‘พ่อแก่ แม่ป่วย ลูกเล็ก’ ปัญหาฉุดรั้งความก้าวหน้าทางการงานของสตรี

‘เดชรัต สุขกำเนิด’ สะท้อนปัญหาสตรี ผ่านการงาน ครอบครัว ชีวิตส่วนตัว เสนอรัฐหนุนระบบ ‘Care’ แก้ปัญหาครบมิติ

7 มี.ค. 2565 ศูนย์นโยบายเพื่ออนาคต หรือ Think Forward Center (TFC) พรรคก้าวไกล จัดเสวนาออนไลน์ ‘พ่อแก่ แม่ป่วย ลูกเล็ก มองขาดปัญหาฉุดรั้งความก้าวหน้าทางการงานของสตรี เนื่องในวันสตรีสากล  

เดชรัต สุขกำเนิด นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการ TFC กล่าวถึงภาพรวมของสถานการณ์ปัจจุบันว่า สิ่งที่ผู้หญิงหรือแรงงานหญิงต้องเผชิญ ไม่ได้มีเพียงเรื่องของเศรษฐกิจอย่างค่าครองชีพที่สูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีปัญหาสำคัญเรื่องครอบครัวด้วย โดยเฉพาะภาวะที่สังคมไทยกำลังมีผู้สูงวัยมากขึ้น จากข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าผู้ดูแลส่วนใหญ่คือลูกสาว ซึ่งหลายกรณียังทำงานอยู่ และหลายกรณีจำเป็นต้องลาออกจากงาน

“หากมองในทางเศรษฐศาสตร์ เราก็จะยังเห็นรายได้ของค่าจ้างที่สะท้อนความไม่เท่าเทียมกัน ความน่าสนใจคือ งานชนิดเดียวกันที่ควรมีรายได้เท่ากัน แต่ปรากกฏว่ามีความแตกต่างกันด้านรายได้ระหว่างเพศชายกับเพศหญิง โดยเฉพาะในภาคเอกชน ความแตกต่างมีตั้งแต่ร้อยละ 22- 57 เป็นข้อมูลจาก TDRI ที่ทำการศึกษาในช่วงปี 2530-2539 ในช่วงหลัง อาจลดลงมาเล็กน้อย แต่อัตราแตกต่างก็ยังอยู่ที่ ร้อยละ 12-50 โดยเฉพาะแรงงานที่มีระดับการศึกษาสูง ที่ดูเหมือนจะมีความแตกต่างอยู่มาก เช่นเดียวกับข้อมูลล่าสุดในปี 50-59 ความแตกต่างอยู่ที่ร้อยละ 11-32 หรือถ้าดูเป็นเงิน ความแตกต่างในระดับปริญญาตรีจะอยู่ที่ 5,000 บาท ส่วนระดับการศึกษาที่ต่ำกว่านั้นจะอยู่ที่ราว 2,000 บาท แต่ถ้าสูงกว่าระดับปริญญาตรีในบางช่วงเวลาอาจต่างกันถึง 10,000 บาท เลยทีเดียว”

สตรี ผู้หญิง

เดชรัต กล่าวเพิ่มเติมว่า มีข้อมูลที่สะท้อนการออกจากงานของผู้หญิงที่มากกว่าผู้ชายวัย 60 ปีขึ้นไป จะพบว่า สัดส่วนของผู้ชายที่ยังทำงานลดจากเดิมครึ่งหนึ่ง แต่สำหรับผู้หญิงจะเหลือเพียงร้อยละ 33 หรือหายไปถึง 2 ใน 3 สอดคล้องกับข้อมูลที่ว่าผู้หญิงต้องออกไปทำงานบ้านในสัดส่วนที่มากขึ้น

“ถามว่าทำไมภาระต้องตกอยู่ที่ผู้หญิง ในมุมของนายจ้างอาจมองที่ประสิทธิภาพหรือบางช่วงเวลาที่การทำงานจะลดลงเช่นเมื่อตั้งครรภ์ โอกาสในการทำงานก็จะหายไป ในอีกมุมหนึ่งคือ เราทิ้งภาระการดูแลครอบครัวไว้ให้ผู้หญิง แล้วแถมการลงโทษในทางเศรษฐกิจด้วยค่าจ้างแรงงานและโอกาสที่ไม่เท่ากัน ปัญหานี้ยังไปเกี่ยวพันโดยตรงกับอัตราการเกิดที่ลดลง เพราะภาระในการดูแลทำให้มีความยากลำบากมากขึ้น ค่าครองชีพที่สูงขึ้น แต่ความมั่นคงในการทำงานน้อยลง”

เดชรัต มีข้อเสนอว่า ปัญหาในลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นกับประเทศในแถบสแกนดิเนเวียมาก่อน ตั้งแต่ราว 100 ปีที่แล้ว หรือก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เล็กน้อย ในตอนนั้นวิกฤตประชากรถูกมองว่าเป็นเรื่องน่ากังวลไม่แพ้สงคราม นำไปสู่ข้อเสนอที่ว่า รัฐบาลจำเป็นต้องมี ‘นโยบายที่ก้าวหน้า’ และมองว่าต้องเป็นพันธกิจของรัฐ รัฐมีหน้าที่ในการพัฒนาความมั่นคงของประชากร มาตรการที่เรียกว่า รัฐสวัสดิการจึงเกิดขึ้นมามากมายหลังจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเลี้ยงดูบุตร ระบบการพัฒนาเด็กเล็กหรือบ้านพักสำหรับครอบครัว รวมถึงระบบบำนาญสำหรับผู้สูงอายุด้วย

“จึงนำมาสู่คำถามว่า ประเทศไทยถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราจะไม่ยกภาระให้เป็นของคนเพศใดเพศหนึ่ง หรือคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแต่มองให้เป็นภาระของทั้งสังคม โดยเฉพาะรัฐที่ต้องเข้ามาช่วยจัดการดูแลประชากรทั้งสูงวัยและประชากรที่เกิดใหม่ หรือทุกวัยให้มีคุณภาพและเป็นธรรมที่สุด”

เดชรัต กล่าวอีกว่า ทางออกในเรื่องนี้หลายคนบอกว่าต้องทำเรื่องสวัสดิการ แต่ตนมองว่า สิ่งที่ต้องทำพร้อมกันด้วย คือสร้างสิ่งที่เรียกว่า Care Economy หรือเศรษฐกิจของการดูแลซึ่งกันและกันขึ้น ตอนนี้อาจมีให้เห็นอยู่บ้าง แต่มีค่าใช้จ่ายสูงและคนส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถมีค่าใช้จ่ายได้ ทำอย่างไรจะทำให้มีระบบสวัสดิการและระบบที่ทุกคนดูแลซึ่งกันและกัน Think Forward Center จึงเสนอนโยบายต่าง ๆ ดังนี้

1. ขยายวันลาคลอดโดยได้รับค่าตอบแทน ให้ครอบคลุมอย่างน้อยที่สุด 180 วัน ความจริงตัวเลขนี้ก็อาจยังไม่ใช่ตัวเลขที่เหมาะที่สุดหรือดีที่สุด หลายประเทศอาจยาวกว่านี้ แต่ด้วยความสมดุลในการผลักดันวาระนี้ในสังคมไทย คิดว่าตัวเลขนี้น่าจะพอรับกันได้ เป็นหลักการขั้นต่ำ และควรให้ผู้ชายที่เป็นบิดาสามารถลาคลอดเพื่อช่วยในการดูแลบุตรด้วย ซึ่ง 15 วัน ที่กำหนดเดิม คนกำหนดไว้เพียงนี้ไม่รู้ว่าเคยเลี้ยลูกเองหรือไม่ เพราะในความจริงคนเป็นแม่ยังต้องเหนื่อยไปอีกนาน ดังนั้น การกำหนดให้ยาวขึ้นจะเป็นการลดภาระของผู้หญิงในการเลี้ยงดูบุตรแรกคลอดได้เป็นอย่างดี อย่างกรณีของเดนมาร์ก ให้เวลาบิดายาวถึง 1 ปี และสามารถเก็บไว้ใช้ในช่วงเวลาต่อไปจนถึงลูกอายุ 12 ปี

2. พัฒนาสวัสดิการพื้นที่ ศูนย์หรือสถานรับดูแลเด็กแบบ Day Care ทั้งภายในสถานที่ทำงาน และใกล้เคียง สำหรับเด็กตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป (หรือหลังกำหนดลาคลอด) ต้องวางระบบดูแลให้ต่อกันไปได้จนเข้าสู่ระดับปฐมวัยหรือเตรียมอนุบาล เพื่อลดภาระในการดูแลในช่วงเวลางาน สำหรับผู้หญิงที่ยังอยู่ในตลาดแรงงาน เพราะตอนนี้ยังมีช่องวางอยู่ และสำคัญมากหากปิดช่องว่างนี้ไม่ได้ 

3. พัฒนาระบบสวัสดิการถ้วนหน้า ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 22 ปี ในอัตราอย่างน้อยเดือนละ 1,200 บาท (สำหรับ 0-6 ปี) และ 800 บาทเดือน (สำหรับ 7-22 ปี) เพื่อช่วยลดภาระทางเศรษฐกิจของผู้หญิงในการดูแลบุตรหลานลง 

“เพราะปัญหานี้จะไปสะท้อนต่อในระบบการศึกษา ซึ่งเรามักจะพบการตกหล่นมากในช่วง ม.ต้น และ ม.ปลาย การตกหล่นเกิดมากในกล่มครัวเรือนที่ยากจนที่สุด ร้อยละ 20 แรกของประเทศ จึงควรมีสวัสดิการถ้วนหน้าในเรื่องนี้เพื่อเป็นตัวช่วยให้ดูแลเด็กกลุ่มนี้ได้มากขึ้น”

4. พัฒนาระบบสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุ เพราะปัจจุบันเงิน 600 บาทต่อเดือนไม่ได้ขึ้นให้ผู้สูงอายุมาแล้ว 10 ปี  จึงควรเพิ่มให้สูงกว่าเส้นความยากจนคือ 2,700 บาทขึ้นไป หรือที่พูดถึงกันมากในเวลานี้คือ 3,000 บาท อย่างไรก็ตาม ในกรณีของผู้สูงวัยที่ป่วยติดบ้าน ติดเตียงเพียงเท่านี้ก็อาจไม่พอ ตัวเลขจึงต้องแตกต่างกันไปตามระบบการดูแล TFC เคยประเมินไว้น่าจะอยู่ที่ 9,000 บาทต่อเดือน เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถดำเนินชีวิตได้ด้วยตนเอง โดยมีผู้ดูแลที่มีคุณภาพ และลดภาระของผู้หญิงในวัยแรงงานที่ต้องดูแลพ่อแม่

5. พัฒนาระบบและเส้นทางอาชีพของผู้ให้การดูแล หรือ care-givers อย่างเป็นระบบ จะทำให้เกิดทั้งการจ้างงานและเพิ่มคุณภาพชีวิตทั้งในฝั่งผู้รับบริการและผู้ให้บริการ ทำให้มีอาชีพที่มั่นคง ตอบโจทย์ของตัวเองได้ และจะทำให้เกิดการจ้างงานในประเทศอีก 300,000 อัตราเป็นอย่างน้อย ซึ่งเป็นการจ้างงานที่ไม่อาจใช้เครื่องจักรหรือปัญญาประดิษฐ์ทดแทนได้โดยง่าย

6. ต้องตอบโจทย์ความมั่นคงในชีวิตโดยหนุนบทบาทของผู้หญิงที่เลือกดูแลสมาชิกในครอบครัวด้วยตนเอง เพื่อให้มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น ด้วยการได้รับเงินผ่านทางระบบสวัสดิการถ้วนหน้าที่แบบเดียวกันและเท่ากันกับ care-givers ซึ่งเพราะการให้คนในครอบครัวดูแลกันและกันก็จะมีความสุข ดีกว่าไม่มีรายได้ หรืออาจรับดูแลผู้สูงอายุใกล้บ้านแบบไม่เต็มเวลา ก็จะทำให้เกิด Care-giving  Economy พัฒนาทั้งระบบทั้งผู้ให้และผู้รับบริการ


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Author

Alternative Text
AUTHOR

พิชญาพร โพธิ์สง่า

นักข่าวเล่าเรื่อง ที่เชื่อว่าการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์จะช่วยจรรโลงสังคมได้