นักสิทธิร้อง “นายกฯ” ยุติปัญหาคนกับป่า ก่อนขัดแย้งบานปลาย

หลัง จนท.บุกดำเนินคดีชาวบ้านบ้านกลาง อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง อ้างผิด พ.ร.บ.ป่าไม้ ชาวบ้านยัน เป็นการใช้ประโยชน์ตามปกติธุระในผืนป่าชุมชน

ดร.เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ ที่ปรึกษาสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล และอดีตกรรมการปฏิรูป (คปร.) โพสต์ข้อความถึง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี วานนี้ (11 ต.ค. 2563) หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท (เตรียมการ) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ป่าสงวนแห่งชาติ สนธิกำลังเข้ายึดไม้ในพื้นที่ป่าชุมชนบ้านกลาง หมู่ที่ 5 ต.บ้านดง อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง กล่าวหาชาวบ้านทำผิดพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 ขณะที่ชาวบ้านยืนยันเป็นการใช้ประโยชน์ตามปกติธุระในผืนป่าชุมชนที่ดูแลมานานกว่า 300 ปี เพื่อสร้างศาลาอเนกประสงค์ในชุมชน

ดร.เพิ่มศักดิ์ ระบุว่า ชาวบ้านกลางเป็นชุมชนต้นแบบดีเด่นในเรื่องวิถีวัฒนธรรมคนอยู่กับป่า การจัดการต้นน้ำ การจัดการไฟป่า และระบบเกษตรยั่งยืน ได้รับรางวัลและการประกาศเกียรติคุณยกย่องจากหน่วยงานรัฐและองค์กรสิ่งแวดล้อมระดับสากลมากมาย โดยที่ผ่านมาชาวบ้านทำเกษตรกรรม เลี้ยงสัตว์ เก็บหาอาหาร สมุนไพร ไม้ใช้สอยจากป่าชุมชนที่ร่วมกันดูแลและมีระเบียบชุมชนควบคุมอย่างดี

การตัดไม้มาใช้ซ่อมแซมหรือสร้างบ้านจะทำได้ตามความจำเป็นแก่การอยู่อาศัย ซึ่งเรื่องนี้เป็นที่เข้าใจและยอมรับทางนโยบายระดับประเทศ จนตราเป็นกฎหมายมารองรับแล้ว แต่เจ้าหน้าที่รัฐยังคงไปจับกุมยึดไม้ดำเนินคดี

เบื้องหลังเรื่องนี้ เพราะมีความขัดแย้งกันมานาน เนื่องจากชาวบ้านที่รักษาป่าไม่ยอมให้ประกาศพื้นที่ป่าชุมชนเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ เมื่อปี 2558 ชาวบ้านเคยแจ้งความกรณีมีคนภายนอกมาตัดไม้ไปขาย แต่เรื่องก็เงียบหาย หน่วยงานรัฐไม่จัดการ และทำให้เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องไม่พอใจ

ดร.เพิ่มศักดิ์ ระบุด้วยว่า การปล่อยให้ผู้มีอิทธิพลทำลายป่า แล้วมาหาเรื่องกับชุมชนต้นแบบรักษาป่าอย่างกรณีบ้านกลางอย่างนี้ ถือเป็นเรื่องการบริหารงานจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ผิดพลาดร้ายแรง ทั้งที่รัฐจะต้องปกป้องและคุ้มครองชุมชน อย่าปล่อยให้หน่วยงานราชการที่มีผลประโยชน์องค์กรแอบแฝงไปข่มเหงรังแก และกังวลว่า หากเหตุการณ์ขัดแย้งกรณีบ้านกลางไม่คลี่คลายไปในทางที่ดี ชาวบ้านคงจะไม่มีทางเลือกอื่นใดในการต่อสู้กับอำนาจรัฐที่ไม่เป็นธรรม

พร้อมเสนอให้ตั้งคนกลางที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และไม่ใช่ชาวบ้านคู่ขัดแย้ง ไปหาความจริงและเสนอวิธีการแก้ปัญหา ทั้งระดับพื้นที่ นโยบาย และระดับกฎหมายให้ครบถ้วนและแก้ปัญหาได้จริงโดยเร็ว

เจ้าหน้าที่ กล่าวหาชาวบ้านผิด พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484

มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ เผยแพร่ข้อมูลลำดับเหตุการณ์ดังกล่าว ระบุว่า วันที่ 9 ต.ค. ระหว่างที่ชุมชนมีแผนการสร้างศาลาอเนกประสงค์ของโบสถ์คริสต์ จึงได้เข้าไปในพื้นที่ป่าชุมชนในแนวเขตแนวกันไฟ เพื่อหาไม้จำปี จำปา มาก่อนสร้างอาคารดังกล่าว โดยเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ระดับปฏิบัติการได้เข้าไปพบ แต่ สมชาติ รักษ์สองพลู ผู้ใหญ่บ้าน ได้เจรจาจนไม่มีความขัดแย้งใด ๆ

ต่อมา วันที่ 10 ต.ค. เวลาประมาณ 12.00 น. ผู้ช่วยอุทยานแห่งชาติถ้ำผาไทได้ลงพื้นที่มาอีกครั้ง โดยชุมชนได้ระดมกำลังกันไปยืนล้อมปิดทางเข้าชุมชน ยืนยันว่าต้องเจรจากับผู้ใหญ่บ้านก่อน หลังเจรจากับผู้ใหญ่บ้าน อุทยานฯ ยืนยันต้องยึดของกลาง คือ ไม้ทั้งหมดที่ชาวบ้านจะนำไปใช้ประโยชน์ รวมทั้งได้รวบรวมหลักฐาน เช่น บุหรี่ เสื้อผ้า หรือกระป๋องน้ำ เพื่อไปตรวจดีเอ็นเอ อ้างอำนาจตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484

วันที่ 11 ต.ค. เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท และเจ้าหน้าที่ป่าสงวนแห่งชาติ เริ่มสนธิกำลังเข้าไปในพื้นที่ สถานการณ์เริ่มตึงเครียด ต่อมาช่วงเที่ยง เจ้าหน้าที่ตำรวจให้เจ้าหน้าที่อุทยานฯ บันทึกสำนวนคดีแล้วส่งให้ร้อยเวร สภ.แม่เมาะ ในการทำสำนวน พร้อมอ้างว่าต้องนำไม้ของกลางมาให้ครบเพื่อคำนวณปริมาณก่อนจึงจะสามารถทำสำนวนได้ ชาวบ้านจึงรอให้เจ้าหน้าที่ลากไม้ออกมาจากป่าก่อนจะร่วมทำสำนวน ณ ที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน ก่อนที่เวลา 14.00 น. ผู้แทนจากกรมการปกครองเดินทางมาถึงพื้นที่เพื่อเป็นตัวกลางเจรจาไกล่เกลี่ย ได้ข้อสรุปว่าจะทำบันทึกข้อตกลงร่วมกัน โดยมีชุมชนบ้านกลาง สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมลงนาม

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active