ว่าที่ “ผู้ว่าฯ สมุทรสาคร” คนใหม่ กับความท้าทาย สานต่องานผู้ว่าฯ ปู

‘ณรงค์ รักร้อย’ จากผู้ว่าฯ อุทัยธานี สู่พื้นที่ระบาดสีแดงเข้ม “สมุทรสาคร” วัดใจ 2 โจทย์ใหญ่ ขาดแคลนแรงงานและจัดการโควิด-19 ‘ประธานสภาอุตฯ สมุทรสาคร’ ชี้ วัคซีน 70% ของทั้งจังหวัด ต้องรวมแรงงานข้ามชาติด้วย

หลัง เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ความว่า มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงมหาดไทย พ้นจากตำแหน่ง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง 3 ราย…

ในจำนวนนี้ ได้แก่ ณรงค์ รักร้อย ให้พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ส่วน วีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทองนั้น ถือเป็นการเปลี่ยนตัวผู้ว่าครั้งสำคัญหลังจากที่ก่อนหน้านี้เป็นประเด็นร้อนของสังคม

แม้ “สมุทรสาคร” จะไม่ใช่จังหวัดขนาดใหญ่ แต่เป็นเมืองปราบเซียน หากมือไม่ถึง ก็อาจจะไม่สามารถจัดการโควิด-19 ได้อยู่หมัด เนื่องด้วยมีปัจจัยหลายอย่างที่ยากต่อการควบคุม ทั้งจำนวนโรงงาน และจำนวนแรงงานข้ามชาติ ที่มีอยู่มาก อีกทั้งยังมีพื้นที่ติดกับกรุงเทพมหานคร และยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญ

เมื่อผู้ว่าสมุทรสาครคนใหม่ “ณรงค์ รักร้อย” เข้ารับตำแหน่ง บรรยากาศจึงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับจังหวัดอื่น เพราะความท้าทายที่สำคัญ คือ ความคาดหวังจากสังคมว่าจะทำได้ดี หรือใกล้เคียงกับคนเก่าอย่าง “ผู้ว่าฯ ปู” วีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี

เมื่อพิจารณาจากประสบการณ์แล้ว ณรงค์ รักร้อย เป็นผู้ว่าราชการครั้งแรก ที่จังหวัดอุทัยธานี เมื่อปี พ.ศ. 2561 และเคยเป็นรองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดกาญจนบุรีตามลำดับ ในขณะที่เมื่อเทียบกับ ผู้ว่าฯ ปู พบว่าก่อนดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ สมุทรสาคร เคยผ่านการเป็นพ่อเมืองมาแล้ว 2 จังหวัด คือ จังหวัดพิจิตร และศรีสะเกษ

สำหรับงานล่าสุดของ ผู้ว่าฯ ณรงค์ ที่ทิ้งทวนก่อนเดินทางมายังสมุทรสาครนั้น คือ สามารถทำให้จังหวัดอุทัยธานี มีความพร้อมจนสามารถจัดการแข่งขันจักรยาน “ปั่นเพื่อชีวิต Sport Tourism Bike 4 All” ประจำปี 2564 ได้ ซึ่งแน่นอนว่าการจัดการแข่งขันครั้งใหญ่เช่นนี้ ย่อมคำนึงถึงสถานการณ์โควิด-19 ในจังหวัด เพื่อความมั่นใจของผู้ร่วมงานนั่นเอง

อภิสิทธิ์ เตชะนิธิสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร เปิดเผยกับ The Active ว่าโจทย์ท้าทายของผู้ว่าฯ คนใหม่ มีอยู่ 2 เรื่องหลัก ๆ เรื่องแรก คือ การจัดการวัคซีนให้กับแรงงานข้ามชาติ และเรื่องที่สอง คือการจัดการปัญหาขาดแรงงานในภาคอุตสาหกรรม

ปัจจุบันแรงงานข้ามชาติที่ได้รับวัคซีน มีประมาณ 10% ของแรงงานทั้งหมดกว่า 300,000 คน และตัวเลขนี้เป็นเพียงแรงงานที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องในระบบเท่านั้น ยังมีแรงงานข้ามชาติที่อยู่ในจังหวัดสมุทรสาครอีกมาก ตอนนี้การฉีดวัคซีนของคนไทยในจังหวัดครอบคลุมแล้ว และมีนโยบายจะได้รับการฉีดเข็มที่ 3 จึงเกิดคำถามว่าวัคซีนของแรงงานข้ามชาติจะได้เมื่อไหร่

“ถ้าจะฉีด 70% ของทั้งจังหวัดต้องรวมแรงงานข้ามชาติด้วย เพราะถ้าพวกเขาจะไม่ได้ฉีด เมื่อไหร่ภาคอุตสาหกรรมจะปลอดภัย เมื่อไหร่ชุมชนจะปลอดภัย”

ปัญหาการฉีดวัคซีนที่ไม่ทั่วถึงนี้ จึงส่งผลมาสู่ปัญหาที่สอง คือ การขาดแรงงานในภาคอุตสาหกรรม ในปัจจุบันจังหวัดสมุทรสาครมีโรงงานอยู่ในจังหวัดมากกว่า 7,000 แห่ง ทั้งโรงงานอาหารทะเล ชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และอื่น ๆ อีกมากมาย ตอนนี้ประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน อัตราการผลิตจึงไม่เพียงพอต่อตลาด เพราะแรงงานกลับมาทำงานกันไม่ได้ และส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้วัคซีนนั่นเอง

อภิสิทธิ์ ย้ำว่ารัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับภาคอุตสาหกรรมในจังหวัดสมุทรสาคร เพราะถ้าที่นี่สะดุด ทั้งประเทศจะได้รับผลกระทบไปด้วย ความคาดหวังที่มีต่อผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครคนใหม่ว่าจะสามารถขับเคลื่อนวาระนี้ และสะท้อนปัญหาเพื่อให้จังหวัดได้รับวัคซีนมามากขึ้น จึงเป็นเรื่องสำคัญ และในส่วนของคนทำงานและภาคเอกชน ก็จะสนับสนุนการทำงานของจังหวัดเหมือนเดิมต่อไป

Author

Alternative Text
AUTHOR

ธีร์วัฒน์ ชูรัตน์

เรียนจบกฎหมาย มาเป็นนักข่าว เด็กหลังห้อง ที่มักตั้งคำถามด้วยความไม่รู้