ให้ใช้อุปกรณ์อันตรายเท่าที่จำเป็น ประกันสิทธิเด็กและเยาวชนในกระบวนการยุติธรรม เสนอใช้กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์เป็นทางออก
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ออกแถลงการณ์ กรณีความรุนแรงที่เกิดขึ้นในระหว่างการชุมนุมของกลุ่ม REDEM เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2564 ระบุว่า กสม.ได้ติดตามสถานการณ์โดยส่งเจ้าหน้าที่เข้าร่วมสังเกตการณ์การชุมนุมอย่างต่อเนื่อง และมีความห่วงกังวลต่อการชุมนุมที่มีแนวโน้มการใช้ความรุนแรงมากขึ้น
กสม. ระบุว่า เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนที่พึงกระทำได้ในสังคมประชาธิปไตย รัฐมีหน้าที่ต้องเคารพและคุ้มครองให้ประชาชนสามารถใช้เสรีภาพดังกล่าวได้อย่างเสรีภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย ขณะที่ผู้ชุมนุมไม่ว่ากลุ่มใดจะต้องหลีกเลี่ยงการกระทำผิดกฎหมาย หรือยั่วยุ หรือชักชวนผู้อื่นให้กระทำผิดกฎหมาย อันอาจเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องใช้มาตรการบังคับใช้กฎหมายจำกัดการใช้เสรีภาพของผู้ชุมนุมโดยรวม
นอกจากนี้ ในการควบคุมสถานการณ์การชุมนุมและมีการใช้อุปกรณ์ที่เป็นอันตราย เช่น กระสุนยาง เจ้าหน้าที่รัฐต้องยึดแนวปฏิบัติขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยการใช้อาวุธที่เป็นอันตรายที่ไม่ถึงแก่ชีวิตเพื่อการบังคับใช้กฎหมาย (United Nations Human Rights Guidance on the Use of Less-Lethal Weapons in Law Enforcement) ต้องใช้ด้วยความระมัดระวังและใช้เพื่อระงับอันตรายที่ชัดเจนต่อผู้อื่นหรือเจ้าหน้าที่เท่านั้น ห้ามใช้มุ่งเป้าหมายโดยไม่เลือก (indiscriminate) และรัฐควรเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่ได้รับผลกระทบอย่างเหมาะสมและพอเพียง
ส่วนกรณีการจับกุมเด็กและเยาวชนที่เป็นผู้กระทำความผิด รัฐควรคำนึงถึงสิทธิเด็กและเยาวชนในกระบวนการยุติธรรม โดยให้เป็นไปตามหลักการของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก รวมถึงกฎอันเป็นมาตรฐานขั้นต่ำของสหประชาชาติว่าด้วยการบริหารงานยุติธรรมเกี่ยวกับคดีเด็กและเยาวชน หรือ “กฎแห่งกรุงปักกิ่ง” และพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 ตลอดจนกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็ก สวัสดิภาพของเด็กและเยาวชนเป็นสำคัญ รวมถึงการแก้ไขเพื่อคืนผู้กระทำผิดสู่สังคม
กสม. กล่าวด้วยว่า ในการดำเนินคดีอาญาต่อบุคคลอันมีเหตุจากสถานการณ์การชุมนุมหรือการแสดงออกทางการเมืองซึ่งเป็นเรื่องอ่อนไหวและมีผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนและความปรองดองภายในชาติ รัฐอาจพิจารณานำกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (restorative justice) มาเป็นอีกทางออกหนึ่งในการแก้ไขปัญหา ซึ่งมุ่งเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ผู้เสียหายและสังคม และการกลับคืนสู่สังคม (reintegration) โดยเปิดให้มีการพูดคุยเจรจา สร้างความเข้าใจต่อกัน เพื่อหาทางแก้ไขความแตกต่างด้วย สันติวิธี