ชายยังเป็นใหญ่ ในสังคมการเมือง?

ครป. เปิดวงสนทนา “115 ปีวันสตรีสากล” ตั้งคำถาม สังคมไทยที่ชายยังเป็นใหญ่? เปิดประสบการณ์ขบวนการผู้หญิงกับวาทกรรมสะท้อนวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ ชี้ ต้องปรับทัศนคติ ไม่ลดทอนความเป็นมนุษย์ของผู้หญิง ซ่อมสภาพแวดล้อม ผ่านกฎหมายและนโยบาย

เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 2565 คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ร่วมกับ สถาบันสังคมประชาธิปไตย จัดการสนทนา “ครป. house ตอน 115 ปี วันสตรีสากล:สังคมไทยที่ชายยังเป็นใหญ่” เนื่องในวันสตรีสากล 8 มีนาคม

ชายยังเป็นใหญ่ ครป.

วรภัทร วีรพัฒนคุปต์ กรรมการ ครป. กล่าวตอนหนึ่งว่า แม้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ก้าวหน้าของสถานภาพสตรีมากขึ้นจากในอดีต มีผู้หญิงเข้ามามีบทบาทเป็นผู้นำมากขึ้น ทั้งในภาคธุรกิจ ภาคการเมือง ภาคสังคม แต่การนำประเด็นนี้ไปเป็นประเด็นล้อเลียนที่ดูเหมือนจะให้อำนาจกับผู้หญิงมากกว่า ตนกลับพบว่ายังมีความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงเป็นประจำ ยังไม่นับรวมเรื่องการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศในระดับนโยบาย ไปจนถึงในวิถีชีวิตประจำวัน ที่เพศหญิงต้องแบกรับภาระต่าง ๆ ด้วยเหตุแห่งความเป็นหญิง สะท้อนว่ามุขตลกล้อเลียนอาจทำให้สังคมมองข้ามความเป็นจริง ที่ความไม่เสมอภาคระหว่างหญิงชายยังดำรงอยู่

“จนถึงขนาดที่มีมุขตลกเล่นกันในวงเหล้าอย่าง “ผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า ผู้หญิงเป็นควาญช้าง” หรืออย่าง “รักชีวิต อย่าคิดสู้เมีย” ซึ่งเมื่อได้ย้อนดูตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ได้ฝึกงานที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิสตรี มูลนิธิเพื่อนหญิง ก็ได้พบเจอเรื่องความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงเป็นประจำ จนแม้ผ่านมา 14 ปีแล้ว ยังเห็นกรณีความรุนแรงที่เกิดกับผู้หญิงอย่างต่อเนื่อง”

ด้าน สิรินทร์ มุ่งเจริญ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ allthaiwomen.com เล่าว่า จากประสบการณ์ที่ตนทำกิจกรรมนักศึกษา เป็นรองประธานสภานิสิต และรณรงค์ความเท่าเทียมทางเพศ ตั้งแต่ในรั้วมหาวิทยาลัย ก็จะเจอเคสการล่วงละเมิดทางเพศ อย่างการเล่นมุขตลกแบบ Dirty Joke จนเมื่อทำกิจกรรมทางการเมือง ก็เจอกับการเหยียดเพศเป็นหลัก เช่น คอมเมนต์ในสังคมออนไลน์ ที่เหยียดหาว่าเป็นผู้หญิงขายบริการ วิจารณ์เรื่องการแต่งหน้าแต่งตัว แสดงความเห็นต่อตนในลักษณะคุกคามทางเพศ พอยิ่งเคลื่อนไหวเรื่องความเท่าเทียมทางเพศก็ยิ่งโดนโจมตีหนัก คนที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ คนก็จะเหยียดตนในเรื่องรูปร่างหน้าตา นักกิจกรรมหญิงอีกหลาย ๆ คนก็เจอคล้าย ๆ กัน

เมื่อทำเว็บไซต์ allthaiwomen.com ก็ได้รวบรวมประสบการณ์ที่หลายคนประสบพบเจอ เพราะเหตุแห่งความเป็นผู้หญิงในสถานที่ต่าง ๆ ทั้งบ้าน ที่ทำงาน โรงเรียน สถานที่สาธารณะ โดยที่ให้ผู้หญิงสามารถเข้าไปกดเลือกสถานที่ที่ทำให้ได้พบเจอประสบการณ์การคุกคามทางเพศได้ เพื่อให้คนทั่วไปได้อ่านแล้วเข้าไปให้กำลังใจได้ สิ่งที่คนเขียนถึงมากที่สุดในเว็บนี้ คือ การถูกล่วงละเมิดทางเพศที่พวกเขาพบในที่ที่คิดว่าควรเป็นสถานที่ปลอดภัย เช่น บ้าน โรงเรียน มีการคุกคามจากญาติ พ่อแม่ รวมถึงการเหยียดเพศ มีการเลือกปฏิบัติไม่ให้เสรีภาพในเรื่องต่าง ๆ ด้วยเหตุแห่งความเป็นหญิง

ธนวดี ท่าจีน ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนหญิง กล่าวว่า ปัจจุบันมูลนิธิเพื่อนหญิงได้ก่อตั้งมาเป็นเวลา 40 ปีแล้ว กิจกรรมอย่างแรกคือมีศูนย์ร้องทุกข์ ประสานการคุ้มครองสิทธิกรณีความรุนแรงในครอบครัว การล่วงละเมิดทางเพศ ถูกแสวงหาประโยชน์ทางเพศ จากเครือข่ายการค้ามนุษย์ การตั้งครรภ์ไม่พร้อมโดยผู้ชายไม่รับผิดชอบ ปัจจุบัน มูลนิธิมีศูนย์ร้องทุกข์อยู่ที่กรุงเทพฯ ภาคใต้มีที่จังหวัดสงขลา ภาคเหนือมีที่จังหวัดเชียงใหม่ ภาคอีสานมีที่จังหวัดอุบลราชธานี ในศูนย์ฯ จะมีนักสังคมสงเคราะห์ นักกฎหมายคอยให้คำปรึกษาเรื่องการคุ้มครองสิทธิ ช่วยประสานให้เข้าถึงสิทธิทางกฎหมาย มูลนิธิเพื่อนหญิงได้ให้ความช่วยเหลือผู้หญิงเหล่านี้เฉลี่ยปีละประมาณ 2 พันคน

จากข้อมูลพบว่ามี 3 กลุ่มใหญ่ ๆ กลุ่มแรก คือ ความรุนแรงในครอบครัว สามีทำร้ายร่างกายเป็นกลุ่มที่มูลนิธิฯ ได้พบมากที่สุด กลุ่มที่สอง คือ การทำร้ายทางจิตใจจนมีผลทางสุขภาพจิตของผู้หญิง จนอาจถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้า อย่างการที่สามีนอกใจมีผู้หญิงอื่น การไม่รับผิดชอบภาระครอบครัว การดูแลบุตร สามีติดเหล้า ติดการพนัน ยาเสพติด การใช้คำพูดดูถูกทางวาจาอย่างรุนแรง กลุ่มที่สาม ที่มีแนวโน้มการเกิดขึ้นสูง คือ การล่วงละเมิดทางเพศ ทั้งการละเมิดทางเพศในโรงเรียนจากเพื่อนชาย จากครู ในมหาวิทยาลัยก็มีกรณีการคุกคามทางเพศเยอะเช่นเดียวกัน รวมถึงกรณีการตั้งครรภ์ไม่พร้อม โดยฝ่ายนักศึกษาชายไม่รับผิดชอบ นักศึกษาหญิงกลายเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว และยังกลุ่มมีกลุ่มเด็กหญิงที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ต้องดูแลบุตรตามลำพัง ก็จะมีขบวนการแสวงหาประโยชน์ การค้ามนุษย์มาล่อลวงเข้าสู่การค้าประเวณี

ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนหญิง ยังบอกอีกว่าเมื่อเห็นข่าวการข่มขืน ก็มักมีการคอมเมนต์ในสังคมออนไลน์ในเชิงเห็นเป็นเรื่องตลก ที่แย่คือมีผู้หญิงด้วยกันที่เข้าไปร่วมคอมเมนต์ในเชิงเห็นเป็นเรื่องขำขัน เช่น ถ้าผู้ข่มขืนเป็นผู้ชายหน้าตาดี ผู้หญิงก็บอกว่าคนนั้นน่าจะเป็นฉันอะไรทำนองนี้ เป็นวิธีคิดที่อันตรายมาก เพราะการถูกข่มขืนในชีวิตจริงเป็นความทุกข์ทรมานในชีวิตที่ไม่ควรนำมาทำเป็นเรื่องตลก นี่คือความเจ็บป่วยด้านทัศนคติของสังคม

“อยากให้มีมูลนิธิเพื่อนชายเกิดขึ้นมาบ้าง เพื่อมาปรับทัศนคติของเพศชายที่มีต่อเพศหญิง สร้างฐานคิดกันใหม่ที่ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่อคติทางเพศ เคารพ ให้เกียรติเพศหญิง เข้าใจความเสมอภาค มีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน…และยังต้องพูดถึงรัฐสวัสดิการที่ควรต้องสร้างความมั่นคงให้ผู้หญิงในทางเศรษฐกิจ ถ้าผู้หญิงมีความสามารถพึ่งตนเอง หารายได้เองได้ มีหลักประกันในชีวิตรองรับอย่างดี ผู้หญิงจะเป็นอิสระจากผู้ชายได้มากโดยเฉพาะจากความรุนแรงในครอบครัว”

ถวิลวดี บุรีกุล ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ อดีตกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ระบุว่า ตัวชี้วัดหนึ่งในเรื่องความเสมอภาคทางเพศ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ 5 ในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) คือการมีส่วนร่วมทางการเมืองของผู้หญิง เป็นตัวชี้วัดที่สหภาพรัฐสภานานาชาติได้ตกลงกันว่า ควรมีตัวชี้วัดเรื่องจำนวนสมาชิกรัฐสภาหญิงในประเทศต่าง ๆ ซึ่งประเทศไทยก็ถือว่ามีสมาชิกรัฐสภาหญิงในจำนวนน้อยและต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ ในเอเชียมาโดยตลอด แม้รัฐธรรมนูญ 2560 จะมีการเขียนไว้ชัดว่า พรรคการเมืองต้องให้ความสำคัญในเรื่องสัดส่วนเพศชายหญิง แต่เมื่อเทียบกับในร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ถูกโหวตตกไปจากสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ก็จะเห็นว่ารัฐธรรมนูญ 2560 ฉบับปัจจุบัน ไม่ได้เอาเรื่อง Gender Quota ที่พวกตนเคยเสนอไว้มาใช้ แต่เห็นว่าต้องให้ไปผลักดันในพรรคการเมือง เวลาจะลงบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ ต้องให้คำนึงถึงสัดส่วนหญิงชาย ก็จะเห็นมีบางพรรคใส่ใจมาก ทำบัญชีรายชื่อผู้สมัคร ส.ส. แบบเอาผู้ชายผู้หญิงมาสลับฟันปลากันก็มี บางพรรคก็เอา LGBT+ ผู้แทนชนเผ่าพื้นเมืองให้เข้าไปเป็น ส.ส. ด้วย ในลำดับต้น รวมถึงเรื่อง Gender Responsive Budgeting (GRB) คือ การจัดทำงบประมาณต้องคำนึงถึงความเสมอภาคระหว่างเพศ ซึ่งมาจากงานวิจัยที่ตนได้ทำ เมื่อมีโอกาสก็ร่วมกับภาคประชาสังคมอีกหลาย ๆ คนในการช่วยกันส่งข้อมูล

นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลสำคัญจากการใช้ระบบบัตรเลือกตั้งใบเดียวแต่มี ส.ส. 2 ประเภท ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ที่พบว่า มีผู้หญิงสมัครเป็น ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อรวม 622 คน ผู้ชายสมัคร 2,188 คน โอกาสที่ผู้ชายได้ก็มีมากกว่า แต่หากเอามารวมทั้งระบบเขตด้วย ผู้หญิงได้ลงสมัคร ส.ส. 2 พันกว่าคน ผู้ชายได้สมัคร 10,434 คน เฉลี่ยแล้ว ผู้ชายสมัคร ส.ส. 100 คน มีโอกาสได้ 4 คน ผู้หญิง 100 คนลงสมัคร ส.ส. มีโอกาสได้แค่ 2 คน แสดงว่าโอกาสที่ผู้หญิงจะได้เป็น ส.ส. นั้นน้อยกว่า

“จากการศึกษาวิจัยประชาธิปไตยในเอเชีย (Asian Barometer) ซึ่งสถาบันพระปกเกล้าทำมาหลายปี แล้วเราก็วัดอุณหภูมิประชาธิปไตยในเรื่องการยอมรับผู้หญิง ปรากฏว่า 19% ของคนไทย ไม่ยอมรับให้ผู้หญิงเข้ามามีบทบาททางการเมือง และยังศึกษาต่อไปว่าเมื่อเปรียบเทียบว่าการให้ผู้หญิงเป็นผู้นำด้านการเมือง ด้านธุรกิจ ด้านวิชาการ ด้านที่กลุ่มตัวอย่างในการสุ่มสำรวจเขายอมรับเรื่องการให้ผู้หญิงเป็นผู้นำในด้านธุรกิจและด้านวิชาการ แต่ด้านการเมือง เป็นด้านที่ผู้หญิงจะได้รับการยอมรับให้เป็นผู้นำน้อยที่สุด”

สุภัทรา นาคะผิว ผู้อำนวยการมูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ อดีตกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า กระบวนการทางสังคมที่ลดทอนคุณค่ามนุษย์ผู้หญิงโดยเพศกำเนิด แต่วันนี้เราต้องพูดถึงอีกส่วนหนึ่งด้วยคือผู้หญิงข้ามเพศ ซึ่งกำลังเผชิญการถูกตีตราอย่างหนัก และไม่ได้รับการยอมรับตัวตน ส่งผลต่อการเลือกปฏิบัติ

นอกจากนี้ยังกล่าวถึงบริบท 4 ด้านที่มีผลต่อความเสมอภาคทางเพศในสังคมไทย คือ 1) ความรู้ความเข้าใจ ที่ตำราเรียนยังไปในแนวที่ไม่ได้ส่งเสริมให้เกิดความเท่าเทียมกัน รวมทั้งการเข้าใจความหลากหลายทางเพศ 2) กระบวนการทางสังคมอยู่บนฐานความกลัวที่จะทำให้คนเท่ากัน เช่น การที่เกรงว่าถ้าให้สิทธิที่เท่าเทียมกัน ใครจะดูแลลูก สถาบันครอบครัวจะเป็นอย่างไร หรือแม้แต่การทำแท้งที่ปลอดภัย ก็กลัวผู้หญิงจะท้องแล้วไปทำแท้งกัน เป็นความกลัวที่ไม่ได้อยู่บนฐานของความเข้าใจ 3) คือ เรื่องทัศคนติเรื่องเพศในสังคมไทยยังแข็ง ต้องมีกระบวนการบางอย่างเข้าไปทำให้เกิดความคิดทบทวนอันนำไปสู่การเลือกปฏิบัติ เช่น เรื่องสรีระ ความแข็งแรง และ 4) ประเด็นสุดท้ายคือเรื่องสภาพแวดล้อมทางสังคม ซึ่งหมายรวมถึง กฎหมาย นโยบาย ที่มีการแบ่งแยก เลือกปฏิบัติทางเพศ

“บ่อยครั้งที่เราเห็นทัศนคติจากบุคคลระดับ Policy Maker อย่างในการชุมนุมทางการเมือง หลายคนใช้วิธีการพูดที่สะท้อนอคติ เช่น “มี ส.ส. ของเราทำตัวเหมือนโสเภณี” และแม้แต่ในผู้หญิงก็มีชนชั้นด้วยกันเอง ผู้หญิงที่เข้าสู่การเมืองระดับชาติได้ก็เกี่ยวพันกับต้นตระกูล ไม่ใช่ผู้หญิงทั่ว ๆ ไปที่จะเข้าสู่การเมืองได้ หรือแม้แต่ระดับท้องถิ่น ผู้หญิงที่เข้าสู่การเมืองได้ก็อาจจะต้องมีความเชื่อมโยงกับผู้ชายที่เคยเป็นนักการเมืองในพื้นที่มาก่อน อาจเป็นภรรยา หรือเครือญาติของนักการเมืองที่เป็นผู้ชาย”

ผู้อำนวยการมูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ ระบุอีกว่า หากจะทำให้สถานภาพผู้หญิงในสังคมไทยได้รับการเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จริง ๆ คือได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกันในฐานะมนุษย์ที่ก้าวข้ามเรื่องเพศไป อย่างประเด็นอนามัยเจริญพันธุ์ของผู้หญิงที่ติดเชื้อ (ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV) ที่ถูกบังคับให้ทำหมัน ถึงแม้ว่าพัฒนาการด้านการแพทย์จะพัฒนาไปถึงขั้นที่ผู้ติดเชื้อที่ได้รับยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ก็จะไม่ถ่ายทอดเชื้อให้กับบุคคลอื่น แม้จะมีเพศสัมพันธ์กันโดยไม่สวมถุงยางอนามัยก็ตาม

โดยกล่าวทิ้งท้ายว่า การจัดการกับ 4 ประเด็นดังกล่าว ทั้งการสร้างความรู้ความเข้าใจ การลดความกลัว กังวลของคนในสังคม การปรับเปลี่ยนทัศนคติที่ไม่ลดทอนความเป็นมนุษย์ของผู้หญิง รวมทั้งการซ่อมสภาพแวดล้อมให้ผู้หญิงได้รับการคุ้มครองดูแลมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายนโยบายต่าง ๆ ที่ว่ามาเหล่านี้ ก็ต้องทำไปพร้อมกันทั้งหมด

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active