นักวิทยาศาสตร์ ติง ข้อสันนิษฐาน DNA เอเลี่ยน รัฐบาลเม็กซิโก ไร้หลักฐาน-ไม่เปิดเผยกระบวนการศึกษา

ชวนมองปรากฏการณ์ UFO – มนุษย์ต่างดาว แบบไม่ตัดสิน เมื่อวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่เน้นกระบวนการและหลักฐาน มากกว่าผลลัพธ์ จับข้อสังเกตข้อค้นพบรัฐบาลเม็กซิโก และท่าทีจากองค์การนาซา

จากกระแสข่าวรัฐสภาเม็กซิโก นำซากฟอสซิลหน้าตาคล้ายมนุษย์ และถูกนิยามว่าเป็น “ซากเอเลี่ยน” เพื่อสะท้อนว่ามนุษย์ไม่ได้อยู่ในจักรวาลใหญ่เพียงลำพัง ขณะที่วันเดียวกัน (14 ก.ย. 2566) ตามเวลาประเทศไทย องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐฯ หรือ องค์การนาซา แถลงผลการศึกษาเกี่ยวกับ “ปรากฏการณ์ผิดปกติที่ไม่อาจระบุได้” หรือ UAP ย่อมาจาก Unidentified Anomalous Phenomena หรือที่รู้จักกันในนาม “UFO” (Unidentified Flying Object) โดยระบุว่าเป็น “วัตถุปริศนาบินได้ที่ยังไม่สามารถอธิบายได้” 

The Active สัมภาษณ์ ชยภัทร อาชีวระงับโรค บรรณาธิการบริหาร Spaceth.co และ ผู้ร่วมก่อตั้ง Creatorsgarten  และ ยสวัต ป้อมเย็น อดีตนักเรียนทุนรัฐบาลกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปัจจุบันเป็น นักวิจัยสาขาสุขภาพ

ยสวัต ป้อมเย็น อดีตนักเรียนทุนรัฐบาล กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และนักวิจัยสาขาสุขภาพ เล่าว่า UFO หรือ วัตถุที่ลอยในอวกาศและกล้องไม่สามารถจับภาพได้ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นหา สิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น แม้จนถึงตอนนี้การค้นหาจะยังอธิบายไม่ได้ แต่ท่าทีขององค์การนาซาให้ความสำคัญกับการค้นหา ปรากฏการณ์สิ่งผิดปกติที่ไม่สามารถอธิบาย (UAP : Unidentified anomalous phenomena) หรือ ที่รู้จักกันในนาม “UFO” (Unidentified Flying Object) อย่างยิ่ง

โดยการระบุว่า “UFO” เป็น “วัตถุปริศนาบินได้ที่ยังไม่สามารถอธิบายได้” เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมายังสะท้อนว่า องค์การนาซาให้ความสำคัญกับการมีอยู่ หรือไม่มีอยู่ของ UFO

ยสวัต เล่าว่า ที่นาซาจะมีหน่วยการศึกษาสิ่งมีชีวิตในอวกาศ (astrobiology) ทั้งในมิติของวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตบนโลกมนุษย์ว่ามีความเป็นมาอย่างไร ดวงดาวแบบใดในระบบสุริยจักรวาลหรือระบบอื่นที่ไกลกว่านั้นที่สามารถก่อเกิดสิ่งมีชีวิตได้ รวมไปถึงรองรับสิ่งมีชีวิตบนโลกมนุษย์ และการค้นหา “สัญญาณชีวิต” ในรูปแบบต่าง ๆ  ฯลฯ ก่อนจะกลายเป็นนิยาม หรือ คำจำกัดความ 

โดยที่ผ่านมาองค์การนาซา เก็บข้อมูลและเปิดเผยมาตลอด และต้องยอมรับว่ามนุษย์เราก็ยังไม่สามารถเก็บข้อมูลที่อยากรู้ในชั้นบรรยากาศได้ทั้งหมด เราจึงไม่สามารถบอกได้ว่า UAP, UFO เป็นเอเลี่ยน เป็นมนุษย์ต่างดาวหรือไม่นั่นเอง จึงประกาศออกมาว่าข้อมูลยังไม่ครบ 

ยสวัต เล่าต่อว่า หลังจากนี้นาซาคงต้องมีการขอเงินทุนเพิ่มเติมจากรัฐบาลกลางสหรัฐฯ เพื่อมาศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม และอาจจะใช้ AI ช่วยแยกแยะความแตกต่างของสิ่งที่พบ แต่แน่นอนว่า ท่าทีขององค์การนาซา ตั้งสมมติฐานว่า “มี” และกำลังหาหลักฐานเพื่ออธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น แต่สิ่งสำคัญ นักวิทยาศาสตร์จะไม่ได้แค่เพียงบอกว่า สิ่งนั้นมี หรือ ไม่มี แต่จะตั้งคำถามว่า หลักฐาน คืออะไร

DNA คือ สารพันธุกรรมของเอเลี่ยน? หนึ่งในข้อสันนิษฐาน ที่ไม่มีหลักฐานของคำแถลงการพบซากเอเลี่ยน จากรัฐบาลเม็กซิโก

ก่อนหน้านี้มีสื่อต่างชาติ เคยถามเรื่องรัฐบาลเม็กซิโก กับ องค์การนาซา และผู้บริหารของนาซา ก็ตอบคำถามโดยเปรียบเทียบกับ ช่วงเวลาที่องค์การนาซา ส่งยานอวกาศไปเก็บหินบนดวงจันทร์ นาซา ไม่ได้เพียงกลับมาและบอกว่า นี่คือหินบนดวงจันทร์ (Moon rock) แต่ประกาศทันทีว่า นักวิทยาศาสตร์คนไหนที่สนใจวิเคราะห์หินจากดวงจันทร์ ให้ส่งข้อเสนอมา หากพิจารณาแล้วว่าเป็นการศึกษาที่มีคุณค่าน่าจะมีประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ นาซา ก็จะส่งตัวอย่างหินบนดวงจันทร์ไปให้ เพื่อเป็นหลักฐานทางวิชาการและแสดงความโปร่งใส และในวงการวิทยาศาสตร์ทั่วโลกก็ทำแบบนี้เช่นกัน แตกต่างไปจากการออกมาเปิดเผยของรัฐบาลเม็กซิโกครั้งล่าสุด 

โดยข้อสังเกตแรก คือ ผลการเอ็กซเรย์ ที่พบว่า ซากเอเลี่ยน มีกระดูกสันหลัง, ไม่มีทางเดินอาหาร, มี DNA 70 % ที่ไม่เหมือนสิ่งมีชีวิตบนโลก คำถามใหญ่คือ เอเลี่ยน ใช้ DNA เป็นสารพันธุกรรมหรือไม่ ทำไมถึงสันนิษฐานแบบนั้น? และมีหลักฐานอะไรมายืนยัน เพราะก่อนหน้าที่มนุษย์จะค้นพบว่าสารพันธุกรรมคือ DNA นักวิทยาศาสตร์ก็เคยคิดว่า สารพันธุกรรมนุษย์ คือโปรตีนมาก่อน แต่ครั้งนี้กลับตั้งสันนิษฐานไปทันทีว่า เป็น DNA เป็นต้น

เหตุการณ์นี้จึงสรุปได้ 3 ประเด็น แบบง่ายที่สุดคือ ซากที่พบอาจถูกปลอมขึ้น, เป็นสิ่งมีชีวิตบนโลกที่กลายพันธุ์ มีกระดูกสันหลัง มี 3 นิ้ว และใช้ DNA เป็นสารพันธุกรรม, เป็นเอเลี่ยนจริง ๆ แต่ก็น่าสนใจว่า จนถึงวันนี้ทำไมวงการวิทยาศาสตร์ ถึงยังไม่สามารถหาอารยธรรมเอเลี่ยนเจอ

“การค้นหา ปรากฎการณ์สิ่งผิดปกติที่ไม่สามารถอธิบาย ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ สำหรับ “องค์การนาซา” ครั้งนี้ยังไม่สามารถอธิบายได้ ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า มีจริงหรือไม่ แต่ทุกครั้งการเก็บข้อมูลของนาซ่า จะเปิดเผย และตรวจสอบได้ แตกต่างจากรัฐบาลเม็กซิโก ที่ยังมีข้อสังเกตหลายจุด”

ยสวัต ป้อมเย็น

“UFO เอเลี่ยน” ไม่สะท้อนความเป็นวิทยาศาสตร์ ทำให้กระบวนการ ระหว่างการสำรวจกลายเป็นเรื่อง “ตลก” หรือ “มีม Culture”

ชยภัทร อาชีวระงับโรค บรรณาธิการบริหาร Spaceth.co และผู้ร่วมก่อตั้ง Creatorsgarten  ชวนมอง UFO และเอเลี่ยน แบบไม่ตัดสินว่า “เป็นเรื่องจริง หรือ ไร้สาระ” เพราะวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่เน้นกระบวนการ และ หลักฐาน

เขาบอกว่าจุดกำเนิดคำถาามว่า เอเลี่ยนมีจริงไหม หน้าตาเป็นอย่างไร มาจากภาพจำจากหนัง ภาพยนตร์ ที่สร้างจินตนาการขึ้นมา สร้างรูปร่างของเอเลี่ยนจนส่งอิทธิพลภาพจำในที่สุด เขามองว่า ข่าวล่าสุดจาก องค์การนาซา และรัฐบาลเม็กซิโก กับการจับตาของผู้อ่าน ผู้ติดตามในโลกออนไลน์ สะท้อนว่า ประชาชนไม่ได้จริงจัง ตื่นตระหนกกับข่าวในลักษณะนี้ และกลายเป็น “มีม Culture” มากกว่าจะจริงจังกับข่าวเหล่านี้ 

ด้วยการพาดหัวของข่าวที่เน้นการแชร์ภาพศพเอเลี่ยน และการบอกว่านี่คือ “เอเลี่ยน” ยิ่งทำให้สังคมไม่ได้ตั้งคำถามกับกระบวนทางวิทยาศาสตร์ ที่กำลังอยู่ระหว่างการสำรวจ ค้นหาสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในระบบสุริยจักรวาล ซึ่งในทางทฤษฎี มีความเป็นไปได้สูงที่เราจะพบสิ่งมีชีวิตใหม่ ๆ แต่กระแสข่าวในแบบที่ผ่านมาทำให้เราไปไม่ถึงการตั้งคำถามที่ลึกขึ้นว่า โลกกำลังค้นพบอะไร หรือกำลังสำรวจอะไร

“เอเลี่ยน” มีจริงหรือไม่ กลายเป็นคำถามที่เราพบมากที่สุด และ กลายเป็น Pop culture หรือวัฒนธรรมประชานิยมไปแล้ว การพาดหัวข่าวพบศพเอเลี่ยน น่าจะมาผิดทาง เพราะเวลานี้วิทยาศาสตร์กำลังอยู่ระหว่างการค้นหา การสำรวจ… เอเลี่ยน อาจจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตในแบบที่มนุษย์จินตนาการก็เป็นไปได้ การอ่านข่าว เอเลี่ยน – UFO จึงเป็นเรื่องที่ควรค้นหาให้ลึกมากกว่าแค่คำถามว่า เอเลี่ยนมีจริงหรือไม่? 

ชยภัทร อาชีวระงับโรค

เขาจึงมองว่าการค้นพบขององค์กรนาซาก่อนหน้านี้ที่ยังหารายงานพิสูจน์เรื่องวัตถุลึกลับบินได้ หรือล่าสุดที่ออกข่าวเรื่อง ซากศพเอเลี่ยน ควรเดินหน้าตั้งทีมสำรวจทำวิจัยอย่างจริงจัง เพื่อยืนยันในหลักฐาน หรือข้อพิสูจน์มากกว่าการบอกประชาชนลอย ๆ ว่าค้นพบสิ่งเหล่านี้ไปแล้ว

ชยภัทร เผยว่า ในแวดวงวิทยาศาสตร์ ไม่ได้ตื่นตัวกับเรื่องนี้เลย เพราะดูเป็นเรื่องไร้สาระ ในแง่ของวิทยาศาสตร์ ยังจำเป็นต้องเน้นกระบวนการระหว่างการค้นพบ มากกว่าผลลัพธ์ลอย ๆ ที่ไม่มีหลักฐาน การมีกระแสข่าวลักษณะนี้แม้จะเป็นเรื่องดีที่ทำให้คนหันมาสนใจ และตั้งใจที่จะค้นหามากขึ้น แต่ก็ยังไม่ควรจบอยู่แค่คำถามว่า “เอเลี่ยน” มีจริงหรือไม่ 

โดยสรุป คือข่าว UFO – เอเลี่ยน จะต้องไม่ตัดสินว่า “เป็นเรื่องจริง หรือ ไร้สาระ” แต่ควรตั้งคำถามว่า เกิดขึ้นได้อย่างไร และค้นลงไปให้ลึกในรายละเอียดของเรื่องนี้ให้มากขึ้น 

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active