มองหา “เบาะรอง” ของเด็กและเยาวชน โดยไม่ลืมจัดวาง “กำแพงพักใจ” ของผู้คนที่คิดต่างในสนามการเมือง
เมื่อความเห็นต่างทางการเมือง เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวไม่ราบรื่น สื่อสังคมออนไลน์กลายเป็นสนามอารมณ์ เพื่อระบายความอัดอั้นของเด็กและเยาวชน จะทำอย่างไรให้ “บ้าน” เป็นที่พึ่ง ที่ปลอดภัย แม้เราจะอยู่กันบนความเห็นที่แตกต่าง
The Active รวบรวมทางเลือก และแนวคิดจากแพลตฟอร์มที่จะเข้ามาช่วยทำให้ ผู้ปกครอง และ เยาวชน มีสถานที่พักใจเมื่อต้องเหนื่อยล้ากับความไม่เข้าใจกันของคนในครอบครัว
“ถ้าหนูโดนยิงจริง ๆ แม่จะโทษที่หนูไปม็อบ หรือแม่จะโกรธคนที่ยิงหนู”
“พ่อบอกว่าที่ด่า เพราะเป็นห่วง แต่พูดดี ๆ ก็ได้ ทำไมพ่อไม่ทำ”
นี่คือตัวอย่างข้อความสะท้อนความรู้สึกเจ็บปวด บอบช้ำของเด็กเยาวชน ที่แอดมินเพจ “ไม่อยากกลับบ้าน” รวบรวมจากสเตตัสผู้คนรอบตัวในทวิตเตอร์ ที่โพสต์เรื่องราวความเห็นต่างในครอบครัว โดยวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการทำเพจเพื่อทำให้เสียงของเด็กและเยาวชนดังขึ้น และทำให้สังคมเข้าใจว่าปัญหา ครอบครัวเป็นปัจเจก และไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีการเดียว
เมื่อสังคมล้อมกรอบไว้ว่า ครอบครัวต้องเป็น Safe Zone พ่อแม่ต้องรับฟังและเข้าใจปัญหา แต่ในความจริงไม่เป็นแบบนั้นเสมอไป เมื่อการพูดคุยกับครอบครัวเป็นเรื่องยากมากขึ้น เวลานี้ เราจึงเห็นหลายหน่วยงานออกมาทำงานเชิงรุก เพื่อทำหน้าที่เป็นเบาะรองช้ำรับความเจ็บปวดกันมากขึ้น
หนึ่งในนั้น คือ ศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา ที่ทำงานให้ความช่วยเหลือการตามหาคนหาย และเยียวยาบาดแผลระหว่างคนในครอบครัว ที่เพิ่งเปิดตัวสายด่วน 063-363-6014 เพื่อไม่ให้ความคิดต่างทางการเมือง เป็นเหตุผลหนึ่งของจุดแตกหักภายในครอบครัว
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2020/10/480516.jpg)
เอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา เปิดเผยว่า หลังเปิดสายด่วนได้เพียง 2 วัน (เริ่ม 20 ต.ค. 2563) มีเด็กเยาวชน ผู้ปกครอง โทรศัพท์มาขอคำปรึกษาแล้ว และมีบางกรณีหนีออกจากบ้านจริง แต่สุดท้ายก็กลับบ้านไปเมื่อผ่านกระบวนการช่วยเหลือให้คำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิกระจกเงา
“ในฐานะองค์กรที่ทำเรื่องเด็กหายมาก่อน มองเห็นเด็กหลายคนที่ออกจากบ้านไปเราบอกเลยว่า อันตราย… โลกภายนอกมันอันตราย ดังนั้นทำอย่างไรให้อย่างน้อยเด็กปลอดภัยในครอบครัวตัวเองก่อน”
เขายังบอกอีกว่า “ไม่อยากจะให้ความคิดต่างทางการเมือง ในช่วงเวลาสั้น ๆ ทำลายความสัมพันธ์ในครอบครัวที่มีมานาน…”
เมื่อสถานการณ์การชุมนุม เกี่ยวข้องกับคนหาย
การสลายการชุมนุม ช่วง 14-15 ต.ค. ที่ถนนราชดำเนินและแยกปทุมวัน ช่วงเวลานั้น มีการประกาศตามหาคนหายในโลกออนไลน์ ขณะที่อีกกลุ่ม คือ เด็กและเยาวชน บางส่วนก็กำลังประสบปัญหาความสัมพันธ์ภายในครอบครัวไม่ราบรื่นนัก
บางรายหนีออกจากบ้านเพียงเพราะความคิดต่าง นำไปสู่ “ความรุนแรงทางคำพูด-ทำร้ายจิตใจ กระทบกระทั่งแดกดัน ตัดพ่อ-ตัดลูก ตัดความสัมพันธ์” ทั้งที่พื้นฐานสำคัญที่อยู่ภายในใจของผู้ปกครอง และบุตรหลาน คือความรู้สึกห่วงใย และกังวลในความปลอดภัยของกันและกัน
แต่ทว่าโลกความจริงไม่ได้สวยงามขนาดนั้น ตลอดการทำงานหลายสิบปีของมูลนิธิกระจกเงา พบว่า เด็กและเยาวชนที่ตัดสินใจออกจากบ้าน มีอันตรายและมีข้อจำกัดในการปกป้องดูแลตัวเอง การให้คำปรึกษาอย่างทันท่วงทีก่อนเกิดเหตุบานปลาย จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ ที่รัฐเป็นคู่กรณีความขัดแย้ง การเปิดเผยข้อมูลกับหน่วยงาน หรือองค์กรที่เด็กและเยาวชนไว้ใจ จึงเป็นเรื่องจำเป็น
สถิติคนหายและสาเหตุการหายไป
ปัจจุบัน แม้ศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา จะมีทีมงานเพียง 5 คน แต่ทั้งหมดมีประสบการณ์รับแจ้ง และแก้ปัญหาให้กับครอบครัวคนหายมานับร้อยครอบครัว และมีประสบการณ์ทำงานมานานนับ 20 ปี (ตั้งแต่ปี 2546)
จากข้อมูลคนหายพบว่าตั้งแต่ปี 2546-ปัจจุบัน รับเรื่องแจ้งหายมาทั้งสิ้น 11,640 กว่าราย ในจำนวนนี้ พบแล้ว 10,000 กว่าราย เหลือเพียง 1,000 กว่าราย โดยสาเหตุส่วนใหญ่ที่พบว่าเป็นจุดแตกหักมากที่สุด คือ การใช้ถ้อยคำรุ่นแรงของคนต่างรุ่น (Generation) ทำให้เด็กไม่สามารถปรึกษาเล่าเรื่องทุกข์ร้อนของพวกเขาได้
การสมัครใจหนีออกจากบ้านของคนทุกเพศทุกวัย จึงมีมากที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ รองลงมา คือ ผู้สูงอายุที่มีอาการป่วยทางจิตเวช สมองเสื่อม ถูกลักพาตัว พลัดหลง และอันดับสุดท้ายที่พบ คือ การหายตัวของสามี-ภรรยา เนื่องจากความรุนแรงในครอบครัว
อย่าให้ถึงวันที่รู้สึกได้ เมื่อ “ลูกหาย”
หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย ยังเชื่อว่า ความรู้สึกพ่อแม่เห็นต่าง แต่ยังมีความผูกพัน การใช้อารมณ์จนขั้นขับไล่ ตัดขาดความสัมพันธ์ ก็ใช่ว่าจะไม่มีสายใย เพราะการเลี้ยงลูกมาเป็นสิบ ๆ ปี มันยึดโยงกันอยู่ด้วยความรักและการเลี้ยงดู แต่หากปล่อยให้ปะทุบานปลาย จนวันหนึ่งอารมณ์เบาลง ผ่านไปสัก 5-10 วัน เมื่อนั้นพ่อแม่จะเริ่มมาแจ้ง มาบอกให้ช่วยตามหา และหากยิ่งปล่อยให้ช้าไปกว่านั้น โอกาสจะติดตามเจอยิ่งยาก ความไม่ปลอดภัยกับเด็กเยาวชนยิ่งมีสูง
“เราต้องช่วยป้องกันก่อน พอมีสัญญาณความรุนแรง ให้ทั้ง พ่อแม่ และเด็ก โทรมาคุยกับเรา เปลี่ยนเป็นการพูดด้วยความรู้สึกใจเย็น พูดด้วยเหตุผล เช่น ลูกไปชุมนุมได้นะถ้าเป็นพื้นที่ปลอดภัย ในขณะที่ลูกก็มีจุดยืน ต้องการจะไปเพื่อสร้างอนาคตของพวกเขาและผมเอง ในฐานะมูลนิธิฯ ก็กำลังสร้างพื้นที่ปลอดภัยนั้นให้กับเด็กด้วย”
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2020/10/480515.jpg)
“เห็นต่างได้ แต่ต้องเคารพสิทธิกันและกัน ผมยังเชื่อว่าเด็กทุกวันนี้เขามองถึงอนาคต มองภายภาคหน้า เพื่อสร้างอนาคต ผมไม่อยากให้ผู้ปกครองมองว่าเนรคุณ ทำร้าย ความขัดแย้ง กระทบกระทั่งเกิดขึ้นได้ทุกเรื่อง พยายามรักษาความเห็นต่าง เมื่อโกรธอย่าใช้อารมณ์”
ในฐานะหน่วยงานที่ทำงานเรื่องนี้ เขาย้ำว่า เมื่อเด็กก้าวเท้าออกจากบ้านไป เห็นได้เลยว่ามีอันตรายอยู่รอบตัว พ่อแม่ไม่สามารถไปปกป้องคุ้มครองในห้วงเวลาที่เขาก้าวออกจากบ้านไปได้ ทำอย่างไร ให้เราเดินไปด้วยกันด้วยการเห็นต่าง
ไม่เพียงสายด่วนสำหรับครอบครัวเท่านั้น เวลานี้ยังมีภาคเอกชน และ กลุ่ม Start Up ที่มีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรและเทคโนโลยีเข้ามาช่วยแก้ปัญหาสังคมในภาวะวิกฤต เช่น แคมเปญ Stand by me ซึ่งหมายถึง “ไม่ต้องกังวล พวกเราอยู่ข้างกัน เป็นกำลังใจให้คุณเสมอไม่ว่าจะอยู่ฝั่งไหนก็ตาม ตามจรรยาบรรณแพทย์ และนักจิตวิทยา” ที่โพสต์อยู่ในเพจ OOCA (อูก้า)
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2020/10/478966-1024x683.jpg)
OOCA อีกช่องท่องทางพักใจ ช่วงวิกฤตทางการเมือง
The Active พูดคุยกับ ทพญ.กัญจน์ภัสสร สุริยาแสงเพ็ชร์ หรือ หมออิ๊ก ผู้ก่อตั้ง OOCA
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2020/10/482366-1-1024x576.jpg)
เธอเล่าว่า แคมเปญนี้เกิดขึ้นหลังวันสลายการชุมนุมเช่นเดียวกัน เป็นแคมเปญที่ต่อยอดมาจากการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบทางจิตใจตั้งแต่ช่วงที่มี เหตุกราดยิงที่โคราช ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยตกอยู่ในภาวะความเสี่ยงด้านสภาพจิตใจ ตอนนั้นกระแสตอบรับดีมาก เพียงติด #Saveโคราช มาที่เพจของเรา ก็รับบริการให้คำปรึกษาฟรี เช่นเดียวกับสถานการณ์ปัจจุบัน ที่หลายคนได้รับผลกระทบจากความรุนแรงทางการเมือง ทั้งฝั่งของผู้ชุมนุมที่ได้รับผลกระทบจากเจ้าหน้าที่รัฐ ผลกระทบจากการเสพสื่อ หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐ ที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งก็ตาม
“ทุกฝ่ายเกิดความรู้สึกเจ็บปวด เจ็บป่วย เมื่อถูกกระทบใจ จากเหตุการณ์เหล่านั้น และจากที่อูก้า ได้มอนิเตอร์สังคมตลอด ก็มีคนติดต่ออยากให้เราเปิดศูนย์บรรเทาจิตใจ เราในฐานะผู้มีทั้งทรัพยากรและเทคโนโลยี จึงควร Take action ช่วยเหลือผู้คนอย่างฉับไว”
ทั้งหมดนี้ จึงเป็นที่มาของ แคมเปญด่วน “Stand by me” ซึ่งหมายถึง ไม่ต้องกังวล พวกเราอยู่ข้างกัน เป็นกำลังใจให้คุณเสมอไม่ว่าจะอยู่ฝั่งไหนก็ตาม ตามจรรยาบรรณแพทย์ และนักจิตวิทยา และยังเปิดรับบริจาคเพื่อสมบททุนช่วยเหลือผ่านมาทางเพจอูก้า
แอปพลิเคชัน OOCA เกิดขึ้นมาเพื่อช่วยแก้ปัญหาการเข้าถึงจิตแพทย์ นักจิตวิทยาที่มีจำนวนน้อย ปัจจุบันแพทย์ 1 คน : ผู้ป่วย 80,000 คน การใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ จึงช่วยตอบโจทย์เรื่องนี้ และที่สำคัญไปกว่านั้น ในช่วงวิกฤตการเมือง Start up อย่าง OOCA ยังสามารถปรับรูปแบบให้บริการประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การทางการเมืองได้อย่างทันท่วงที และไม่มีค่าใช้จ่าย
ก่อนหน้านี้ Start up อูก้า ยังเคยทำโครงการชื่อว่า Wall of sharing กับมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เพื่อสร้างพื้นที่ให้เด็กเยาวชนมีที่พึ่ง มีที่ปรึกษาทางใจผ่านระบบออนไลน์โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และเตรียมจะเปิดเป็นมูลนิธิอย่างเป็นทางการเร็ว ๆ นี้
บทส่งท้าย
ไม่ว่าจะเป็นเด็ก เยาวชน นักศึกษา หรือประชาชนทั่วไปที่คิดต่างทางการเมือง แต่รู้สึกบอบช้ำ เหนื่อยล้า สามารถเลือกใช้ช่องทางสายด่วน หรืออนไลน์ที่รวบรวมมาให้ตามความสะดวกใจ แต่ยืนยันว่า ทุกอย่างจะถูกเก็บเป็นความลับตามจรรยาบรรณวิชาชีพอย่างแน่นอน