2566 โดยมีวาระสำคัญ ในการขอให้กำชับโรงพยาบาลเอกชนไม่ให้ตรวจหาเชื้อเอชไอวีให้บริษัทเอกชนเพื่อใช้ประกอบการพิจารณารับคนเข้าทำงาน อันเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล

วสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากมูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ เมื่อ มี.ค. 2566 ซึ่งร้องเรียนแทนผู้เสียหายรายหนึ่งที่เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวีและเป็นพนักงานชั่วคราวแผนกบริการอาหารและเครื่องดื่มของโรงแรมแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ว่าโรงแรมกำหนดเงื่อนไขให้ผู้สมัครงานที่ผ่านการคัดเลือกเป็นพนักงานประจำต้องตรวจหาเชื้อเอชไอวีที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ก่อนรับเข้าทำงาน จึงขอให้ตรวจสอบ

กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 27 กำหนดว่า การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลด้วยเหตุความแตกต่างในสภาพทางกายหรือสุขภาพจะกระทำมิได้ และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) ได้ให้การรับรองสิทธิในการทำงาน ซึ่งรวมถึงสิทธิของทุกคนในโอกาสที่จะหาเลี้ยงชีพโดยงานซึ่งตนเลือกหรือรับอย่างเสรี ดังนั้น การที่โรงแรมแห่งดังกล่าวกำหนดเงื่อนไขให้ผู้สมัครงานที่ผ่านการคัดเลือกเป็นพนักงานประจำต้องตรวจหาเชื้อเอชไอวีก่อนรับเข้าทำงาน เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องสภาพทางกายหรือสุขภาพ และสิทธิของบุคคลในโอกาสที่จะหาเลี้ยงชีพอย่างเสรี และ ขัดต่อประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การป้องกันและการบริหารจัดการด้านเอดส์ในสถานที่ประกอบกิจการ 5 พ.ย. 2563 แนวปฏิบัติแห่งชาติว่าด้วยการป้องกันและบริหารจัดการด้านเอดส์ในสถานที่ทำงาน 21 ส.ค. 2552 และเป็นการไม่ปฏิบัติตามแนวปฏิบัติ เรื่อง โรคเอดส์ในโลกแห่งการทำงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) จึงเป็นการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

อย่างไรก็ตาม ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ปัจจุบันโรงแรมดังกล่าว ได้ยกเลิกเงื่อนไขที่กำหนดให้ผู้สมัครงานที่ผ่านการคัดเลือกเป็นพนักงานประจำต้องตรวจหาเชื้อเอชไอวีแล้ว ประกอบกับผู้เสียหายไม่ประสงค์สมัครเป็นพนักงานประจำของโรงแรมแห่งดังกล่าวแล้ว

ขณะที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งดังกล่าวซึ่งเคยให้บริการตรวจหาเชื้อเอชไอวีให้กับบริษัทเอกชนเพื่อใช้ประกอบการพิจารณารับบุคคลเข้าทำงาน กรมควบคุมโรคได้มีหนังสือเมื่อ มี.ค. 2566 ขอความร่วมมือไปยังโรงพยาบาลเอกชนไม่ให้รับบริการตรวจหาเชื้อเอชไอวีให้กับผู้สมัครงานหรือบุคคลที่เตรียมบรรจุเป็นพนักงาน หรือตรวจสุขภาพประจำปีให้กับสถานประกอบการหรือหน่วยงานภาคเอกชน และปัจจุบันโรงพยาบาลเอกชนแห่งดังกล่าว ได้ยกเลิกให้บริการตรวจหาเชื้อเอชไอวีให้กับบริษัทเอกชนทุกแห่งแล้ว

จากเหตุผลดังกล่าว กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2566 มีมติเห็นว่า การละเมิดสิทธิมนุษยชนตามคำร้องกรณีนี้เป็นกรณีตามมาตรา 39 (5) ประกอบมาตรา 39 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2560 ที่บัญญัติให้ กสม. ยุติเรื่องหากเป็นเรื่องที่มีการแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสมแล้ว

ก่อนหน้านั้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2566 ได้พิจารณารายงานผลการประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนกรณีคล้ายคลึงกัน สืบเนื่องจากเมื่อ มี.ค. และ เม.ย. 2566 มูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ได้ร้องเรียนแทนผู้เสียหายสองรายซึ่งติดเชื้อเอชไอวี และสมัครเข้าทำงานกับบริษัทสองแห่ง โดยฝ่ายบุคคลของบริษัททั้งสองให้ผู้เสียหายเข้ารับการตรวจสุขภาพและตรวจหาเชื้อเอชไอวีที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง กรณีดังกล่าว กสม. ได้รับเรื่องไว้ประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน โดยได้ประสานสอบถามไปยังบริษัทและโรงพยาบาลเอกชนผู้ถูกร้อง

ซึ่งต่อมาได้รับทราบว่าบริษัทเอกชนได้ยกเลิกการตรวจหาเชื้อเอชไอวี ก่อนรับเข้าทำงานทุกตำแหน่ง และโรงพยาบาลเอกชนตามคำร้องได้ยกเลิกรายการตรวจหาเชื้อเอชไอวีในผู้สมัครงานหรือพนักงานให้แก่บริษัทเอกชน และปฏิเสธการแจ้งผลการตรวจหาเชื้อเอชไอวีให้แก่ผู้ประกอบการ นายจ้าง หรือบุคคลอื่นใด ทราบด้วย ในส่วนของกรมควบคุมโรคได้มีหนังสือเมื่อ พ.ค. 2566 แจ้งไปยังสมาคมโรงพยาบาลเอกชนเพื่อขอความร่วมมือโรงพยาบาลเอกชนไม่รับตรวจหาเชื้อเอชไอวีประกอบการรับเข้าทำงานหรือใช้ประเมินบุคคล อันเป็นกรณีที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อแก้ไขปัญหาตามสมควรแล้ว กสม. จึงมีมติเห็นชอบผลการประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน อย่างไรก็ดี เพื่อส่งเสริมสิทธิมนุษยชน จึงมีมติให้แจ้งไปยังสมาคมโรงพยาบาลเอกชนอีกครั้งเพื่อกำชับโรงพยาบาลเอกชนทุกแห่งไม่ให้ตรวจหาเชื้อเอชไอวีในผู้สมัครงานหรือพนักงานรวมถึงแจ้งผลการตรวจหาเชื้อเอชไอวีทุกกรณี

ย้อนหนังสือกรมควบคุมโรค เคยส่งถึงสมาคม รพ.เอกชน ไม่ตรวจเอชไอวีให้นายจ้าง เป็นข้ออ้างไม่รับทำงาน

ก่อนหน้านี้ 24 มี.ค. 2566 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ออกหนังสือลงนามโดย นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค  ส่งถึงนายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เพื่อ ขอความร่วมมือรพ.เอกชนไม่รับตรวจเอชไอวีเพื่อประกอบการพิจารณารับเข้าทำงานหรือใช้ในการประเมินบุคคล

โดยใจความระบุว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยการยุติปัญหาเอดส์ พ.ศ. 2560-2573 ที่คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ เสนอเมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2560 มีเป้าหมาย 3 ประการคือ 1. ลดการติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ลงให้ต่ำกว่า 1,000 คนต่อปี 2. ลดการเสียชีวิตจากโรคเอดส์ลงให้ได้ต่ำกว่า 4,000 คนต่อปี และ 3. ลดการเลือกปฏิบัติจากเอดส์เหลือไม่เกินร้อยละ 10

ทั้งนี้ ปัจจุบันการแพทย์ก้าวหน้า ทำให้สถานการณ์ผู้ติดเชื้อเอชไอวีเปลี่ยนแปลงจากเดิมอย่างมาก โดยมีการศึกษาพบว่า ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่เข้าสู่การรักษากินยาต่อเนื่อง จะตรวจไม่พบเชื้อเนื่องจากปริมาณไวรัสในกระแสเลือดต่ำมาก ๆ จนไม่สามารถถ่ายทอดเชื้อไปให้ผู้อื่นได้ ในระดับสากลจึงมีการรณรงค์เรื่อง U=U (Undetectable=Untransmutable) หรือตรวจไม่พบเชื้อเท่ากับไม่ถ่ายทอดเชื้อ อีกทั้งในปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีเข้าสู่การรักษามากกว่าร้อยละ 90 และมีสุขภาพแข็งแรงไม่แตกต่างจากคนที่ไม่ติดเชื้อเอซไอวี สามารถทำงานได้ ไม่ป่วยเป็นโรคเอดส์

กรมควบคุมโรค จึงขอความร่วมมือโรงพยาบาลเอกชนไม่รับให้บริการตรวจเอชไอวีในการตรวจสุขภาพผู้สมัครงานหรือบุคคลที่เตรียมบรรจุเป็นพนักงาน หรือตรวจสุขภาพจำปีให้กับสถานประกอบการหรือหน่วยงานภาคเอกชน เพื่อนำผลไปประกอบการพิจารณารับหรือประเมินบุคคล ซึ่งถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 27 รวมถึงกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมและอนุสัญญาแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 111 กำหนดไว้

สำหรับในวันพรุ่งนี้ (10 ส.ค. 2566) มีรายงานว่า มูลนิธิสถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี (IHRI) จัดงานภายใต้หัวข้อ U=U: Say Zero Now เพราะชีวิต ความหวัง ความฝันของผู้ติดเชื้อ…รอไม่ได้ พร้อมรับฟังและแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดเห็น และร่วมรณรงค์สื่อสารสาธารณะสำหรับผู้ที่สนใจในประเด็น U=U (Undetectable = Untransmittable) พร้อมแลกเปลี่ยนมุมมองจากคนทำงาน อาทิ พญ.นิตยา ภานุภาค ผู้อำนวยการ IHRI ข้อมูลจากพื้นที่ สู่การผลิตสื่อสารคดี U=U โดย จารุณี ศิริพันธุ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ พร้อมร่วมชมวีดีโอ U=U พร้อมรับฟังเสียงและความมุ่งหวังของผู้ส่งสารโดยภาคีเครือข่าย ในรูปแบบรณรงค์สื่อสารสาธารณะแบบออนไลน์ ตั้งแต่เวลา 09:00-12:00 น.

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active