สธ. ชี้ ติดเชื้อเริ่มทรงตัว พร้อมเข้าสู่โรคประถิ่น ก.ค. นี้

หลังประเมินสมรรถนะรับมือโควิด-19 ตามแนวทาง WHO พบอยู่ระดับ “ดีมาก” เน้นรักษาแบบผู้ป่วยนอก เฝ้าระวังกลายพันธุ์ ขณะที่ คกก.วัคซีนฯ ตั้งเป้า ปี 66 ไทยผลิตวัคซีนโควิด-19 ได้เอง 

วันนี้ (6 มี.ค. 2565) สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 21,881 คน ลดลงจากเมื่อวาน ผู้ป่วยสะสม 803,260 คน (ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2565) รวมยอดติดเชื้อสะสม 3,026,695 คน เสียชีวิต 59 คน เสียชีวิตสะสม 23,235 คน ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขวางแผนบริหารจัดการโรคโควิด-19 เข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่นโดย นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า สถานการณ์ส่วนใหญ่ทั่วโลกและประเทศไทย อยู่ในระยะการปรับตัวเข้าสู่การยุติการระบาดใหญ่ จากปัจจัยของเชื้อที่ลดความรุนแรงลงมาก ขณะนี้สถานการณ์อยู่ในระยะทรงตัวและชะลอการเพิ่มจำนวน คาดว่าจะดีขึ้นตามลำดับและเข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่นในต้นเดือนกรกฎาคมนี้ 

โควิด-19
นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข

ขณะที่ทีมวิจัยกระทรวงสาธารณสุข มหาวิทยาลัยต่าง ๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ประเมินผลการรับมือสถานการณ์โควิด-19 โดยลงพื้นที่จริงทั้งในระดับประเทศ และในระดับพื้นที่ จำนวน 8 พื้นที่หลัก และ 44 พื้นที่ย่อย เพื่อจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบาย การเตรียมความพร้อมและมาตรการสำคัญในการรับมือสถานการณ์ในระยะถัดไปจนเข้าสู่การยุติการระบาด 

โดยประเมินตามสมรรถนะหลักขององค์การอนามัยโลก (WHO) และถอดบทเรียน ทบทวนหลังปฎิบัติงาน (After Action Review : AAR) พบว่า ประเทศไทยและกระทรวงสาธารณสุข มีสมรรถนะและการรับมือสถานการณ์อยู่ในระดับดีมาก ใน 7 องค์ประกอบหลัก เช่น ภาวะผู้นำ การบริหารจัดการ กำลังคน ยาเวชภัณฑ์ วัคซีน ระบบบริการ การมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ

ปัจจัยสำคัญในการยุติการระบาดใหญ่ คือ ระดับภูมิคุ้มกันต่อโควิด-19 ของประชาชน ดังนั้น ต้องขอความร่วมมือประชาชน เข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้น เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยอาการรุนแรงและผู้เสียชีวิตลงให้มากที่สุด โดยเฉพาะผู้สูงอายุข้อมูลกรมควบคุมโรค พบว่า การได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น จะลดโอกาสเสียชีวิตลงได้ถึง 41 เท่า รวมถึงยังต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการติดเชื้ออย่างเคร่งครัด เพื่อลดและชะลอจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ ซึ่งจะช่วยลดการแพร่ระบาดโรคทางเดินหายใจอื่น ๆ ด้วย เช่น วัณโรค ไข้หวัดใหญ่

เน้นรักษาแบบผู้ป่วยนอก เฝ้าระวังกลายพันธุ์ 

นพ.รุ่งเรือง กล่าวว่า ระบบบริการการแพทย์และสาธารณสุข เช่น ระบบป้องกันควบคุมโรค บุคลากร ยา เวชภัณฑ์ และจำนวนเตียงรองรับผู้ป่วย มีความพร้อมในการรับสถานการณ์ แต่ต้องปรับการดูแลรักษาผู้ป่วย ในลักษณะเดียวกับการดูแลผู้ป่วยโรคติดต่อทั่วไป เช่น ไข้หวัดใหญ่ โดยผู้ที่ไม่มีอาการหรืออาการน้อยให้รักษาตัวแบบผู้ป่วยนอก (OPD) ดูแลตนเองที่บ้าน และรับเป็นผู้ป่วยใน (IPD) ในกรณีที่มีอาการรุนแรง หรือเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรง 

ส่วนการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรค จะเน้นการสอบสวน ควบคุมการระบาดที่เป็นกลุ่มก้อน เฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด-19 ที่กลายพันธุ์และเพิ่มความรุนแรง และพิจารณาการให้วัคซีนในระยะถัดไปเป็นการให้วัคซีนประจำปีในกลุ่มเสี่ยงคล้ายการให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 

นอกจากนี้ ต้องเร่งพัฒนาระบบสาธารณสุขในเขตเมืองขนาดใหญ่ เช่น กทม. โดยเฉพาะระบบการดูแลสุขภาพระดับปฐมภูมิที่เข้มแข็ง จิตอาสา อาสาสมัครสาธารณสุขระดับพื้นที่ ให้เหมาะสมกับบริบท ส่งเสริมพัฒนากลไกการบริหารจัดการ ความร่วมมือในการดำเนินงานจากทุกภาคส่วนให้เป็นทิศทางเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพ

ระยะยาวผลิตยา-วัคซีนใช้เอง 

นพ.รุ่งเรือง ระบุอีกว่า ระบบเวชภัณฑ์ ยา วัคซีน สามารถบริหารจัดการได้ดี มีจำนวนเพียงพอ นโยบายรัฐบาลมีความต่อเนื่องในการพัฒนาความมั่นคงด้านสุขภาพ โดยส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการผลิตและสามารถพึ่งตนเองได้ภายในประเทศ เช่น โรงงานผลิตวัคซีน ยา และเวชภัณฑ์ เพื่อพร้อมรับมือวิกฤตการณ์ด้านสุขภาพ และการระบาดของโรคติดต่ออุบัติใหม่อื่น ๆ ในอนาคต

นอกจากนี้ยังต้องเร่งพัฒนาระบบการสื่อสารสร้างความเข้าใจที่ทันสมัยและเป็นเชิงรุก ทั้งในสื่อสังคมออนไลน์ และสื่ออื่น ๆ ให้เข้าถึงประชาชนทุกกลุ่ม เตรียมความพร้อมเข้าสู่การเป็น “โรคประจำถิ่น” โดยสร้างความรู้ ความเข้าใจ การปรับตัว ทั้งในภาคประชาชน สังคม วัฒนธรรม การใช้ชีวิตรูปแบบวิถีใหม่ (New Normal) มาตรการทางสังคมที่ดีและเหมาะสม เช่น การป้องกันตนเองและผู้อื่นความรับผิดชอบต่อสังคมเพื่อไม่ให้เกิดการระบาดหรือการแพร่เชื้อ เป็นต้น

“หากเทียบเคียงกับการระบาดใหญ่ของโรคไข้หวัดใหญ่ 2019 เมื่อ พ.ศ. 2552 ขณะนี้เป็นการเข้าสู่การยุติการระบาดใหญ่ และปรับตัวไปเป็นโรคประจำถิ่น ซึ่งวิกฤตโรคโควิด-19 ครั้งนี้จะสิ้นสุดลงได้ ก็ด้วยความร่วมมือของทุกฝ่าย ทั้งการบริหารจัดการและมาตรการในระดับชาติและพื้นที่ พลังความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน และที่สำคัญคือ การสร้างความรู้ ความเข้าใจ และความร่วมมือจากประชาชน” 

คกก.วัคซีนฯ ตั้งเป้า ปี 66 ไทยผลิตวัคซีนโควิด-19 ได้เอง 

ด้าน นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ครั้งที่ 1 ประจำปีงบประมาณ 2565 เมื่อวันที่ 3 มี.ค. ถึงความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนของประเทศไทยขณะนี้ว่า มีความก้าวหน้าตามลำดับ โดยอันดับต้น ๆ คือ 

  • วัคซีน NDV-HXP-S ขององค์การเภสัชกรรมที่เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย ผลการทดสอบในระยะที่ 1 และระยะที่ 2 วัคซีนมีความปลอดภัย สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี และอยู่ระหว่างเตรียมการทดสอบในระยะที่ 3 
  • วัคซีนชนิด mRNA ของศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผลการทดสอบระยะที่ 2 วัคซีนมีความปลอดภัย สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี และอยู่ระหว่างเตรียมการทดสอบในระยะที่ 3 
  • วัคซีน Baiya SARS-CoV-2 Vax2 ของบริษัทใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด ร่วมกับคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่คิดค้นการผลิตได้เองในไทย และอยู่ระหว่างการเตรียมการทดสอบในมนุษย์ระยะที่ 2 

นพ.นคร กล่าวอีกว่า สำหรับเรื่องเพื่อพิจารณา คือ เรื่องกรอบการสนับสนุนการวิจัยพัฒนาวัคซีนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ที่มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการพึ่งตนเองด้านวัคซีนได้อย่างยั่งยืน เป็นทิศทางการสนับสนุนการวิจัย พัฒนาวัคซีนได้ เพื่อให้ประเทศสามารถรับมือกับวิกฤตโรคอุบัติใหม่ในอนาคต ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ได้เห็นชอบในหลักการ นอกจากนี้ไทยเตรียมการบริจาควัคซีนให้กับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน และประเทศในแถบแอฟริกา จำนวน 5 ล้านโดส  โดยคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้มีการบริจาคไปยังประเทศที่ยังเข้าไม่ถึงวัคซีน 

Author

Alternative Text
AUTHOR

วชิร​วิทย์​ เลิศบำรุงชัย

ผู้สื่อข่าวสาธารณสุข ThaiPBS