“ไม่หมด ไม่กลับ” ประโยคปลุกใจของทีม 'แพทย์ชนบท' กับภารกิจ "ปฏิบัติการกู้ภัยโควิด-19 กรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 3" วันที่ 7 (10 ส.ค. 64) ซึ่งเป็นวันสุดท้ายในกรุงเทพฯ และปริมณฑล
หนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ คือ ที่โรงเรียนโรงเรียนพิทยาลงกรณ์พิทยาคม เขตบางขุนเทียน รอยต่อจังหวัดสมุทรสงคราม ที่ตั้งของโรงงานอาหารแช่แข็ง และมีแรงงานข้ามชาติอาศัยอยู่จำนวนหนึ่ง ทั้งยังเคยเป็นคลัสเตอร์ระบาดโควิด-19 ก่อนหน้านี้
จุดนี้ แพทย์ชนบทจากโรงพยาบาลสิชล จ.นครศรีธรรมราช และโรงพยาบาลบ่อเกลือ จ.น่าน ตั้งเป้าตรวจให้ได้ 3,000 คน โดยปฏิบัติการถูกออกแบบมาเพื่อการควบคุมโรค และการรักษาอย่างครบวงจร
นอกจากการตรวจเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจน เทสต์ คิท (ATK) ที่ได้มาตรฐาน ผู้ที่พบผลบวกจะถูกแยกออกมา เพื่อ Swab ด้วยวิธี RT-PCR อีกครั้ง รวมทั้งประเมินอาการและจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ทันที พร้อมรับคำแนะนำในการรักษาตัวที่บ้าน หรือ Home isolation
ส่วนใครได้รับการตรวจแล้วไม่ติดเชื้อ หากเป็นผู้สูงอายุ กลุ่มเสี่ยง 7 โรคเรื้อรัง รวมถึงหญิงตั้งครรภ์ ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน จะได้รับการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาไปพร้อมกัน
ทว่า “แพทย์ชนบท” ไม่สามารถจะปฏิบัติภารกิจในพื้นที่กรุงเทพมหานครได้ตลอดไป โจทย์ใหญ่หลังเสร็จสิ้นภารกิจ คือ หน่วยงาน และสถาบันการแพทย์ ทั้งภาครัฐและเอกชน โรงเรียนแพทย์ต่าง ๆ ที่อยู่ในกรุงเทพมหานคร จะรับช่วงต่อปฏิบัติการเชิงรุกเหล่านี้ต่อไปหรือไม่ เพราะหากทำอย่างจริงจัง อาจช่วยให้การแพร่ระบาดยุติลงได้ในเร็ววัน
ภารกิจของแพทย์ชนบทครั้งนี้ยังสะท้อนถึง ความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงระบบสาธารณสุขของกรุงเทพมหานคร ที่ปล่อยให้กลุ่มเปราะบาง และชาวชุมชนเมือง ต้องเผชิญยถากรรมอย่างโดดเดี่ยว ต่างจากชนบท ที่มีระบบดูแลพื้นฐาน หรือที่เรียกว่า “การแพทย์ปฐมภูมิ” อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม The Active ชวนติดตามบรรยากาศวันสุดท้ายของภารกิจที่ชื่อว่า "ปฏิบัติการกู้ภัยโควิด-19 กรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 3" ที่ชมรมแพทย์ชนบท ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำนักอนามัย กทม. และภาคีเครือข่ายภาคประชาชนหลายองค์กร