ตั้งแต่เริ่มกักตัว 3 เม.ย. มียอดเข้าประเทศ 163,735 คน ติดโควิด 1,044 คน หรือ 0.64% แจง กรณีติดเชื้อล่าสุดยังคุมได้
วันนี้ (1 ธ.ค. 2563) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า พบผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่จังหวัดเชียงใหม่ 1 คน และเชียงราย 2 คน เป็นการเดินทางลักลอบเข้าประเทศ ซึ่งแถลงข่าวไปก่อนหน้านี้ ล่าสุด พบผู้ป่วยโควิด-19 อีก 1 คน ที่จังหวัดเชียงราย ลักลอบเดินทางเข้าประเทศเช่นกัน เป็นหญิงไทยอายุ 25 ปี และเป็นเพื่อนร่วมงานในสถานบันเทิงประเทศเมียนมา อย่างไรก็ตาม สามารถตรวจจับ ควบคุมโรค และติดตามผู้สัมผัสได้เป็นอย่างดี ขณะนี้ ยังไม่พบผู้ป่วยที่เกิดจากการสัมผัสผู้ป่วยทั้ง 4 คน
“สถานการณ์ยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ คือ มีผู้ป่วยนำเข้าเป็นราย ๆ (Spike) สามารถติดตามควบคุมโรคได้รวดเร็ว และยังไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เกิดขึ้นจากผู้ป่วย 3 รายที่จังหวัดเชียงราย เนื่องจากเมื่อทราบข่าวของรายที่เชียงใหม่ จึงมีการใส่หน้ากาก ป้องกันตนเองอย่างดี และหลีกเลี่ยงไปสถานที่ชุมชน”
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีพรมแดนติดประเทศเพื่อนบ้านเป็นระยะทางยาว แม้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงจะพยายามติดตามอย่างเข้มงวด และ อสม. อสต. ช่วยเฝ้าระวังในชุมชน ก็ต้องขอความร่วมมือประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตา หากพบเห็นบุคคลไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือต่างชาติ ที่ไม่ได้ผ่านการกักตัว ขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตำรวจโดยเร็ว และขอให้คนไทยที่ต้องการกลับบ้านเดินทางเข้าประเทศอย่างถูกต้อง เพื่อให้ได้รับการคัดกรอง หากติดเชื้อจะได้รับการดูแลรักษาอย่างรวดเร็ว ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ครอบครัว คนใกล้ชิด และชุมชน
ส่วนประชาชนในพื้นที่เชียงใหม่และเชียงรายยังสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ เนื่องจากมาตรการสาธารณสุขยังควบคุมสถานการณ์ได้ดี บางอำเภอก็ไม่ได้เกี่ยวข้อง ดังนั้น ประชาชนยังสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้ แต่ขอให้คงมาตรการการป้องกันส่วนบุคคล คือ การใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด และหมั่นล้างมือ เป็นวัคซีนช่วยป้องกันโรคได้
ด้าน นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวว่า หลังจากที่รัฐบาลมีนโยบายเปิดรับคนไทยกลับประเทศ ทำให้มีคนไทยทยอยเดินทางเข้าในประเทศ โดยทุกคนต้องเข้ารับการกักตัว 14 วัน ในสถานกักตัวที่รัฐจัดให้และรัฐกำหนดทุกประเภท และเมื่อประเทศไทยสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ จึงได้เปิดรับชาวต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจและรับการรักษาโรคอื่นที่ไม่ใช่โควิด-19 และท่องเที่ยวต่างชาติประเภทพิเศษ (Special Tourist Visa : STV) เพื่อสร้างความสมดุลของระบบสุขภาพและเศรษฐกิจ โดยทุกคนต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันควบคุมโรคที่ภาครัฐกำหนด
ตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย. – 1 ธ.ค. 2563 มีผู้เดินทางเข้าประเทศ 163,735 คน ทุกคนเข้ารับการกักตัวในสถานที่กักกันที่รัฐระบุไว้ (SQ, LQ, ASQ, ALQ, OQ และ AHQ) ในจำนวนนี้ตรวจพบเชื้อโควิด-19 จำนวน 1,044 คน คิดเป็นร้อยละ 0.64 ของผู้ที่เดินทางทั้งหมด โดยเป็นคนไทย 826 คน ต่างชาติ 218 คน กลับบ้านได้ 910 คน มีผู้เสียชีวิต 2 คน
“ปัจจุบันมีผู้เดินทางเข้าประเทศประมาณวันละ 700 – 800 คน เมื่อเทียบกับในอดีตที่เดินทางเข้ามาวันละประมาณแสนคน ถือว่าอยู่ในระดับที่ปลอดภัย”
อย่างไรก็ตาม อนาคตมีแนวโน้มว่าจะมีการเดินทางระหว่างประเทศมากขึ้น หากมีการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในต่างประเทศและในประเทศไทย จึงต้องเตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางที่มากขึ้น โดยการเดินทางเข้ามาในช่องทางที่ถูกต้อง มีระบบกักกันโรคและตรวจหาเชื้อ แต่การลักลอบเข้าทางพรมแดนธรรมชาติทำให้มีความเสี่ยงได้ จึงต้องขอให้ช่วยกันป้องกัน สอดส่องการเข้ามาที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย