1 เดือน #รถบัสไฟไหม้ หน่วยงานรัฐทำอะไรไปบ้าง ?

“ขอให้ทุกหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ให้เร่งดำเนินการตรวจสอบสภาพรถ เพื่อสร้างความมั่นใจต่อประชาชน และสร้างความปลอดภัยต่อการใช้รถใช้ถนน”

แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวใน การประชุมหารือเรื่องความปลอดภัยทางถนน (7 ต.ค. 67)

6 วันหลังเหตุการณ์โศกนาฏกรรม #รถบัสไฟไหม้ เกิดขึ้นในวันที่ 1 ต.ค. 67 จนนำไปสู่ความสูญเสียของครู และนักเรียน โรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จ.อุทัยธานี จำนวน 23 คน และมีนักเรียนบาดเจ็บอีก 5 คน แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เรียกประชุมความปลอดภัยทางถนน โดยชี้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมหารือเพื่อปรับแก้กฎหมายและข้อบังคับใช้ต่าง ๆ ไม่ว่าทั้ง กระทรวงคมนาคม (คค.), กระทรวงมหาดไทย (มท.), กระทรวงสาธารณสุข (สธ.), กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เพื่อยกระดับการเดินทางให้ดีขึ้นทุกประเภท

ในช่วงเวลาที่เหตุการณ์เศร้าสลดผ่านมาจนครบ 1 เดือน The Active จึงชวนสำรวจการทำงานของหน่วยงานรัฐ ว่า ตั้งแต่วันเกิดเหตุจนถึงวันนี้ มีอะไรคืบหน้าไปบ้างกับความพยายามหาแนวทาง ปรับมาตรการเพื่อทำให้ความปลอดภัยทางถนนเกิดขึ้นจริง พร้อมวิเคราะห์ ตั้งข้อสังเกต เพื่อหาทางออกกับอนาคตที่เราสามารถป้องกันได้

คณะรัฐมนตรี (ครม.)

การกำหนดนโยบายบริหารราชการแผ่นดิน เป็นส่วนหนึ่งในหน้าที่ของ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งในเหตุรถบัสไฟไหม้ครั้งนี้ ครม. จึงมีส่วนเกี่ยวข้องในการสั่งการไปยังหน่วยงานต่าง ๆ พร้อมทั้งกำหนดมาตรการ เพื่อดำเนินการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน 

2 ต.ค. 67 : สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงข้อสั่งการภายหลังประชุมถึงเหตุการณ์รถบัสทัศนศึกษาไฟไหม้ โดยกำหนด 5 มาตรการ เพื่อยกระดับความปลอดภัยรถสาธารณะ ดังนี้

  1. ให้กรมการขนส่งทางบก เรียกรถโดยสารสาธารณะประจำทางและไม่ประจำทางที่ใช้เชื้อเพลิง CNG ทั้งหมดเข้ารับการตรวจสภาพรถ จำนวน 13,426 คัน ภายใน 60 วัน

  2. ยกระดับมาตรฐานการประกอบการขนส่งทั้งระบบของรถโดยสารประจำและไม่ประจำทาง ได้แก่ การประกอบการ การตรวจสภาพ การให้บริการ

  3. ให้กรมการขนส่งทางบก บูรณาการร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและสถานศึกษาทั่วประเทศ ในกรณีที่จะนำรถเช่าเหมาหรือรถโดยสารไม่ประจำทางไปใช้บริการ โดยให้ประสานงานกับสำนักงานขนส่งจังหวัด เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยก่อนออกเดินทางทุกครั้ง

  4. พนักงานขับรถและผู้อยู่ประจำรถ จะต้องได้รับการอบรมและทดสอบ หลักสูตรการเผชิญเหตุและการช่วยเหลือผู้โดยสาร (Crisis Management)

  5. จะออกกฎหมาย ระเบียบ เพื่อให้ผู้ประกอบการต้องมีการแนะนำข้อมูลและแนวทางเผชิญเหตุฉุกเฉินในการใช้บริการเช่นเดียวกับสายการบิน

7 ต.ค. 67 : ครม. มีมติเห็นชอบให้ตั้งคณะกรรมการแก้ปัญหายกระดับรถโดยสารสาธารณะ ขีดเส้น 15 วัน โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม เพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาและยกระดับรถโดยสารสาธารณะอย่างเร่งด่วน พร้อมทั้งมอบหมาย กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เรียกตรวจสอบสภาพรถโดยสารสาธารณะที่ใช้เชื้อเพลิง NGV ซึ่งหากพบสภาพไม่พร้อมใช้งานให้สั่งห้ามการนำรถออกใช้งาน หากพร้อมใช้งานให้ออกหนังสือรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยการตรวจสอบต้องตรวจสอบอย่างละเอียด และคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ

กระทรวงคมนาคม (คค.)

จากการตั้งข้อสังเกตของ สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ที่ปรึกษาคณะกรรมการพิจารณาศึกษาแนวทางการป้องกันและ ลดอุบัติเหตุเพื่อสร้างความปลอดภัยทางถนน สภาผู้แทนราษฎร ถึงกรณีเหตุรถบัสไฟไหม้ทัศนศึกษาในครั้งนี้ พบความหละหลวมในการตรวจสอบสภาพรถ ดังนี้

  • การปล่อยให้มีการจดทะเบียนใหม่ แต่รถที่จดทะเบียนนําโครงรถโดยสารเก่ามาดัดแปลง 

  • ผลการตรวจสอบจํานวนถังแก๊สที่ติดตั้งของรถโดยสารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ตรงกับจํานวนที่ปรากฏในวันเกิดเหตุ 

  • มีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่น ความพร้อมของอุปกรณ์นิรภัย, ประตูฉุกเฉินไม่มีประสิทธิภาพ ฯลฯ

กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ภายใต้กระทรวงคมนาคม จึงมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ควบคุมและจัดระเบียบการขนส่งทางถนนภายในประเทศและระหว่างประเทศ ซึ่งจะต้องรักษามาตรฐานยานพาหนะที่สัญจรอยู่บนถนน ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบสภาพรถ และการกำกับดูแลพนักงานขับรถ รวมถึงบริษัทขนส่ง เพื่อความปลอดภัยในการสัญจร

จิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยหลังเกิดเหตุ ในวันที่ 1 ต.ค. 67 ว่า ได้สั่งระงับใบผู้ประกอบการขนส่ง “ชินบุตรทัวร์” ชั่วคราว ซึ่งจะดำเนินการระงับใบอนุญาตประกอบการขนส่งทันที และจะดำเนินตามข้อกฎหมายระดับสูงสุด หากมีการตรวจสอบว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของผู้ประกอบการขนส่ง

2 ต.ค. 67 : สุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.กระทรวงคมนาคม มีคำสั่งให้ กรมการขนส่งฯ ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงปมรถบัสไฟไหม้นักเรียน โดย กรมการขนส่งฯ สั่งย้ายข้าราชการ 2 ตำแหน่ง คือ หัวหน้าฝ่ายตรวจสภาพรถ และนายช่างตรวจสภาพรถชำนาญงาน จ.สิงห์บุรี

3 ต.ค. 67 : สั่งอายัดรถของชินบุตรทัวร์ ​หลังไม่ยอมเข้าตรวจสภาพรถ ซึ่งเป็นการแสดงเจตนาที่จะปกปิดความผิดจากดัดแปลงรถโดยไม่ได้รับอนุญาต จากการตรวจ GPS แล้วพบว่ามีรถ 5 คัน อยู่ระหว่างการถอดถังแก๊สที่ติดตั้งเกินจากที่แจ้งจดทะเบียนไว้ออกที่อู่แห่งหนึ่งใน จ.นครราชสีมา 

20 ต.ค. 67 : มีการตรวจสภาพรถโดยสารสาธารณะไปแล้วทั้งสิ้น 1,973 คัน ซึ่งในจำนวนนี้มีรถที่ไม่ผ่านการตรวจสภาพ 196 คัน และคงเหลือรถที่ยังไม่ได้รับการตรวจสภาพอีก 11,453 คัน โดย สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ที่ปรึกษาคณะกรรมการพิจารณาศึกษาแนวทางการป้องกัน และลดอุบัติเหตุเพื่อสร้างความปลอดภัยทางถนน สภาผู้แทนราษฎร คาดว่าไม่สามารถตรวจสอบให้แล้วเสร็จได้ภายในเวลาที่กําหนดตามมาตรการของคณะรัฐมนตรี (30 พ.ย. 67) 

กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)

กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการส่งเสริมและกำกับดูแลการศึกษาทุกระดับ ซึ่งรวมถึงสวัสดิภาพและการรักษาความปลอดภัยที่ครอบคลุมบุคลากรสถานศึกษาและนักเรียน ศธ. จึงมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการกำหนดแนวทางและมาตรการความปลอดภัย โดยเฉพาะกิจกรรมทัศนศึกษา… หลังผ่านมา 1 เดือน เหตุการณ์รถบัสไฟไหม้ สิ่งที่ได้ทำ คือ

2 ต.ค. 67 : หลังจากการเกิดเหตุ 1 วัน พล.ต.อ. เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.กระทรวงศึกษาธิการ สั่ง “งดทัศนศึกษาที่ไม่จำเป็นทันที” แต่หากมีความจำเป็น ให้ตรวจมาตรการความปลอดภัยอย่างเต็มที่ และมีการประสานกับขนส่งเพื่อตรวจสภาพรถ โดยมองว่าการทัศนศึกษายังจำเป็นต่อการเรียนรู้ แต่ก็ต้องเข้มงวดกว่าเดิม โดยต้องตรวจสภาพรถและคนขับ ดำเนินการซักซ้อม และตรวจสอบอุปกรณ์ฉุกเฉิน

3 ต.ค. 67 : สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กำหนดแนวทางปฏิบัติของสถานศึกษา ในการพานักเรียนไปนอกสถานศึกษา ระบุ ให้สถานศึกษางดการพานักเรียนไปนอกสถานศึกษาไว้เป็นการชั่วคราว จนกว่าจะมีมาตรการเป็นอย่างอื่น แต่หากจำเป็นต่อการส่งเสริมการเรียนรู้ ให้พิจารณาเป็นรายกรณีไป

4 ต.ค. 67 : สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ส่งหนังสือซักซ้อม “6 แนวทางการพานักเรียนไปนอกสถานศึกษา” ให้สถานศึกษาเอกชนทั่วประเทศ ระบุ ขอให้พิจารณางดการพานักเรียนไปทัศนศึกษา ยกเว้นมีความจำเป็น

10 ต.ค. 67: ตั้งคณะทำงานกำหนดมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยการจัดกิจกรรมของสถานศึกษา 

กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)

กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือด้านการแพทย์และสาธารณสุขให้กับผู้ประสบเหตุ ซึ่งในกรณีรถบัสไฟไหม้ สธ. มีความรับผิดชอบในการประสานงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทำการรักษาพยาบาลผู้ประสบเหตุ พร้อมทั้งช่วยเหลือในการฟื้นฟู ไม่ว่าจะทางกายหรือจิตใจ ดังนี้

1 ต.ค. 67 : สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.กระทรวงสาธารณสุข และ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข สั่งการให้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขทันที เพื่อติดตามสถานการณ์และให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยและญาติอย่างเต็มที่ พร้อมประสานงานเครือข่ายหน่วยบาดแผลที่เกิดจากไฟไหม้ เพื่อรองรับและช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ 

กรมสุขภาพจิต ส่งทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤติ (MCATT : Mental Health Crisis Assessment and Treatment Team)  ลงพื้นที่โรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม เพื่อดูแลเยียวยาจิตใจผู้ประสบเหตุและญาติ

25 ต.ค. 67 รมว.กระทรวงสาธารณสุข และคณะ ร่วมส่งผู้ป่วยเด็กหญิงที่ได้รับผลกระทบจากกรณีรถบัสไฟไหม้กลับบ้าน พร้อมส่งทีม MCATT เยียวยาต่อเนื่องให้แก่ผู้บาดเจ็บเป็นเวลา 1 ปี

กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)

เหตุการณ์รถบัสไฟไหม้ที่เกิดขึ้น สร้างผลกระทบในวงกว้างและหลายด้าน ตั้งแต่ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บไปจนถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้น จึงมีส่วนเสียหายทั้งร่างกาย จิตใจ และเศรษฐกิจ ในการเยียวยา จึงเป็นหน้าที่ของ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ที่จะให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูสภาพจิตใจทั้งผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและครอบครัวของผู้ประสบภัย 

ในวันที่เกิดเหตุ ทาง พม. ได้ระดมทีมสหวิชาชีพเยียวยาจิตใจครอบครัวผู้เสียชีวิต-บาดเจ็บ โดยมีทั้ง เจ้าหน้าที่ พมจ.ปทุมธานี ดูแลผู้ได้รับผลกระทบในโรงพยาบาลและศูนย์อำนวยการฉุกเฉิน และเจ้าหน้าที่ พมจ.อุทัยธานี และจังหวัดใกล้เคียง เข้าเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิต

22 ต.ค. 67: วราวุธ ศิลปอาชา รมว.พม. เปิดเผยถึงการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ โดยมีการเยียวยาเป็นระยะ พร้อมวางแผน และลงพื้นที่อเพื่อช่วยเหลือเยียวยาจิตใจครอบครัว รวมถึงดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญาต่อผู้กระทำความผิดอีกด้วย

กระทรวงมหาดไทย (มท.)

กระทรวงมหาดไทย (มท.) มีภารกิจสำคัญในการบำบัดทุกข์บำรุงสุข และการรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อเกิดเหตุการณ์รถบัสไฟไหม้ หน้าที่ของ มท. จึงต้องบริหารจัดการกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งดูแลความปลอดภัยในพื้นที่อีกด้วย ดังนี้

1 ต.ค. 67: อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.กระทรวงมหาดไทย, ทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.กระทรวงมหาดไทย และ ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รมช.กระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ยังจุดเกิดเหตุไฟไหม้ 

2 ต.ค. 67: รมว.กระทรวงมหาดไทย และ อรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์ดูแลสุขภาพจิตผู้บาดเจ็บและผู้ได้รับผลกระทบ ที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยปลัดกระทรวงมหาดไทย กำชับเจ้าหน้าที่สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง ในการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนผู้สูญเสียเพื่อขอรับใบมรณะบัตรด้วยความรวดเร็ว

กระทรวงยุติธรรม (ยธ.)

นอกจากมาตรการเรื่องความปลอดภัยและการเยียวยาผู้ประสบเหตุของหน่วยงานรัฐที่ นายกฯ มีคำสั่งให้กำกับดูแลเหตุในข้างต้นแล้ว ยังมีเรื่องของสิทธิและเสรีของประชาชนที่มี กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เป็นผู้รับผิดชอบ ในการคุ้มครองสิทธิของผู้ประสบเหตุเรื่องเงินเยียวยา และความช่วยเหลือเรื่องความยุติธรรมในด้านต่าง ๆ ที่ผู้ประสบเหตุพึงได้รับ ดังนี้

1 ต.ค. 67 : พงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม สั่งการให้ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ โดยกองพิทักษ์สิทธิและเสรีภาพ และสำนักงานยุติธรรมจังหวัดปทุมธานี ลงพื้นที่แจ้งสิทธิการเยียวยาในฐานะผู้เสียหายในคดีอาญา ให้แก่ครู  นักเรียน ผู้ปกครอง และรับคำขอการเยียวยา พร้อมกำชับให้เร่งรัดการเยียวยาโดยเร็วที่สุด

6 ต.ค. 67 : พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.กระทรวงยุติธรรม, เอมอร เสียงใหญ่ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และคณะ มอบเงินเยียวยาแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต ตาม พ.ร.บ. ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทน จำนวน 23 คน เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 4,600,000 บาท

ผ่านมา 1 เดือน หลังเหตุการณ์รถบัสไฟไหม้ สิ่งที่เห็นการเปลี่ยนแปลงนอกเหนือจากการช่วยเหลือ เยียวยา ซึ่งก็ถือว่าเป็นไปตามหลักเกณฑ์ และมาตรการของรัฐ ที่แต่ละหน่วยงานกำกับดูแลอยู่แล้ว แต่ยังพบว่า การตั้งคณะกรรมการหลายชุด ยังมุ่งไปสู่ความพยายามตรวจสอบสาเหตุ และเน้นการป้องกัน แก้ไขปัญหาในเชิงระบบ

ทั้งการออกมาตรการความปลอดภัยเพิ่มเติม การตรวจสอบและควบคุมมาตรฐานของรถโดยสารสาธารณะ การสั่งระงับใบอนุญาตของผู้ประกอบการที่ไม่ได้มาตรฐาน และการตรวจสอบสภาพรถทั้งหมดในเครือของผู้ประกอบการอย่างเข้มงวด

อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้มาตรฐานที่เข้มงวดในระยะเวลาอันสั้นอาจเผชิญกับความท้าทาย เนื่องจากจำนวนรถที่ต้องตรวจสอบมีมาก และการทำให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดอาจไม่เป็นไปตามแผน จึงจำเป็นต้องมีการตรวจสอบและติดตามผลอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มาตรการเหล่านี้มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง

แต่คำถามคือ จากนี้มาตรการต่าง ๆ จะสามารถเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่องแค่ไหน ? ซึ่งหากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่สามารถเร่งรัดการดำเนินงานให้ครบถ้วนและทันท่วงทีได้ ก็อาจส่งผลให้ปัญหาเดิมเกิดขึ้นอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า

กางข้อสังเกต เมื่ออุบัติเหตุไม่ใช่แค่ ‘ความประมาท’ ของคนขับ

“เราวิเคราะห์ได้ลึกกว่าคนขับประมาทและขาดจิตสำนึก แต่ต้องเจาะลึกถึงปัญหาเชิงระบบ”

นพ.ธนะพงษ์ จินวงศ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน

หลายครั้งที่เมื่อเกิดเหตุหลายคนมักจะวิเคราะห์และให้น้ำหนักอยู่ที่ ความประมาท ขาดจิตสำนึกของคนขับ และไปไม่ถึงความเสี่ยงในด้านอื่น ๆ นี่คือประเด็นที่ นพ.ธนะพงษ์ จินวงศ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน ชี้ให้เห็นว่า ในการวิเคราะห์เพื่อที่จะหาสาเหตุของแต่ละเหตุการณ์ จะต้องพิจารณาองค์ประกอบให้ครบถ้วน ทั้งสมรรถภาพคนขับ ยานพาหนะ และกายภาพอื่น ๆ โดยเฉพาะ ระบบมาตรฐานความปลอดภัย ซึ่งในกรณีรถบัสไฟไหม้ครั้งนี้ จะพบการเชื่อมโยงกับระบบ และหน่วยงานที่รับผิดชอบหลายเรื่อง

“ทำอย่างไรให้เรื่องนี้มีการจัดการและติดตาม ถ้าไม่แก้ไข หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบหรือคาดโทษอย่างไร”

นพ.ธนะพงษ์ จินวงศ์
นพ.ธนะพงษ์ จินวงศ์
ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน

ข้อบกพร่องหลายประการที่สร้างความสูญเสียโดยที่แท้จริงแล้วหลายหน่วยงานสามารถป้องกันไม่ให้เกิดเหตุเช่นนี้ได้ โดย นพ.ธนะพงษ์ ได้ตั้งข้อสังเกตถึงระบบของ กรมการขนส่งทางบก และการตรวจสภาพรถอีกด้วย ซึ่งต้นทางของเรื่องนี้ คือ การที่ปล่อยให้รถโดยสารไม่ประจำทางเข้าสู่ระบบโดยง่าย ส่งผลให้การตรวจสอบสภาพรถอย่างละเอียดเป็นไปอย่างล่าช้าและอาจไม่ได้เข้มงวดมากพอ

เพราะเมื่อเทียบจำนวนเจ้าหน้าที่และสำนักงานขนส่งจังหวัดทั่วประเทศที่จะต้องมาตรวจสอบสภาพรถโดยสารไม่ประจำทางที่ติดตั้งแก๊สกว่า 13,000 คัน จะพบว่ามีสัดส่วนที่ต่างกันมาก ซึ่งจะเห็นว่าตั้งแต่เกิดเหตุสามารถตรวจไปได้เพียงหลักพันเท่านั้น ในจำนวนนี้ก็มีรถเกือบ 100 คันที่ไม่ผ่านมาตรฐาน

การตรวจสภาพรถหลังเกิดเหตุการณ์นี้ จึงเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจริงที่อาจทำให้ในอนาคตเกิดเหตุการณ์ซ้ำอีก ซึ่งหากต้องการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง นพ.ธนะพงษ์ จึงมีข้อเสนอในส่วนของ กรมการขนส่งทางบก ดังนี้

  • เพิ่มความเข้มงวดในการนำรถเข้าระบบ

  • สุ่มตรวจรถโดยสารไม่ประจำทางที่ติดตั้งแก๊สบนท้องถนน หากพบว่าไม่ผ่านมาตรฐาน ควรเพิกถอนใบอนุญาตและมีบทลงโทษทางอาญา

  • ควรมีการศึกษาเพิ่มเติม เกี่ยวกับการกำหนดอายุคัสซีและระยะทางการวิ่งของรถโดยสารเก่า และในช่วงที่มีการศึกษาควรเทียบเคียงกับรถโดยสารประจำทางไปก่อน หรือใช้หลักเกณ์เดียวกัน

“ถ้าจะแก้เรื่องนี้จริง ๆ ต้องไปที่การอนุมัติรถเข้าระบบ และต้องเข้มงวดมากกว่านี้ ไม่ปล่อยให้รถในกลุ่มรายย่อยเข้าระบบโดยง่าย ทั้งที่ขาดความปลอดภัย ระยะยาวต้องตั้งเกณฑ์มาตรฐานให้สูงเข้าไว้ รถที่ไม่พร้อมจะต้องไม่อนุญาตให้เข้าระบบ เพราะจะกระทบขั้นตอนต่อไปคือการตรวจสภาพรถ”

นพ.ธนะพงษ์ จินวงศ์

ส่วนการจัดทัศนศึกษา ของสถานศึกษาภายใต้กระทรวงศึกษาธิการ นพ.ธนะพงษ์ มองว่า เหตุที่ต้องใช้ยานพาหนะที่เก่าและไม่มีประสิทธิภาพสำหรับการไปทัศนศึกษา เป็นเพราะค่าใช้จ่ายรายหัวของนักเรียนในการไปทัศนศึกษามีจำกัด ทำให้ต้องจัดหารถที่ราคาถูก และผู้ประกอบการก็ต้องหารถในราคาจำกัด เพื่อการประหยัดต้นทุน นั่นคือการลักลอบติดตั้งแก๊สหลายลูกเกินกว่าที่จะรับได้

ด้วยเหตุนี้ ส่งผลมาถึงการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยที่หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องจะต้องมีมาตรการเข้าไปสนับสนุน เพื่อให้ผู้ประกอบการไม่ต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งจะต้องเป็นมาตรการที่จะยกระดับความปลอดภัยได้จริง ไม่ใช่มีเพียงแค่การเข้มงวดมาตรการ ซึ่งอาจเป็นการทำงานระยะยาวที่ควรคำนึงควบคู่

ท้ายที่สุด หากประเทศไทยมีหน่วยงานที่มาร่วมวิเคราะห์สาเหตุของอุบัติเหตุในมิติต่าง ๆ ได้ ก็จะสามารถทำให้มีการติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง และสามารถวิเคราะห์ที่ไปถึงรากของปัญหาได้จริง

นี่คงไม่ใช่แค่วัวหายล้อมคอก แต่ความพยายามออกมาตรการ และปรับปรุงกฎ ระเบียบ กติกา นับจากนี้จำเป็นอย่างยิ่งต้องให้เข้มงวด ที่สำคัญคือต้องไม่ลืมว่า ผู้ใหญ่ทุกคน มีภาระหน้าที่ของการปกป้อง ดูแล ความปลอดภัยให้กับเด็ก เยาวชน จากนี้ในช่วงระยะเวลาที่ทอดยาวออกไป อะไรจะเป็นหลักประกันว่า มาตรการที่ถูกกำหนดขึ้นจะทำได้อย่างต่อเนื่อง และเข้มงวดจริงจังมากพอ เพื่อลดความเสี่ยง นี่คือความท้าทายที่สังคมยังคงจับตาอย่างใกล้ชิด

Author

Alternative Text
AUTHOR

ธนธร จิรรุจิเรข

สงสัยว่าตัวเองอยากเป็นนักวิเคราะห์ data ที่เขียนได้นิดหน่อย หรือนักเขียนที่วิเคราะห์ data ได้นิดหน่อยกันแน่