นับตั้งแต่วันแรกที่ “ศบค.” รายงานตัวเลขผู้ป่วยโควิด-19 ที่ระบุ จำนวนผู้ป่วยอาการหนัก และ ผู้ป่วยที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ภายในห้องผู้ป่วยวิกฤต หรือ ICU เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2564 พบว่า มีตัวเลขเพิ่มขึ้น เกือบทุกวัน
การรายงานตัวเลขล่าสุด วันที่ 29 เม.ย. แม้มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 1,871 คน ซึ่งเป็นการลดลงมาแตะหลัก 1 พันวันแรก หลังจากแตะหลัก 2 พันมาต่อเนื่องถึง 6 วัน และมีผู้ป่วยอยู่ระหว่างการรักษา 27,988 คน แต่ตัวเลขผู้ป่วยอาการหนักที่มากถึง 786 คน กลับสวนทาง ในจำนวนนี้ เป็นผู้ป่วยที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจถึง 230 คน ที่ก็เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า เช่นเดียวกัน
เพราะมีผู้ติดเชื้อมากขึ้น ทำให้ตัวเลขผู้ป่วยอาการหนักมีจำนวนมากขึ้นไปด้วย?
ข้อมูลนี้ อาจเป็นความจริงเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะหากนำมาเปรียบเทียบกันจะพบว่า สัดส่วนระหว่างผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างการรักษา ผู้ป่วยอาการหนัก และผู้ป่วยที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ มีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/04/Atv-Gph-V-210427-Stat-2-819x1024.jpg)
จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า สัดส่วนผู้ป่วยอาการหนัก เพิ่มขึ้น
วันแรกที่มีการรายงานเมื่อ 24 เม.ย. เป็นสัดส่วนร้อยละ 1.87 จากผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาทั้งหมดจำนวน 22,327 คน แต่ในวันที่ 29 เม.ย. มีผู้ป่วยอาการหนัก เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 2.81
ขณะที่ผู้ป่วยอาการหนักที่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 0.51 เป็น 0.82 ในเวลาเพียง 6 วัน
สอดคล้องกับสิ่งที่ พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ รองโฆษก ศบค. กล่าวช่วงหนึ่งระหว่างการแถลงสถานการณ์โควิด-19 เมื่อวันที่ 28 เม.ย. ว่า การระบาดในรอบนี้ พบว่ามีผู้ป่วยอาการหนักเพิ่มมากขึ้น แตกต่างจากการระบาดใน จ.สมุทรสาคร ที่พบว่าผู้ป่วย 90% ไม่มีอาการ ส่งผลให้การระบาดรอบใหม่นี้ มีผู้ป่วยรอเตียงจำนวนมาก และมีผู้ป่วยอาการหนัก ต้องใส่ท่อหายใจเพิ่มมากขึ้น นั่นหมายความว่า โรงพยาบาลสนาม ในบางพื้นที่ อาจไม่เพียงพอต่อการรองรับผู้ป่วย เนื่องจากผู้ป่วยที่มีอาการปานกลางหรืออาการหนัก ต้องการท่อช่วยหายใจ
เช่นเดียวกันกับสิ่งที่ ศ. นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ออกมาเปิดเผยข้อมูลเมื่อวันที่ 27 เม.ย. ว่า ผู้ติดเชื้อ 1 ใน 4 ที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช มีภาวะปอดอักเสบมากขึ้น มีผู้ป่วยหนักที่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ก็ได้รับทราบข้อมูลว่า โรงพยาบาลหลายแห่งอยู่ระหว่างการเพิ่มจำนวนเตียงเพื่อรองรับผู้ป่วยวิกฤต
“เตียงอาจจะขยายได้ แต่คนที่ดูแลอาจไม่เพียงพอ ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ ปีที่ผ่านมา ศิริราช ไม่มีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 แล้วเสียชีวิตเลย แต่ปีนี้ เสียชีวิตไปแล้ว 3 ราย”
สิ่งที่เกิดขึ้น นอกจากระบบบริหารจัดการ ทั้งการตรวจหาเชื้อ การส่งตัวผู้ป่วยเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที และมาตรการ DMHTT แล้ว ความพยายามในการเพิ่มศักยภาพของโรงพยาบาลเพื่อรองรับผู้ป่วยอาการหนัก ก็เป็นเรื่องที่หลายโรงพยาบาลกำลังทำ เช่น การเปิดระดมทุนสร้างหอผู้ป่วยวิกฤตความดันลบ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
นอกจากนี้ สิ่งที่ยังต้องติดตามความคืบหน้า คือ วัคซีน ที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการกับการแพร่ระบาด เพราะการฉีดวัคซีนจะเห็นผลเมื่อประชากรอย่างน้อยร้อยละ 25 ได้รับการฉีดวัคซีน นี่หมายถึงความหวังในระยะเร่งด่วน ที่การฉีดวัคซีนจะเป็นตัวช่วยควบคุมการระบาดและลดจำนวนผู้ป่วยอาการหนักลงได้ แม้การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในระยะยาว จากวัคซีนและภูมิต้านทานในผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว ขั้นต่ำจะอยู่ที่ร้อยละ 60 ก็ตาม
โดยขณะนี้ รัฐบาลประกาศว่า ภายในปี 2564 วัคซีนจำนวน 100 ล้านโดส จะถูกฉีดให้ประชาชนร้อยละ 70 ของประเทศอย่างแน่นอน