“ห้องเรียนต้องสนุก และเป็นพื้นที่ถกเถียงทางวิชาการ
ช่วยกันทำให้ ‘สังคมศึกษา’ ไม่เป็นวิชาที่น่าเบื่ออีกต่อไป“
นั่นอาจเป็นความตั้งใจ จนทำให้ข้อสอบปากเปล่า วิชาสาระร่วมสมัย สังคมศึกษา ของ ‘ครูบะหมี่-ก้าวกรณ์ สุขเสงี่ยมกุล’ โรงเรียนมัธยมวัดธาตุทอง กลายเป็นที่พูดถึงในสังคมวงกว้าง เพราะต้องยอมรับว่าข้อสอบของครูบะหมี่ แตกต่างจากข้อสอบที่ผ่าน ๆ มา
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/03/567000002136602-538x754-1.webp)
ข้อสอบปากเปล่าของครูบะหมี่ จะให้นักเรียนสุ่ม Keyword ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นแหลมคม และสถานการณ์ในปัจจุบัน เช่น สถาบันกษัตริย์กับสังคมไทย, ลี้ภัยทางการเมือง, นิติสงคราม, มาตรา 112 เป็นต้น โดยนักเรียนต้องพูดแลกเปลี่ยนความเห็น และตอบคำถามกับครูผู้สอน ซึ่งจะเห็นชอบหรือเห็นต่างอย่างไรก็ได้ ไม่มีการปิดกั้นหรือชี้นำคำตอบแต่อย่างใด บนหลักการที่ครูบะหมี่ เชื่อว่า “ห้องเรียนต้องมีเสรีภาพทางวิชาการ” นักเรียนจึงจะไปได้ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาอย่างแท้จริง
แต่หลังเปิดเผยแนวข้อสอบไม่นาน ด้านหนึ่งสังคมก็มองว่า เป็นแนวคิดการเรียนการสอนที่ออกนอกกรอบ สร้างการคิด วิเคราะห์ ให้กับเด็ก แต่แน่นอนอีกด้านกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากบางฝ่าย เพราะมองว่าข้อสอบอาจหมิ่นเหม่ กระทบต่อความมั่นคงของชาติ ร้อนถึง สำนักคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สั่งตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมสั่งระงับการสอบวิชา ‘สาระร่วมสมัย’ โดยให้เปลี่ยนรูปแบบการสอบอัตนัย (เขียนตอบ) และตัด Keyword บางคำออก
ถ้าหากเป็นไปตามที่ถูกครหา การสอบปากเปล่าเป็นภัยคุกคามชาติ! แล้วข้อสอบวิชาสังคมศึกษาระดับชาติ ต้องมีหน้าตาอย่างไร ? วิชาสังคมฯ จะเป็นอิสระ ปราศจากการครอบงำจริงหรือ ?
The Active อาสาติวเข้ม และชวนมองวิชาสังคมศึกษา ผ่านข้อสอบระดับชาติ ‘O-NET’ เทียบหลักสูตรแกนกลางอายุร่วม 20 ปี ไปกับ ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์ อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ผู้เขียนบทความ ‘กษัตริย์นิยมในสังคมศึกษาและพระราชอำนาจนำในหลักสูตรและข้อสอบโอเน็ต’
2 ทศวรรษ กับมุมมอง ‘พระราชอำนาจนำ’ ในหลักสูตร-ข้อสอบ O-NET
ในฐานะผู้เขียนบทความ ภิญญพันธุ์ เริ่มต้นอธิบายว่า บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์กับสังคมไทย เป็นที่ถกเถียงกันในแวดวงวิชาการ และการเมืองมานานหลายสิบปี โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยช่วงหลังทศวรรษ 2540 ที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจฟองสบู่-ต้มยำกุ้ง ทำให้คนไทยต้องหันกลับมามองตัวเองใหม่ ว่าจะมีเครื่องมือใดบ้าง เพื่อต่อกรกับชาติตะวันตก ที่เข้ามาคุมเศรษฐกิจผ่าน IMF, นโยบายควบคุมการเงินการคลัง และการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น
ในช่วงวิกฤตการณ์ดังกล่าว วิธีคิด ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ และ ‘เกษตรทฤษฎีใหม่’ ก็ถูกเผยแพร่ในฐานะข้อเสนอใหม่ และถูกอัญเชิญเข้ามาเป็นปรัชญาในการพัฒนาชาติ ตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (2545 – 2549) และอยู่คู่รัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี 2550 ภายหลังการรัฐประหารในปี 2549 และล่าสุดก็อยู่ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีด้วย
“ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือ บทบาทของพระมหากษัตริย์ คือ ‘ผู้นำทางรอด’ ให้กับสังคมไทยผ่านเศรษฐกิจพอเพียง หรือมาในบทบาทของพระมหากษัตริย์ ผู้ที่มีคุณธรรมเป็นต้นแบบ ดังนั้น นี่คือที่มาว่าทำไมพระมหากษัตริย์ ถึงมีอิทธิพลหรือมีอำนาจนำในระบบการศึกษาไทยมากพอสมควร”
ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์
![No description available.](https://scontent.fbkk22-2.fna.fbcdn.net/v/t1.15752-9/431470015_735611508711585_4334487002862293783_n.png?_nc_cat=106&ccb=1-7&_nc_sid=5f2048&_nc_eui2=AeF1hM3dRLXy7G-AKI5wKbkfPmPPFnxuh5U-Y88WfG6HlTRYgsCY4bVf4uArMTJBUTuWRlFIx9fVge-BkqzrcWXw&_nc_ohc=9a0VvEX0vMoAX-z-2YQ&_nc_ht=scontent.fbkk22-2.fna&oh=03_AdSBe9rAXJlzghiBi6LCcvkFY4q547AwIPS-RmuQEgcQkQ&oe=661A55ED)
ภิญญพันธุ์ ยังระบุด้วยว่า แม้จะมีพระราชอำนาจนำปรากฏในหลักสูตรจริง แต่สิ่งที่เป็นตัวชี้วัดสำคัญคือ ‘การปรากฏอยู่ในโอเน็ต‘ เพราะโอเน็ตเป็นข้อสอบที่ใช้วัดผลทางการศึกษา ดังนั้น แนวข้อสอบของแต่ละปีที่ออกก็จะกลายเป็นต้นฉบับในการเก็งข้อสอบในหมู่ติวเตอร์หรือครู นำไปสู่การผลิตซ้ำ และให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่ยึดโยงกับพระราชอำนาจนำไปด้วย
จากการศึกษาและค้นคว้าส่วนตัวของ ภิญญพันธุ์ ยังพบว่า ในเนื้อหาของข้อสอบโอเน็ต ป.6, ม.3 และ ม.6 ในแต่ละปี มีอยู่ 3 เรื่องหลักที่ปรากฏอยู่บ่อยครั้ง คือ 1. เรื่องพระมหากษัตริย์ในฐานะผู้มีคุณธรรม เป็นบุคคลต้นแบบ 2. บทบาททางประวัติศาสตร์ของพระมหากษัตริย์ และ 3. เศรษฐกิจพอเพียง และพระอัจฉริยภาพในการแก้ไขปัญหา
ทำให้พบว่าสาระวิชาประวัติศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ เป็นสาระยอดนิยม ที่มีการออกเนื้อหาที่เกี่ยวกับสถาบันฯ อยู่บ่อยครั้ง สอดคล้องกับตารางสรุปข้อมูลข้างล่างนี้
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/03/image-71-1024x687.png)
จากตารางข้างต้นจะเห็นได้ชัดว่า สำหรับสาระศาสนาฯ ในข้อสอบชั้น ป.6 และ ม.3 นั้นไม่ได้มีการกล่าวถึงพระมหากษัตริย์เลย แต่ในช่วงชั้น ม.6 กลับมีการกล่าวถึงเพิ่มขึ้นมาก
ส่วนที่เห็นเป็นรูปแบบชัดมากที่สุด พบว่า ข้อสอบสาระประวัติศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ ของชั้น ม.6 นั้น กล่าวถึงสถาบันฯ ทุกปี โดยเฉพาะช่วงหลังปี 2558 เป็นต้นมา ความถี่ของข้อสอบดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น ภิญญพันธุ์ มองว่า พอเด็กโตยิ่งขึ้น คนเขียนตำรา หรือคนวางหลักสูตรโดยเฉพาะวิชาประวัติศาสตร์ ก็อาจจะให้ความสำคัญกับกระบวนการการวิพากษ์มากขึ้น ซึ่งเป็นข้อค้นพบที่น่าสนใจ
“ข้อสอบโอเน็ตมีความเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ทางการเมืองและสังคม อย่างที่เรารู้ว่า ข้อสอบเกิดขึ้นในปี 2548 และมันได้ยึดโยงกับอุดมการณ์ทางการเมืองและวิธีคิดในช่วงหลังรัฐประหาร 2549 และออกมาเป็นรูปธรรมอย่างหลักสูตรแกนกลางฯ ในปี 2551 ขณะที่คณะรัฐประหาร และผู้มีอำนาจนั้นให้ความสำคัญกับสถาบันฯ หลังการรัฐประหารมากขึ้นจริง ๆ”
ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์
ภิญญพันธุ์ เสริมว่า การรัฐประหาร 2549 เกิดขึ้นหลังจากการที่มีกลุ่มมวลชนจำนวนมากคัดค้านการดำรงอยู่ของพรรคไทยรักไทย ดังนั้นศัตรูหรือว่าปีศาจร้ายในสังคมไทยในฝ่ายที่สนับสนุนรัฐประหารก็คือ ทักษิณ ชินวัตร ทำให้ฝั่งตรงข้ามกับ นักการเมือง ต้องมองหาผู้นำที่ถือว่ามีคุณธรรมสูงส่งมากกว่า จนเห็นได้ว่า สถานะของสถาบันฯ ถูกยกให้สูงขึ้นมากจากการตอบโต้ทางการเมืองช่วงก่อนรัฐประหาร และมีคำสำคัญจำนวนมากเริ่มปรากฏในหลักสูตร เช่น เศรษฐกิจพอเพียง, การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทำให้หลังจากนั้นมาประชาธิปไตยมีนามสกุลห้อยท้ายอยู่เสมอ
เรื่อง สถาบันฯ เด็กไทยต้องเรียนแทบทุกชั้นปี
อีกจุดที่น่าสนใจ ภิญญพันธุ์ อธิบายให้เห็นว่า เมื่อกางตัวชี้วัดทั้ง 5 สาระวิชาจะพบว่า วิชาภูมิศาสตร์ เป็นเพียงสาระเดียวที่ไม่มีตัวชี้วัดเกี่ยวกับสถาบันฯ เลย นั่นหมายความว่าห้องเรียนไม่ต้องพูดถึงเรื่องสถาบันฯ ในวิชาภูมิศาสตร์เลยก็ได้ แต่กลายเป็นว่าข้อสอบโอเน็ตวิชาภูมิศาสตร์กลับถามถึงแนวคิดเกษตรทฤษฎีใหม่, เศรษฐกิจพอเพียง, พระราชดำริป้องกันน้ำท่วม ฯลฯ ปรากฏอยู่ในข้อสอบ เทียบเป็นสัดส่วนพอ ๆ กันกับข้อสอบวิชาศาสนาฯ ด้วยซ้ำ
“การออกข้อสอบนอกตัวชี้วัดไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ก็เป็นการแสดงถึง ‘พระราชอำนาจนำ’ ในวิชาสังคมศึกษาฯ โดยไม่ต้องพึ่งตัวชี้วัดของหลักสูตรแกนกลาง”
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/03/image-75-1024x253.png)
ตามนิยามของ สพฐ. ระบุว่า ตัวชี้วัด หมายถึง การระบุสิ่งที่ผู้เรียนควรรู้และปฏิบัติได้ รวมทั้งคุณลักษณะของผู้เรียนในแต่ละระดับชั้น ซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพผู้เรียนตามมาตรฐานการเรียนรู้ สำหรับนำไปกำหนดเนื้อหา จัดทำหน่วยการเรียนรู้ และเป็นเกณฑ์สำคัญสำหรับการวัดและประเมินผลเพื่อตรวจสอบคุณภาพผู้เรียน
จากตารางข้างต้นพบว่า นักเรียนไทยจะต้องเจอเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสถาบันฯ แทบทุกชั้นปี (ยกเว้น ป.2) และในช่วงชั้น ม.ปลาย ก็จะมีให้เรียนและวัดผลอย่างเข้มข้น เช่น สาระศาสนาฯ ต้องวิเคราะห์หลักธรรมของราชา (ทศพิธราชธรรม), สาระหน้าที่พลเมืองฯ ต้องวิเคราะห์ความสำคัญและความจำเป็นที่ต้องธำรงรักษาการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหาษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นต้น
ภิญญพันธุ์ ยังสะท้อนว่า แม้เด็กไทยจะต้องพบเนื้อหาดังกล่าวแทบทุกชั้นปี แต่รูปแบบการออกข้อสอบ O-NET ถึงเนื้อหาที่เกี่ยวกับสถาบันฯ ส่วนมากเป็นการวัดความจำ มีบ้างในช่วงปี 2560 – 2561 ที่เป็นข้อสอบเชิงวิพากษ์มากกว่าที่ผ่านมา เช่น
- ข้อสอบในปี 2560 ข้อ 28 “ข้อใดเป็นพระราชอำนาจที่ไม่ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรในรัฐธรรมนูญ”
- ข้อสอบในปี 2561 ข้อ 29 “ข้อใดไม่ใช่พระราชอำนาจส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ”
แต่ในภาพรวมแล้ว ยังมีข้อสอบลักษณะนี้ไม่มากนัก
“ปัญหาสำคัญคือ การเน้นท่องจำ เมื่อเป็นเรื่องของพระมหากษัตริย์ เราพูดได้ด้านเดียวแล้วไม่สามารถวิเคราะห์ความผิดพลาดทางประวัติศาสตร์ได้ เพราะว่าถ้าเราพูดความผิดพลาด มันก็ต้องไปถึงที่ตัวบุคคล ถ้าถามว่า ห้องเรียนมีเครื่องมือให้เด็กใช้ในการวิพากษ์วิจารณ์ไหม ผมว่าไม่มีโดยตัวหลักสูตร แต่ว่าโดยตัวการสอนก็มีความพยายามสำหรับครูรุ่นใหม่ ที่จะทำตรงนี้อยู่เหมือนกัน”
ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/03/ครูไทย-1024x683.jpg)
ไปต่ออย่างไร ? เมื่อครูต้องสอน นักเรียนต้องสอบ ในเรื่องที่ ‘พูดยาก’
การพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ยังไม่มีขอบเขตแน่ชัดว่าสามารถพูดหรือแสดงออกได้มากน้อยแค่ไหน เพราะแม้แต่การ Retweet หรือแชร์ผ่านโซเชียลมีเดีย ก็สามารถถูกฟ้องได้ ล่าสุด สถานการณ์มีความคลุมเครือมากยิ่งขึ้น ภายหลังที่พรรคก้าวไกล ถูกวินิจฉัยว่าการกระทำในการหาเสียงถึงการแก้ไข ม.112 ว่าเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง ตามคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ โดยศาลอ้างถึงมาตรา 49 ของรัฐธรรมนูญ ว่าการใช้สิทธิหรือเสรีภาพจะต้องไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย และไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของคนอื่น ซึ่งกำหนดไว้สอดคล้องกับกติการะหว่างประเทศ ตลอดจนไม่กระทบความมั่นคงปลอดภัยของชาติ
“การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสอง เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองฯ และสั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้งสองเลิกการกระทำ เลิกการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น เพื่อให้มีการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112…”
นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
คำวินิจฉัยข้างต้นถูกตั้งข้อสังเกตอย่างกว้างขวางว่าจะส่งผลถึงการพูด เขียน พิมพ์ และการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นเกี่ยวกับสถาบันฯ ของประชาชนคนทั่วไปด้วยหรือไม่ ?
ผลกระทบของการวินิจฉัยนั้น จะลุกลามมาถึงพื้นที่ทางวิชาการในชั้นเรียนด้วยหรือเปล่า ?
และแล้วมันก็ปรากฏขึ้น เมื่อมีห้องเรียนวิชาสังคมศึกษา ต้องยุติการวัดผลในชั้นเรียน ด้วยเหตุว่า การประเมินวัดผลนั้นหมิ่นเหม่ และอาจกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
ภิญญพันธุ์ มองว่า การเรียนรู้วิชาสังคมศึกษามีอยู่หลายวิธี และการทดสอบเองก็ไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว หากการทดสอบนั้น ขัดขวางต่อการแสดงออกทางวิชาการ ทำให้นักเรียนไม่อาจพูดหรือคิดได้อย่างอิสระ เราต้องเปลี่ยนรูปแบบการวัดผล ไม่ใช่บิดเนื้อหาของวิชาให้เอื้อต่อการออกข้อสอบได้ง่ายจนเสียแก่นของสาระวิชา
ขณะที่การสอนเรื่องสถาบันฯ ต้องมองมุมของชาติอื่นเปรียบเทียบด้วย จะช่วยทำให้ผู้เรียนเข้าใจถึงการก่อกำเนิด รุ่งเรือง หรือล่มสลายในแต่ละบริบทของแต่ละประเทศ เช่น ศึกษาว่า สหราชอาณาจักร เขามีวิธีในการเรียนรู้เพื่อร่วมกันอย่างไร
ไม่ต่างจากสาระอื่น ๆ ห้องเรียนควรสอนประวัติศาสตร์เปรียบเทียบ ศาสนาเปรียบเทียบ เศรษฐกิจเปรียบเทียบ เพื่อทำให้ผู้เรียนเข้าใจว่า เรายืนอยู่จุดไหนในสังคมโลก เข้าใจความเป็นมาของตัวเองไปพร้อมกับรู้จักความสัมพันธ์ของนานาชาติ
นอกจากนี้ ภิญญพันธุ์ ย้ำด้วยว่า ข้อสอบการวัดผลจำเป็นจะต้องมีความหลากหลายมากขึ้น อย่างข้อสอบในอเมริกา หรือแคนาดาจะให้ข้อมูลกับเด็กเป็นเล่มแล้วสอบเขียนวิเคราะห์ เป็นโจทย์ที่รัฐและสถานศึกษาต้องดูกันว่าจะทำอย่างไรให้นักเรียนได้ฝึกทดสอบในหลายหลายรูปแบบ ไม่งั้นเด็กไทยก็จะเป็นคนที่กาแม่น แต่ไม่สามารถอธิบายสิ่งที่อยู่ในหัวออกมาเป็นตัวอักษรได้เลย
“ถึงปลายทางการศึกษา จะมีข้อสอบที่มีคุณภาพและหลากหลายมากขึ้น แต่ถ้าต้นทางอย่างหลักสูตรและวิธีการสอนไม่เปลี่ยนแปลง ก็ไม่เกิดประโยชน์ ห้องเรียนต้องสอนให้นักเรียนถึงวิธีการคิดและให้เหตุผลในจุดยืนของตัวเอง และนี่ไม่ใช่หน้าที่ของครูหรือโรงเรียน เพราะสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ เป็นโจทย์ใหญ่ของสังคมที่ต้องคิดร่วมกัน”
ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์ ทิ้งท้าย