![sex worker](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/02/LINE_ALBUM_บทความ-เอรี่_๒๔๐๒๑๙_2-1024x683.jpg)
“พี่พูดกับตัวเองเสมอว่า สักวัน…ถ้าฉันหลุดจากชีวิตตรงนี้ไป ฉันจะเอามาเล่า”
ในที่สุด…ประสบการณ์กว่า 30 ปี ของ “เอรี่” ธนัดดา สว่างเดือน ก็ได้ถูกเผยแพร่ออกมาให้ผู้คนรับรู้ถึงเส้นทางชีวิตตั้งแต่ก้าวแรกจนถึงก้าวสุดท้ายกับอาชีพที่น้อยคนจะกล้ายื่นอกยอมรับว่า ‘ฉันคือ Sex Worker’
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2553 แน่นอนว่าถ้าพูดถึง ‘Sex Worker’ สังคมส่วนใหญ่ยังคงตัดสินและตีตราว่า ผู้ค้าบริการทางเพศเป็นคนไม่ดีและมีท่าทีรังเกียจ เมื่อรู้ว่าเขาเหล่านั้นใช้เรือนร่างเป็นเครื่องมือในการทำมาหากิน หรือแม้กระทั่ง Sex Worker เองก็ไม่กล้าที่จะบอกกับสังคมว่าเธอทำอาชีพนี้ในการเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัว
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/02/LINE_ALBUM_บทความ-เอรี่_๒๔๐๒๑๙_5.jpg)
แต่ไม่ใช่สำหรับเอรี่ เธอกล้าที่จะบอกเล่าเรื่องราวประสบการณ์ชีวิตของเธอที่จำเป็นจะต้องขายเรือนร่างในต่างแดนผ่านหนังสือ ‘ฉันคือเอรี่ กับประสบการณ์ข้ามแดน’ โดยไม่ได้สนใจเสียงสังคมเลยแม้แต่น้อย และรางวัล ‘ชมนาดระดับดีเด่น’ ที่เธอได้รับจากการเขียนหนังสือเล่มนี้ เป็นสิ่งยืนยันได้ว่าเรื่องราวของเธอนั้นเป็นเรื่องจริงเจ็บจริงที่ยิ่งกว่านิยาย และทำให้สังคมรับรู้ว่ากว่า Sex Worker จะได้เงินแต่ละบาท ต้องเจอกับความโหดร้ายจนเรียกได้ว่าชีวิตของเธอแทบจะไม่มีค่าเมื่อเธอเข้าสู่วงการนี้
The Active ชวนคุยกับ “เอรี่” ธนัดดา สว่างเดือน อดีต Sex Worker และนักเขียนรางวัลชมนาด ถึงเรื่องราวในอดีตของเธอกับการขายบริการทางเพศที่ทำให้เห็นว่า ทำไม? Sex Worker จึงต้องทำให้ถูกกฎหมายและต้องได้รับการคุ้มครองเช่นเดียวกันกับอาชีพอื่น ๆ
“ลูกค้าบังคับให้เรา เล่นยา ใช้ยาเสพติด”
“เขาตบตีเรา ซ้อมเราอยู่ในห้อง”
“พาเพื่อนมารุมโทรมเรา”
“บางทีถุงยางแตก บางทีลูกค้าแอบถอดถุงยาง”
“เรารู้สึกว่า เราเหมือนสัตว์ตัวหนึ่งที่จะทำยังไงกับเราก็ได้”
จากคำบอกเล่าของเอรี่ อาจดูเป็นเหตุการณ์เดิม ๆ ที่หลายคนคงรู้หรือฟังจนชินหูอยู่แล้วว่านี่คือสิ่งที่ Sex Worker จะต้องเจอโดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงความโหดร้ายนี้ได้ ทว่าความโหดร้ายที่เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดของเธอนั้น กลับไม่ได้รับความเห็นใจจากสังคม มิหนำซ้ำยังถูกสังคมซ้ำเติมและลดทอนคุณค่าความเป็นคนอีกด้วย
ฉันกลายเป็นคนไร้คุณค่า เพราะฉันถอดเสื้อผ้าหากิน?
ทั้ง ๆ ที่การทำร้ายร่างกาย การบังคับให้เสพยา หรือความโหดร้ายต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับอาชีพไหนหรือกับใครก็ตาม และไม่ใช่เรื่องปกติที่เมื่อเวลาผ่านมาหลายทศวรรษแล้ว สังคมยังคงเพิกเฉยจนเคยชินกับเหตุการณ์เหล่านี้อยู่ โดยไม่ได้รู้สึกว่าผู้ถูกกระทำอย่าง Sex Worker ต่างหากที่สังคมควรจะเห็นใจมากที่สุด เพราะคงไม่มีใครอยากโดนทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ เพียงเพราะต้องการหาเงินเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด โดยเฉพาะคนที่ ‘จำเป็น’ และ ‘ไม่ได้มีทางเลือก’ เหมือนกับคนอื่น ๆ
เปิดให้เขาเห็นขาอ่อนที่ ‘จำเป็น’ ต้องแข็งแรง เพื่อเป็นเสาหลักให้ครอบครัวพึ่งพิง
อย่างที่หลายคนรู้กันว่า ‘คนเราเลือกเกิดไม่ได้’ ซึ่งคงโชคดีหน่อยถ้าได้เกิดมาในครอบครัวที่มีความพร้อมทางการเงิน และสามารถเลือกที่จะทำอาชีพใดก็ได้ตามใจคิด แต่สำหรับบางครอบครัวไม่ได้เป็นเช่นนั้น โดยเฉพาะชนบทของประเทศไทยที่น้อยครอบครัวจะเพียบพร้อมด้วยเงินทอง และบางครอบครัวยังมาพร้อมกับหนี้สินที่ต้องช่วยกันแบกรับภาระนี้ไว้
เมื่อเลือกเกิดไม่ได้ ‘การศึกษา’ จึงมีหน้าที่เหมือนบันไดที่จะพาครอบครัวเลื่อนชั้นและสถานะทางสังคมไปจากจุดเดิม ซึ่งก็มีหลายครอบครัวที่ใช้การศึกษานำพาให้หลุดพ้นจากความข้นแค้นนี้ไปได้ อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายครอบครัวที่ไม่อาจหลุดพ้นด้วยเงื่อนไขของความจนที่บีบให้ต้องออกจากระบบการศึกษา จนทำให้ชีวิตไม่ได้มีทางเลือกเหมือนคนอื่น
“ก็ไม่รู้จะไปทำอะไร ความรู้เราน้อย แค่ ม.3”
แน่นอนว่าอาชีพในประเทศไทยมีให้เลือกมากมาย แต่ด้วยความรู้ที่มีน้อย และข้อจำกัดของความจน งานที่สามารถทำได้จึงมีรายได้ไม่พอที่จะทำให้มีชีวิตดีขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานรับจ้างที่มีรายได้ขั้นต่ำเพียง 300 บาท และเป็นงานที่ค่อนข้างหนัก เส้นทางที่จะไปสู่อีกระดับของชีวิตจึงเป็นเรื่องยาก
ดังนั้น สำหรับคนที่ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก หนทางหนึ่งและอาจเป็นทางเดียวที่เหมือน ‘ขึ้นทางด่วน’ เพื่อลัดไปยังเส้นทางที่สามารถสลัดความจนได้อย่างเร็วที่สุดและทำให้ครอบครัวลืมตาอ้าปากได้ จึงหนีไม่พ้นการขายเรือนร่างเพื่อแลกเงินจากการเป็น Sex Worker เพราะเสียงท้องที่ร้องด้วยความหิวของคนในครอบครัวไม่สามารถรอได้นานขนาดนั้น
“ต้องบอกอย่างนี้ว่า คนที่มาขายตัว ส่วนใหญ่เป็นคนรากหญ้า คนต่างจังหวัดเยอะมาก พ่อแม่ยากจน มีหนี้สิน เขามาช่วยพ่อแม่เขา เพราะว่ามันง่าย ไว จะมาทำแบกหาม เป็นกรรมกรก่อสร้าง เมื่อไหร่จะไปปลดหนี้ปลดสินให้กับพ่อแม่ได้”
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/02/LINE_ALBUM_บทความ-เอรี่_๒๔๐๒๑๙_1-1024x683.jpg)
เสี่ยงตาย เสี่ยงโรค เสี่ยงไปหมด!
แต่จะเป็น Sex Worker เพราะ ‘เงินเท่านั้นที่ Knock Everything’
หากชีวิตเลือกได้ว่าจะทำอาชีพอะไร แล้วอะไรที่ทำให้ยังเลือกเป็น Sex Worker? ขณะที่รู้ทั้งรู้ว่าเป็น Sex Worker จะต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย อีกทั้งยังโดนคนรอบข้างและสังคมรังเกียจเหยียดหยาม
“เงินคือแรงจูงใจให้พี่หนิง(เอรี่)ทำอาชีพนี้”
ชีวิตของเอรี่ไม่ได้ต่างจากกระดุมเม็ดแรกที่พลาดติดผิดตำแหน่ง จนทำให้ทุกอย่างที่วาดฝันไว้พังลงมาอย่างไม่เป็นท่า เพราะเธอตั้งครรภ์ขณะเรียนในวัยเพียง 15 ปี ซึ่งผลักให้เธอต้องหลงเข้ามาสู่วงการนี้ โดยการชักจูงจากเพื่อนให้ไปทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ เมื่อไปถึงบาร์ เธอจึงรู้ว่างานที่เพื่อนเธอพาไปทำกลับไม่ใช่นักชงเครื่องดื่มอย่างที่เข้าใจ แต่กลับกลายมาเป็น หญิงนั่งตู้กระจก หรือ ‘Sex Worker’
“พี่ไม่เคยคิดมาทำอาชีพขายบริการ แต่ว่าเราถูกเพื่อนชักจูงพาไปทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ เมื่อไปถึงเราถูกเอาเข้าไปนั่งในตู้ เราก็ยังไม่รู้อีกว่าเราขายตัวอยู่ จนกระทั่ง 4 วันผ่านไป เจ้าของบาร์ที่พัทยาก็ให้เราไปกับลูกค้า วันนั้นเราจึงได้รู้ว่านี่คืออาชีพขายตัว ซึ่งเราไม่เคยรู้มาก่อน”
แม้ว่าก้าวแรกที่เข้าสู่วงการนี้ของเอรี่จะเป็นการก้าวเข้ามาอย่างไม่ตั้งใจก็ตาม แต่ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่อยู่ในวงการนี้ เธอพยายามที่จะเลิกเป็น Sex Worker อยู่หลายครั้ง และท้ายที่สุดก็ต้องวนเวียนเข้าสู่วงการขายเรือนร่างอีกครั้งอย่างนับไม่ถ้วน เพราะหลงไปกับมนต์สะกดที่เรียกว่า ‘เงิน’ จึงไม่ต่างจากการต้องคำสาปที่ทำให้เมื่อเข้ามาค้าบริการทางเพศแล้วไม่สามารถเลิกได้โดยง่าย ดังนั้น ‘เงิน’ คือคำตอบง่าย ๆ สั้น ๆ ที่แม้แต่คนมีทางเลือก ก็ยังเลือกที่จะเป็น Sex Worker เพราะหาเงินได้ง่าย และเร็ว
ก้าวแรก…
“วันแรกที่ขึ้นงานกับลูกค้า โชคดีที่ไปเจอคนไทย แล้วน้ำนมเราไหล เค้าก็เลยไม่มีเซ็กส์กับเรา แล้วเค้าจ่ายเงินเรา 4,000 บาท เราก็เลยมีความรู้สึกว่า ทำไมมันได้เยอะจัง คือตัวเลขมันเยอะมาก 4,000 บาท ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทำอะไรเลย เพราะก่อนหน้านี้ พี่ทำงานเป็นพนักงานขายของในห้างได้เดือนละ 3,500 บาท”
ก้าวที่ย้อนกลับ..
“เราอยากเลิก ก็เลยไปทำงานปูเตียงที่โรงแรม ปรากฏว่า โห ทำไมมันได้เงินน้อยจังวะ เดือนหนึ่งได้ 10,000 บาท ถ้าเราได้ขายตัว 10,000 บาท เราสามารถทำงานไปกับลูกค้าแค่หนึ่งคืนหรือสองคืนก็ได้แล้ว แล้วทำไมเราจะไปปูเตียงวะ”
ขายง่ายเหมือนขายก๋วยเตี๋ยว
แต่ขายก๋วยเตี๋ยวต้องลงทุนฉันใด ขายบริการทางเพศก็ต้องลงทุนฉันนั้น
เมื่อค่านิยมหรือความคิดของคนในสังคมเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ‘ความจำเป็น’ และ ‘จำใจ’ จึงไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้หลายคนเข้ามาเป็น Sex Worker อีกต่อไปแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นอาชีพที่ ‘เงินมาง่ายและได้มาเร็ว’ แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนว่าวันนี้จะมีลูกค้าหรือไม่? เพราะเป็น Sex Worker ก็ต้องลงทุน
ต้องมีจ่าย..
“ค่าแท็กซี่ 500 บาท ต้องมีจ่าย
ค่าแต่งหน้าทำผม 200 บาท ต้องมีจ่าย
ค่าดื่ม 500 บาท ต้องมีจ่าย
ค่าแท็กซี่ขากลับ 500 บาท ต้องมีจ่าย”
คำว่า “ต้องมีจ่าย” คือต้องจ่ายไปก่อนโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวันนี้จะมีผู้มาซื้อบริการหรือไม่ ซึ่งหากไม่มีลูกค้า ก็เหมือนกับการเทเงินทิ้งไปเสียเปล่า หรือบางครั้ง ‘ลงแรงไปแล้ว’ แต่ลูกค้ากลับไม่จ่ายค่าตัวก็มี ดังนั้น การขายเรือนร่างจึงไม่ได้ง่ายเหมือนกับการขายก๋วยเตี๋ยวที่สามารถแช่ตู้เย็นแล้วนำมาอุ่นทีหลังได้
ก๋วยเตี๋ยวยังสั่งพิเศษได้ แล้ว Sex Worker มีแบบพิเศษบ้างไหมนะ?
“พี่เคยคุยกับเด็กคนหนึ่งที่เป็นเด็กนั่งเลาจน์ เขาจะมีกระเป๋าแบรนด์เนมอยู่ใบหนึ่ง เขาบอกใบนี้ ทุกคนต้องมี การแต่งตัว พวกเสื้อผ้าต้องเป็นแบรนด์เนม บางคนต้องขับรถเก๋ง ไปซื้อรถมาผ่อน ขายตัวผ่อนรถ มันเป็นการเรียกค่าตัวขึ้นมา เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวเอง”
ก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชามจะอร่อยได้ต้องมีเส้น ซุป ผัก ลูกชิ้น จัดเรียงอยู่ในชามให้สวยงามเพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาลิ้มลอง ซึ่งพ่อค้าแม่ค้าก็จะต้องลงแรงไปตลาดและลงเงินเพื่อซื้อวัตถุดิบต่าง ๆ ให้กลายมาเป็นก๋วยเตี๋ยวชามนี้ และเมื่อมาเทียบกับการเป็น Sex Worker คงไม่ได้ต่างกันมากนัก ซึ่งต้องลงเงินและลงแรงเช่นกัน เพราะเขาเหล่านี้ต้องใช้เสื้อผ้า หน้าผม เพื่อดึงดูดลูกค้า และอุปกรณ์ที่ช่วยรักษาความปลอดภัยกับเหล่า Sex Worker
ดังนั้น จึงมีแต่ ‘ได้กับได้’ ถ้า Sex Worker ถูกกฎหมาย?
แม้ปัจจุบันจำนวน Sex Worker ในไทยจะยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดว่ามีจำนวนเท่าไหร่ แต่แน่นอนว่าคงมีจำนวนไม่น้อย เพราะเป็นที่รู้กันของทุกคนว่าประเทศไทยขึ้นชื่อเรื่องการค้าบริการทางเพศ จนทุกคนต้องร้อง “อ๋อ” เมื่อพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวยามราตรีที่ขึ้นชื่ออย่าง ‘พัทยา’ หรือตรอกซอยต่าง ๆ ทั่วกรุงเทพ ซึ่งถ้าทำให้ Sex Worker ถูกกฎหมาย อาจเป็นเรื่องดีสำหรับทุกคน
แม้ความเห็นของเอรี่ มองว่า Sex Worker หลายคนไม่ต้องการทำให้ถูกกฎหมาย เพราะไม่อยากขึ้นทะเบียนกับทางรัฐว่าตนเองทำอาชีพค้าบริการ ด้วยทัศนติของสังคมที่ยังไม่ได้เปิดกว้างมากพอ และไม่พร้อมจะยอมรับเหล่า Sex Worker ให้มาเป็นอาชีพที่ถูกกฎหมายได้ จึงไม่กล้าที่จะเปิดเผยตัวตน อีกทั้งยังมีเสียงสะท้อนของสังคมจากประสบการณ์ของเอรี่ที่สวนกลับมาว่า Sex Worker ไม่จำเป็นต้องได้รับสิทธิ์การคุ้มครองเหมือนกับอาชีพอื่น ๆ เพราะสามารถใช้เงินที่หามาดูแลตัวเองได้อยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ความปลอดภัยในการทำงาน คือสิ่งที่แรงงานทุกคนต้องการไม่ว่าจะทำงานในอาชีพใด แม้ว่ารัฐบาลจะมีกฎหมายออกมาคุ้มครองแรงงานผ่านพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ต่าง ๆ แต่สำหรับอาชีพที่มาพร้อมกับความเสี่ยงมากมายและยังต้องมีการลงเงิน-ลงแรง อย่าง ‘Sex Worker’ กลับไม่ได้รับการคุ้มครองใด ๆ จากรัฐบาลเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังทำให้อาชีพนี้เป็นอาชีพผิดกฎหมาย ด้วยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 จนเรียกได้ว่าเหล่า Sex Worker ทำงานโดยที่ไม่มีอะไรรับรองได้เลยว่าชีวิตของเขาจะปลอดภัย
“เด็กพวกนี้เวลาถูกแขกทำร้ายต่อยตี เขาไปแจ้งความไม่ได้ แจ้งความปุ๊บ โดนก่อนเลย เพราะเขาทำอาชีพที่ผิดกฎหมาย พี่อยากให้ตรงนี้มันถูกต้อง คือทำยังไงก็ได้ที่ให้เด็กพวกนี้ ไม่ต้องไปโดนจับ เวลาถูกทำร้าย บางคนถึงขั้นเสียชีวิต เพราะกฎหมายไม่คุ้มครอง”
นอกเหนือจากความปลอดภัยคือ ‘รายได้’ จากการเป็น Sex Worker ที่เอรี่มองว่าเป็นอาชีพทำเงินได้สูงและรวดเร็ว ซึ่งถ้ามองในแง่ความยุติธรรมในการจ่ายภาษี การไม่ให้ Sex Worker ถูกกฎหมายจะทำให้รัฐเสียรายได้จากการเก็บภาษี เพราะถือว่ายังเป็นแรงงานที่อยู่ใต้ดิน อีกทั้งยังไม่ยุติธรรมกับประชาชนที่ต้องเสียภาษีตามระบบ โดยเฉพาะบางอาชีพที่ไม่ได้หาเงินมาง่ายเหมือนกับ Sex Worker
“พวกคุณทำงานเสียภาษี 1 ปี ซื้อบ้านได้ไหม ก็ไม่ได้ แต่ขายตัวมันง่าย เผลอ ๆ ไม่ถึง 1 ปี เขาก็ซื้อบ้านได้ เพราะเขาไม่เคยเสียภาษี ในความยุติธรรมก็ต้องเอาอาชีพนี้มาขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องไปเลย จะได้เสียภาษีเท่ากัน”
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/02/LINE_ALBUM_บทความ-เอรี่_๒๔๐๒๑๙_3-1024x683.jpg)
สุดท้าย…หากมาดูสถานการณ์ปัจจุบัน แม้ว่ายังมีบางส่วนในสังคมยังไม่เปิดกว้างกับ Sex Worker อยู่บ้าง แต่ก็เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยการเข้าใจและใช้เวลาพอสมควรที่จะเปลี่ยนแปลงทัศนติที่ฝังมานานนับสิบปี และเมื่อมาในปี 2567 ที่ถือได้ว่ามีการพัฒนาและเจริญก้าวหน้ามากกว่าเดิมแล้วนั้น เรื่อง ‘สิทธิในเนื้อตัวร่างกาย’ และ ‘ความเท่าเทียม’ จึงเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญกับทุกคน ซึ่งไม่สามารถมองข้ามได้
Sex Worker ได้รับการคุ้มครองและรับรองความปลอดภัยด้วยการตรวจสอบและดูแลตามมาตรฐาน
ผู้ซื้อบริการ สามารถใช้บริการได้อย่างสบายใจ
รัฐบาล สามารถเก็บภาษีได้มากยิ่งขึ้นและเศรษฐกิจอาจดีขึ้นตามไปด้วย
ประชาชน ได้รับความยุติธรรมในการเสียภาษี
ดังนั้น เมื่อ Sex Worker ถูกกฎหมายและได้รับการคุ้มครอง คำว่า ‘มีแต่ได้กับได้’ จึงไม่เกินจริงมากนัก หากแต่ต้องมองและศึกษาอย่างละเอียดในหลายมิติ ทั้งความต้องการของ Sex Worker บางส่วนที่ต้องการการคุ้มครอง แต่ไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน หรือการระมัดระวังว่าจะไม่เป็นการเชิญชวนเด็กและเยาวชน เพราะเรื่องการใช้เพศเป็นอาชีพ ยังคงเป็นเรื่องเปราะบางในสังคมไทย อย่างไรก็ตาม ถือว่าสถานการณ์ขณะนี้มีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากบรรยากาศที่มีผู้คนร่วมลงชื่อทั้งภาคประชาชนและส่วนของพรรคการเมืองร่วมเสนอกฎหมายคุ้มครองเขาเหล่านี้ที่แทบไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์