การระบาดระลอก 3 ของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย ตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน นับเป็นจุดเริ่มต้นของการระบาดครั้งใหญ่ รุนแรง และขยายไปแทบทุกพื้นที่ของประเทศไทย
การรับมือการระบาดในรอบนี้ ได้เผยให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่หยั่งรากลึกในสังคมไทยอย่างยาวนาน ตอกย้ำให้เห็นกระบวนการคิดและกลไกของหน่วยงานรัฐ รวมถึงบทบาทของภาคประชาชนเมื่อต้องเผชิญวิกฤต
กรุงเทพมหานคร ได้ชื่อว่ามีทรัพยากรเพียบพร้อมในทุก ๆ ด้าน แต่ก็เป็นพื้นที่ที่พบผู้ติดเชื้อสูงที่สุดเช่นกัน
ทรัพยากรที่เคยคิดว่ามีความพร้อมรองรับ กลับอยู่ในภาวะที่ “ล้นขีดความสามารถของระบบสาธารณสุข” ขณะที่ระบบเริ่มหมดแรง พลังของชุมชนกลับเด่นชัดขึ้น
“คลองเตย” ชุมชนแออัดขนาดใหญ่คือชุมชนแรก ๆ ที่ลุกขึ้นมาจัดการปัญหาจากประสบการณ์ของเครือข่ายที่ทำงานในพื้นที่ พยายามประสานงาน เชื่อมต่อทุกฝ่าย จนเกิดกลไกการจัดการโรคระบาดภายในชุมชน และกลายเป็นต้นแบบให้กับชุมชนอื่น ๆ รวมถึงระดับนโยบายของกรุงเทพมหานคร ในการจัดตั้งศูนย์ Community Isolation และ Home Isolation ในเวลาต่อมา
จากวันนั้นถึงวันนี้ สังคมได้เรียนรู้อะไรจากชุมชนบ้าง หากโจทย์ในอนาคตไม่ใช่การจัดการเชื้อโรคร้ายนี้ให้ตายอย่างสิ้นซาก ทว่าคือการเรียนรู้การอยู่ร่วมกันอย่างปลอดภัย
The Active รวบรวมบทเรียน ข้อเสนอ ที่ได้จากหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องซึ่งร่วมแลกเปลี่ยน บนโจทย์ “จะทำอย่างไรให้การจัดการโควิด19เป็นเรื่องของทุกคน” ผ่านเวทีสาธารณะคุยหลังหนัง ในรูปแบบ Visual Note Taking
ปัญหาการจัดการวิกฤตโควิด-19 ระบาด…ยังเหลืออะไรบ้าง ?
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/09/1-1-1024x1024.jpg)
สิทธิชาติ อังคะสิทธิศิริ ประธานชุมชนล็อก 123 ในฐานะที่เขาทำงานและตั้งทีมอาสาดูแลคนติดเชื้อคนแรกในคลองเตย จุดประเด็นให้เห็นว่าระบบที่ไม่เชื่อมต่อกับชุมชนทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้างต่อชุมชนแออัด บ้านไม่สามารถกักตัวรอเตียงได้เหมือนนโยบายที่ประกาศ แม้ระยะแรกจะลองผิดลองถูก ทำบนความไม่รู้และความกลัว แต่ทุกคนก็ร่วมมือกันจนผ่านมาได้ทุกวันนี้แบบอุตลุด
“รัฐบาลประกาศว่าติดเชื้อกักตัวในบ้านได้ แต่คลองเตยบ้านติดกันหมด ถ้าไม่เอาคนติดเชื้ออกจากชุมชนจะเป็นคลัสเตอร์ใหญ่ คนติดเชื้อประสานหาเตียงไม่ได้ ทั้งๆที่ตอนนั้นยังติดเชื้อไม่เยอะ รถรับส่งไม่มี เตียงไม่พอ ดัดแปลงรถดับเพลิงมาเป็นรถรับส่งผู้ป่วยรู้ว่ามันผิดกฎหมาย แต่เราปล่อยให้คนป่วยนอนตายต่อหน้าไม่ได้ รถกระบะเคยรับส่งผู้ป่วยมาแล้วพันคน บางคนตายคารถก็มี ชุมชนผมมีคนอาศัย7-8พันคน ได้โควต้าตรวจเชื้อ100-200คน ไม่ครอบคลุมกว่าจะได้ตรวจหมดก็ติดเชื้อกันกระจาย หลายชุมชนสู้ด้วยตนเองการทำงานไม่มีใครรู้ดีเท่าคนในพื้นที่ สาธารณสุขล้มเหลวมาก ไม่มีการให้ความรู้ เราใช้วิธีการเรียนรู้โดยการลงมือทำเท่านั้นเอง”
ประธานชุมชนย้ำว่าสถานการณ์ในเวลานี้อาจไม่แย่เหมือนช่วงเริ่มต้น การส่งต่อผู้ป่วยรวดเร็วมากขึ้น ชุมชนทำงานคล่องตัวและมีความเข้าใจในระดับหนึ่ง มีทีมทำงานเฉพาะกิจแจ้งรับเหตุ 24 ชั่วโมง แต่เขาเห็นว่าหากรัฐบาลวางแผนให้ดีตั้งแต่แรกอาจไม่วิกฤตขนาดนี้
เช่นเดียวกับ ชุมชนบุญร่มไทร ซึ่งมีปัญหาไม่ต่างกัน เชาว์ เกิดอารีย์ ประธานชุมชน บอกว่า มีปัญหาตั้งแต่การเข้าถึงการตรวจ การประสานหาเตียง วิกฤตครั้งนี้แม้จะผ่านมาด้วยความยากลำบาก แต่เวลานี้สิ่งที่ชุมชนได้กลับมาคือความสามัคคีที่มากขึ้น
“การตรวจในชุมชนยากมาก ประสานเขตก็ไม่ยอมรับ บอกสถานที่คับแคบ หน่วยงานไหนก็แล้วแต่ต่อให้เป็น รพ. ที่เราไปตรวจโทรกลับก็ไม่รับสาย เรื่องการประสานเตียงช่วงนั้นในประเทศการติดเชื้อไม่เยอะแต่การประสานเตียงยากรออยู่สิบวันกว่าจะได้เตียงรักษา การให้ความรู้กับเราน้อยมาก เราต้องเรียนรู้เอง มีมูลนิธิพุทธิกา หรือหน่วยงานอื่น ๆ มาช่วยเป็นเอกชนทั้งหมดไม่ใช่รัฐบาล เขต เพิกเฉยกับพวกเรา ถ้าให้หน่วยงานมาช่วยเหลือเราก็ไม่ทันแน่นอน การที่ชุมชนลุกขึ้นมาช่วยเหลือกันเอง มันเหมือนพลังของชุมชนความสามัคคี ตอนนี้คนในชุมชนก็รักใคร่กันมากขึ้นกว่าเดิออันนี้เป็นภาพลักษณ์ที่ดีมากเลย”
ปานทิพย์ ลิกขะไชย ชมรมเกสรลำพู พูดถึงชีวิตของแรงงานข้ามชาติที่ชาวชุมชนคลองเตย ร่วมกันดูแล ว่านี่คือตัวอย่างของการดูแลไม่เลือกเชื้อชาติ ศาสนา หากไม่ดูแลเพียงคนเดียว ก็เดินหน้าสู่ความปลอดภัยไม่ได้ แม้จะยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง เช่น เจ้าของห้องเช่าบางแห่งที่ไล่คนติดเชื้อออกจากบ้านเช่า
“การไล่คนติดเชื้อออกจากบ้านเช่า ไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น”
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/09/2-1-1024x1024.jpg)
การจัดการโควิด-19 จากชุมชนที่แตกต่างกัน
การระบาดระลอก 3 ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในชุมชนแออัดคลองเตยเท่านั้น แต่การระบาดลุกลามไปยังชุมชนแออัดอื่น ๆ ทั่วประเทศ และชุมชนก็พบความท้ายท้ายไม่ต่างกัน คือ ติดขัดข้อกฎหมาย เช่น การจัดหาสถานที่เพื่อแยกผู้ป่วยติดเชื้อ การวางมาตรฐานของการดูแลศูนย์แยกตัว การขาดความรู้ การจัดการป้องกันและควบคุมการระบาด การรักษา อาหาร งบประมาณ หรือแม้แต่กำลังคน
แต่บนข้อจำกัดเหล่านี้ ชุมชนกลับกล้าลุกขึ้นมาจัดการปัญหาด้วยตนเอง โดยใช้ต้นทุนที่ชุมชนมี คือ “อาสาสมัคร” ทำงานเพื่อเป้าหมายหนึ่งเดียว “ผู้ป่วย ชุมชน ปลอดเชื้อ ปลอดภัย”
นาวิน บุษบา ตัวแทนชุมชนคลองเตย บอกว่า ชุมชนเตรียมวางแผนล่วงหน้าก่อนเกิดการระบาดโควิด-19 อยู่แล้ว ตั้งทีมกันขึ้นมาทำโรงครัวเพื่อแจกอาหารให้กับคนที่กักตัว คนไม่ได้ทำงาน แจกจ่ายตามบ้านโดยไม่ให้ออกไปไหนเลย
“เรามีทีมงานให้อาหารและน้ำ เช้า กลางวัน เย็น จะให้เขากักตัว ก็ต้องมีอะไรให้เขาอยู่ที่บ้านได้”
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/09/3-1-1024x1024.jpg)
บางชุมชนใช้พลังจากสื่อโซเชียลมีเดีย เช่น ปานทิพย์ ลิกขะไชย ชมรมเกสรลำพู ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “เสน่ห์บางลำพู” เป็นช่องทางระดมการช่วยเหลือ ตั้งแต่ที่ชุมชนแรกเริ่มติดเชื้อ และเริ่มระดมหาทีมอาสาให้ทำเหมือนที่คลองเตย คือ ต้องมีอาสาส่งอาหาร
“เราใช้เพจเล็ก ๆ ของเราทำงานเชื่อมการช่วยเหลือชุมชนอื่น ๆ ได้มีโอกาสเรียนรู้กระบวนการช่วยชีวิตคน ได้เห็นมิติของคนที่มีค่าในการช่วยชีวิตคน”
ขณะที่ “ชุมชนมัสยิดจักรพงษ์” รัชชานนท์ มะมิง ตัวแทนชุมชนเล่าว่า ที่นี่ไม่ใช้วิธีแยกผู้ติดเชื้อออกจากชุมชน เพราะกังวลการจัดการ จึงให้ผู้ติดเชื้ออยู่ที่บ้านและแยกกลุ่มเสี่ยงมาไว้ที่มัสยิดแทน
“มัสยิดมีโรงเรียนที่สอนด้านศาสนา แต่ช่วงนี้ปิดอยู่ เลยใช้สำหรับผู้ที่ต้องกักตัว แต่ไม่เห็นด้วยว่าจะเอาคนติดเชื้อมา เพราะมีกฎหมายอยู่ เราก็เข้าใจ คนติดเชื้ออยู่บ้าน เอาคนเสี่ยงออกมา บ้านไหนมีห้องว่างก็ให้อยู่ไปก่อน ตั้งไลน์ชุมชน เฝ้าระวัง แจ้งปัญหา เราก็ทำได้ง่ายเพราะเป็นชุมชนเล็ก ๆ”
ขณะที่ วรรณา แก้วชาติ ตัวแทนเครือข่ายสลัม 4 ภาค ดูแลชุมชนแออัดหลายสิบชุมชน โดยใช้เครือข่ายภาคประชาชนเป็นแกนกลางในการดูแลชุมชนและมีคลองเตยเป็นต้นแบบในการทำ Community Isolation ซึ่งการหาสถานที่เพื่อทำเป็นศูนย์แยกตัวผู้ป่วยติดเชื้อมีความยากลำบาก เพราะหน่วยงานไม่ให้การรับรองและอ้างว่าผิดกฎหมาย แต่ท้ายที่สุดผู้นำชุมชนก็ลงความเห็นว่ารอไม่ได้ จึงเดินหน้าต่อและใช้ศาลาชุมชนเป็นที่พักคอยรอส่งตัว แต่รอนานเข้าศูนย์ก็กลายเป็นที่พักรักษาตัว ที่ผ่านมาเราส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลแค่รายเดียว ส่วนอีก 60-70 คน พวกเขาดูแลกันเอง
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/09/4-1-1024x1024.jpg)
ไม่เพียงแค่การระบาดในชุมชนแออัดในเมืองหลวง แต่การระบาดแพร่กระจายไปทั่วทุกพื้นที่ ไม่เว้นแม้แต่ “เกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล”
แสงโสม หาญทะเล ครูและแกนนำชาวเลกลุ่มชาติพันธุ์อูรักลาโว้ย เล่าว่า การระบาดรอบ 3 เกิดขึ้น เพราะระดับจังหวัดไม่มีนโยบายปิดเกาะ หวั่นว่าจะกระทบเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว เมื่อไม่มีการจำกัดการเคลื่อนที่ของผู้คนและนักท่องเที่ยว เชื้อจึงแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วบนเกาะ โดยเฉพาะกับชุมชนชาวเล
พวกเขาและภาคประชาสังคม ทั้งเจ้าหน้าที่ ผู้ประกอบการ และอาสาสมัคร ร่วมกันเปิดศูนย์กักตัวขึ้นมาบนเกาะ บนข้อจำกัดของอุปกรณ์ป้องกัน รักษา และความรู้
นอกจากนี้อาสาสมัครบนเกาะ ยังมีกลุ่มเยาวชนที่เคยทำงานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวเล ในนามศิษย์เก่าบ้านเกาะหลีเป๊ะ เริ่มประกาศโพสต์ขอความช่วยเหลือ ก่อนที่น้ำใจจากทั่วสารทิศจะเริ่มทยอยมา และเดินหน้าดูแลกันภายใต้กลไกของอาสาชุมชน
“เราต้องสื่อสารด้วยภาษาชาวเล ถ้ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร พูดภาษาไทย ก็ต้องหันมาถามทีมครูและเด็ก ต้องรับสารจากหมอ ฝ่ายปกครอง ช่วยสื่อสารกับชาวบ้าน แล้วเราก็จะดูแลคนเสี่ยงสูงที่บ้าน ประสานกับ อบต. เบิกข้าวสารอาหารแห้ง นม มาให้คนเสี่ยงสูง นอกจากการให้ความรู้ เรายังได้รับองค์ความรู้สมุนไพรไทยจากต่างประเทศ ที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยใช้ มีมูลนิธิเข้ามาช่วยเหลือ ส่งความรู้กระจายให้กับคนในชุมชน ปัจจุบันสถานการณ์ดีขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเดือนเศษ แต่ละวันเจอราย สองราย ลดลง และเป็นกลุ่มสีเขียวกันหมด”
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/09/5-1-1024x1024.jpg)
นพ.สิทธา ลิขิตนุกูล แพทย์เวชปฏิบัติองค์รวม บอกว่า เชื้อโควิด-19 เหมือนหวัดทั่วไป หากลงปอด หลายคนอาจติดเชื้อและหายเองไปแล้ว แต่ที่เรากังวลและจำเป็นต้องตรวจหาเชื้อเพราะเรากังวลกลุ่มเสี่ยง โรคอ้วน เบาหวานกลุ่ม 7 โรค เพราะเป็นกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงทั้งติดเชื้อและเสียชีวิต ภูมิต้านทานต่ำ แต่ก็มีคนที่รักษาหายและกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ
เมื่อรู้ว่าเป็นโรคติดต่อทางลมหายใจ จึงต้องใส่หน้ากากอนามัย ติดต่อจากการสัมผัส ต้องล้างมือ ที่ผ่านมามีคนติดเชื้อแต่ไม่โดดเดี่ยวเพราะจะมีบ้านวัดชุมชน เป็นไกด์ไลน์ของการทำ Community Isolation หรือ CI อย่างคลองเตย คือ คนติดเชื้อไม่โดนทิ้งขว้าง เป็นตัวอย่างที่ดีการจัดการโควิด-19
นอกจากนี้ ยังมีคำแนะนำเพิ่มเติมจากประสบการณ์โดยตรงของผู้ติดเชื้อ เกวรินทร์ ศิลาพัฒน์ บอกว่าไม่ว่าจะเตรียมตัวมาดีแค่ไหน เมื่อถึงวันที่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อ ก็มักทำอะไรไม่ถูก แต่เมื่อตั้งสติได้ ขอให้สังเกตอาการของตัวเอง พยายามลงทะเบียนในระบบ แยกตัวเองออกจากครอบครัว แจ้งข้อมูลการติดเชื้อให้ชุมชนทราบ ไม่ปกปิดข้อมูล เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา ดูแลความสะอาดสถานที่พัก และแยกขยะติดเชื้อในถุงแดงซึ่งสำคัญมาก และก็กินยารักษาตามอาการ
“ถ้าเราเริ่มจามถี่กว่าปกติ นี่เป็นสัญญาณแรก ไอ บางคนไม่มีไข้ แต่ท้องเสียติดกัน 2 วัน ถ่ายท้องถึง 12 ครั้ง เราก็กินยาตามอาการ คือแก้ท้องเสียและพยายามไม่ให้ตัวเองมีไข้ ป้องกันเชื้อลงปอด ถ้ากดไข้ไว้ได้ อาการอื่น ๆ ก็จะค่อย ๆ ควบคุมได้ และต้องสังเกตอาการตัวเองตลอด”
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/09/6-1-1024x1024.jpg)
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/09/7-1-1024x1024.jpg)
พิศาล แสงจันทร์ และทายาท เดชเสถียร หรือ บอลยอด สองหนุ่มนักเดินทางจากรายการ “หนังพาไป” เสนอว่าต้องมีการถอดบทเรียนโมเดลนี้อย่างจริงจัง และออกแบบคู่มือเป็นแนวทางองค์ความรู้ที่ถูกสื่อสารออกไปอย่างกว้างขวาง พร้อมกับการสื่อสารให้สังคมรับรู้ว่ามีคนเสียสละที่กำลังเหนื่อย และไม่มีระบบสนับสนุน
“ประเทศเราควรจัดการถอดบทเรียนบางอย่าง ไม่ใช่วิ่งตามปัญหา แต่ต้องวิ่งนำปัญหาได้แล้ว การดูหนังเรื่องนี้ให้แนวทางเรานะ อย่างน้อยคนที่อยากช่วยเหลือคนอื่นก็รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร”
สอดคล้องกับข้อเสนอจาก รัชชานนท์ มะมิง ที่ต้องการแนวทางที่เป็นรูปธรรมในการใช้ชีวิตให้ปลอดภัย และอยู่ร่วมกับโควิด-19 ได้ ซึ่งในเวลานี้เขามองว่ายังไม่เห็นรูปธรรมที่ชัดเจน
ด้านตัวแทนจากพื้นที่หลีเป๊ะ เสนอให้ภาครัฐสนับสนุนงบประมาณการทำงานของอาสาชุมชน ให้เห็นถึงความเสียสละที่ไม่ควรสูญเปล่า เพราะอาสาก็มีครอบครัว ภาระ หากขาดคนกลุ่มนี้การระบาดกลับมาอีกระลอก เมื่อเปิดเกาะ ถึงเวลานั้นจะวิกฤตวนซ้ำอีกรอบหรือไม่
ขณะที่ตัวแทนจาก เครือข่ายสลัม 4 ภาค มีความเห็นตรงกันในหลายประเด็น แต่ที่เธอเน้นย้ำ คือ การเร่งฉีดวัคซีนและให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการตรวจ การรักษา ได้โดยไม่แบ่งแยก
“เรื่องนี้ควรเป็นสวัสดิการพื้นฐาน ไม่ต้องแบ่งแยกว่าเขาเป็นใคร สวัสดิการที่ทุกคนให้ความสำคัญเข้าถึงการรักษา การป้องกัน และชุมชนแกนนำทีมอาสาที่ทำงานควรเข้าถึงวัคซีน และให้การตรวจเข้าถึงชุมชน”
ด้าน นิมิตร์ เทียนอุดม กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และคณะทำงานโควิดชุมชน คลี่ปัญหาจากประสบการณ์ตรงที่ลงพื้นที่ทำงานตรวจเชิงรุกกับแพทย์ชนบท และมองว่าองค์ความรู้สำคัญหลายด้าน จำเป็นต้องร่วมพูดคุย ปรึกษา และทำการวิเคราะห์ข้อมูลมาใช้ในการปฏิบัติ
“กลั่นบทเรียน องค์ความรู้ ประเมินความเสี่ยงว่าอะไรติด อะไรไม่ติดออกมาให้ได้ ครอบครัวจะเป็นฐานที่ดีของการรักษา เป็นยุทธศาตร์สำคัญแต่ต้องเติมอาวุธให้กับครอบครัว ทำให้คนในครอบครัวประเมินวิเคราะห์ความเสี่ยงได้”
นิมิตร์เสนอเพิ่มเติมว่า การสื่อสารในวันข้างหน้าต้องไม่ผลิตซ้ำความกลัว อยู่ร่วมกับคนที่ติดเชื้อได้ ไม่ว่าจะบ้าน ชุมชน หรือที่ทำงาน รัฐต้องให้ความสำคัญกับอุปกรณ์ป้องกันที่มีคุณภาพ เพียงพอกับชุมชนหน้ากากอนามัย ปัจจัยต้น ๆ ของการป้องกันการติดเชื้อ แต่ยังมีบางคนที่ยังใช้หน้ากากซ้ำ หน้ากากผ้าที่บางเกินไป รวมถึงเจลแอลกอฮอล์ อุปกรณ์พื้นฐานเหล่านี้สำคัญจำเป็นที่ควรสนับสนุน
“ถ้ารัฐลงทุนตรงนี้ จะถูกกว่ายาฟาวิพิราเวียร์มาก จะลดการติดเชื้อได้”
สุดท้ายเขาย้ำว่า การเข้าถึงการตรวจนั้นเป็นสิ่งสำคัญ และการตรวจที่เกิดประโยชน์สูงสุดคือการตรวจแบบคัดกรองกลุ่มเสี่ยง และไม่ควรใช้การตรวจยืนยันเพื่อทำงาน
ด้าน นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ ประธานกรรมการมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) เห็นด้วยและร่วมเสนอว่าเครื่องมือที่สำคัญในการควบคุมการระบาด คือ จุดตรวจ (ตรวจเร็ว) และการดูแลรักษาต้องไม่ยึดติดโรงพยาบาลอย่างเดียว ต้องใช้ครอบครัวซึ่งมีส่วนสำคัญ แต่ให้ความรู้ทั้งวิชาการและความรู้ ที่ไม่ใช่การให้คู่มือ หรือแนวทางการปฏิบัติ แต่เป็นความรู้ที่นำไปสู่เรื่องการตรวจ การรักษา ระบบที่เชื่อมโยงสู่การปฏิบัติ รัฐต้องทำระบบเชื่อมโยงประชาชนและระบบดูแลผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ในหน่วยบริการที่ยึดในพื้นที่ดูแลให้ทุกหน่วยรวมกัน ออกแบบโครงสร้างระบบบริการประชาชนจะได้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวทำงานหนักอยู่ฝ่ายเดียว
“นโยบายการควบคุมโควิด-19 ไม่ถูกจำกัดด้วยการล็อกดาวน์ แต่ควรใช้ในกรณีที่ระบบสาธารณาสุขจะล่มเท่านั้น ถ้ามีโครงสร้างระบบเชื่อมโยงประชาชนและระบบดูแลผู้ป่วยในพื้นที่ และค่อย ๆ เติมเรื่องอื่น ๆ บนหลักทำงานร่วมกันหวังว่าจะไม่เจอสถานการณ์เดิม”
ด้าน วิเชียร พงศธร ประธานกรรมการมูลนิธิเพื่อคนไทย เสนอให้สร้างกระบวนการเตรียมความพร้อม เรียนรู้จากความร่วมมือที่เห็นอยู่แล้วจากพลังของชุมชน เห็นจุดอ่อนของภาครัฐว่าช่วยได้น้อยกว่าที่รัฐจะช่วยได้ เห็นการหยิบยื่นให้กัน จากกลุ่มใหม่ ๆ แก้กระบวนการจัดการความพร้อม ความร่วมมือให้เป็นระบบ ให้เกิดการประสานความร่วมมือเพื่อเสริมขีดความสามารถของชุมชน สังคมโดยร่วม โดยยกระดับสร้างภูมิคุ้มกันทั้งระบบ
เขายกตัวอย่างกรณีกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรม เปลี่ยนวิธีคิดจะพยุงเพียงธุรกิจของตัวเอง โดยการฉีดวัคซีนเฉพาะพนักงานในโรงงานของตน แต่ควรยื่นมือมาร่วมกันทำให้ห่วงโซ่ปลอดภัยทั้งระบบ
“ธุรกิจอุตสาหกรรม หากคิดถึงแค่ตัวเองจะอยู่รอดได้แค่ครั้งคราว แต่ระยะยาวไม่น่ารอด คิดแต่จะรับผิดชอบน้อยที่สุดตามกฎหมาย จะเป็นไปได้ไหมที่เราจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือห่วงโซ่ธุรกิจของเราไปรอดด้วยกันหมด เปลี่ยนวิธีคิดทำดีที่สุดเท่าที่ศักยภาพมี ไม่ใช่แค่อยู่รอด แต่ยั่งยืน”
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/09/8-1-1024x1024.jpg)
ด้าน สมชัย จิตสุชน ย้ำว่าประเทศไทยมีปัญหาความเหลื่อมล้ำหนักอยู่แล้ว เมื่อมีโควิด-19 ก็หนักขึ้นไปอีก จะเห็นได้จากตัวเลขสถิติ สารคดียิ่งตอกย้ำ และทำให้เห็นถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับคนอ่อนแอ กลุ่มเปราะบาง ความสามารถในการจัดการที่ต่างจากคนที่มีฐานะ ไม่ว่าจะการทำงานที่บ้าน (Work From Home) การทำ Home Isolation (HI) นี่คือโจทย์ที่รัฐอาจจะต้องช่วยคนหาเช้ากินค่ำ เพราะพวกเขาต้องกังวลกับค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ซึ่งเป็นผลกระทบที่ชนชั้นกลางไม่เข้าใจ เพราะมีบ้านเป็นของตัวเอง
นอกจากนี้ ยังมีความรู้ที่คิดว่าชุมชนเข้าใจอยู่แล้วแต่อาจไม่ชัดเจน เช่น การให้ความรู้ทางระบาดวิทยาก็เป็นความรู้แบบกว้าง ๆ ไม่ได้เฉพาะกับบริบทของชุมชนแออัด แต่ในเวลานี้ ความรู้ที่ถูกต้องโดยเฉพาะการจัดการปัญหา การเยียวยาผลกระทบรัฐจำเป็นต้องฟังเสียงชุมชน
“โอนให้ชุมชนจัดการ รัฐทำหน้าที่สนับสนุนงบฯ เยียวยาในมิติต่าง ๆ รัฐแค่มอนิเตอร์ประเมินตาม kpi แต่ให้ชุมชนจัดการเอง เสียงเรียกร้องที่การช่วยเหลือไม่ถูกจุดจะเบาบางลง”
สมชัย ยังกังวลประเด็นสุขภาพในระยะยาวของผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ในไทย ที่มีไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน ซึ่งอาจมากกว่านี้ในอนาคต รัฐจึงต้องมีแนวทางรองรับที่เหมาะสม สนับสนุนงบประมาณ โดยมีชุมชนร่วมระดมสมองเพื่อการจัดการระยะยาว และต้องคิดวางแผนจริงจังว่าทำอย่างไรให้แนวโน้มดีขึ้นและอยู่กับโควิด-19 โดยไม่ต้องล็อกดาวน์
นอกจากนี้ ข้อมูลยังระบุว่าก่อนโควิด-19 ระบาด มีประชาชนพร้อมตกงานถึง 40% คือ กลุ่มที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป เมื่อมีโควิด-19 คนกลุ่มนี้บางส่วนไม่สามารถกลับมาทำงานเดิมได้อีกแล้ว นับว่าเป็นแผลเป็นด้านเศรษฐกิจ ธนาคารโลกจึงเสนอแนะให้หลายประเทศปรับโครงสร้างการเก็บภาษีจากความมั่งคั่ง หรือทรัพย์สิน ที่ผ่านมาประเทศไทยมีกระแสเรื่องนี้เช่นกัน แต่มีการคัดค้านอยู่มากโดยเฉพาะคนที่เสียประโยชน์ แม้ว่าการปรับโครงสร้างภาษีจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้ แต่ก็ยังต้องการพื้นที่ถกเถียงอีกมาก
“เห็นด้วยกับธนาคารโลก การปรับโครงสร้างภาษีลดความเหลื่อมล้ำได้ แต่สังคมต้องร่วมกันถกเถียงเพื่อหาแนวทางต่อไป แต่รัฐต้องไม่ให้แผลเป็นลงลึกจนเกินไป ไม่ควรรัดเข็มขัดหรือลังเล ไม่ยอมทุ่มความช่วยเหลือ เยียวยา แยกแยะโดยเฉพาะกลุ่มเประบาง”
ความเห็นนี้ ยังสอดคล้องกับ วิเชียร พงศธร ประธานกรรมการมูลนิธิเพื่อคนไทย ที่ทิ้งท้ายว่าการปรับโครงสร้างภาษีควรเกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสม แต่เวลานี้รัฐบาลต้องวางแผนการใช้งบประมาณไม่เหมือนในภาวะปกติ แต่ต้องคำนึงถึงชีวิตและความปลอดภัยของประชาชนสูงสุด
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/09/9-1-1024x1024.jpg)
ชวนติดตามสารคดี “คลองเตย Isolated Community” ทาง www.VIPA.me คลิก 👉 https://thaip.bs/IyWl2zx เพื่อชมสารคดี