ถ้ามีเพลงจังหวะโจ๊ะ ๆ สนุกสนาน พร้อมด้วยน้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ ดังขึ้นมาว่า..
“เป็นนางฟ้า คือหน้าที่ฉัน
พาผู้ชายขึ้นสวรรค์นั่นแหละโสเภณี
รักตัวเองไม่ต้องรักใคร
งานมีเงินได้ เก็บออมไว้ให้ดี”
คงมีหลายคนที่แปลกใจ และบางคนคงไม่คุ้นหู เพราะนี่เป็นผลงานเพลงของ ‘น้องเดียว สุวรรณแว่นทอง’ นักร้องลูกทุ่ง และนักแสดงหนังตะลุง ที่ปล่อยเพลง ‘อยากเป็นโสเภณี’ ออกมาให้ได้ฟังกันเมื่อปี 2565
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/02/Screenshot-2567-02-02-at-18.12.33_0-1024x576.png)
เนื้อเพลงที่ถ่ายทอดออกมา แสดงให้เห็นถึง ความภาคภูมิใจในอาชีพ ‘โสเภณี’ หรือ ‘Sex Worker’ โดยไม่สนใจสังคม มองเห็นคุณค่าของอาชีพนี้อย่างแท้จริง ไม่มีการตีตราในอาชีพนี้เลยแม้แต่น้อย ถึงขั้นยกให้โสเภณีเปรียบเป็น ‘นางฟ้า’ ที่พร้อมจะพาผู้ชายมากหน้าหลายตาขึ้นสวรรค์ ที่สำคัญชีวิตของหญิงสาวในบทเพลง ดูจะมีความสุขกับอาชีพนี้ไม่ใช่น้อย
คุณคงนึกไม่ถึงใช่ไหม ? ว่าจะมีเพลงที่พูดถึงโสเภณีด้วยใจที่ เปิดกว้างและตรงไปตรงมา อย่างเพลง ‘อยากเป็นโสเภณี’ ซึ่งกว่าที่เราจะได้เห็นเพลงที่มีทัศนะคติในแง่บวกต่อ Sex Worker แบบนี้ แน่นอนว่าสังคมมีวิวัฒนาการของเสียงเพลงที่แตกต่างกันไป
The Active ชวนส่องมายาคติสังคมต่อ ‘Sex Worker’ ผ่านตัวโน้ตและบทเพลงตลอดช่วงเวลาครึ่งศตวรรษ กับ ‘อ.หน่อง – อานันท์ นาคคง’ อาจารย์ประจำคณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
จากอดีตจนถึงปัจจุบัน เพลงที่สะท้อนแง่มุมต่อโสเภณี หรือ Sex Worker กำลังบอกอะไรกับเรา ?
‘เพลง’ หนึ่งในอนุสาวรีย์ ประวัติศาสตร์ของสังคม
กว่าจะมาเป็นเพลงให้เราได้ฟังไม่ใช่เรื่องง่าย อาศัยแค่ส่วนผสมของเครื่องดนตรี ประกอบกับจังหวะ และท่วงทำนอง คงไม่พอจะทำให้เพลงสื่อเข้าไปถึงใจของผู้ฟังได้อย่างสุดซึ้ง
หากแต่ต้องมี ‘เนื้อเพลง’ ที่สามารถร้อยเรียงด้วยภาษาที่งดงาม พร้อมเล่าเนื้อหาที่สะเทือนอารมณ์ผู้ฟัง ได้มีอารมณ์ร่วมไปกับเพลงด้วย ‘นักแต่งเพลง’ จึงมีส่วนสำคัญที่จะทำให้เพลงต่าง ๆ ประสบความสำเร็จ และทำให้เพลงยังคงติดหูผู้ฟังทุกยุคทุกสมัย
เมื่อเนื้อเพลงมีหน้าที่บอกเล่าก็ต้องอาศัยเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสังคมช่วงเวลานั้น ๆ ให้ผู้แต่งได้หยิบยกมาเขียนลงในเพลง เพื่อแสดงปรากฏการณ์บางอย่าง
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/02/อ.อานันท์-นาคคง_0-1024x928.jpg)
นี่คือคุณสมบัติที่ อ.หน่อง เชื่อว่านักแต่งเพลงต้องมี คือ ความรู้สึกหวั่นไหวต่อความเปลี่ยนแปลงในสังคม เมื่อสังคมเกิดเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง นักแต่งเพลงจะทำหน้าที่สะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นในห้วงเวลานั้น ยิ่งถ้าเพลงมีความไพเราะ ผู้คนนิยมฟังมากขึ้นเท่าไร เพลงก็จะกลายเป็น ‘ไอคอน’ หรือ ‘อนุสาวรีย์’ หนึ่งในสังคมที่บันทึกประวัติศาสตร์เอาไว้ และสามารถนำไปต่อยอด หรือศึกษาได้ในอนาคต ซึ่งจะทำให้เห็นปัญหา และรอยแผลที่พบเจอในแต่ละช่วงเวลา
การมีเพลงที่พูดถึงมุมมอง หรือชีวิตของ Sex Worker จึงอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้ฟังรุ่นหลัง รับรู้ว่าสังคม ณ ขณะนั้นเกิดอะไรขึ้น หรือมีเหตุการณ์นั้น ๆ เกิดขึ้นจริง ซึ่งได้ถูกบันทึกไว้มากมายในโลกของเพลงทุกแขนง ทั้งลูกทุ่ง ลูกกรุง ป๊อบ แต่แน่นอนว่าผู้แต่งที่หลากหลาย ทัศนะคติหรือมุมมองที่มีต่ออาชีพนี้ ก็ต้องหลากหลายทั้งในแง่บวกและในแง่ลบ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว ตามสภาพผู้แต่ง และสภาพสังคมในช่วงเวลานั้น
“เราจะขาดประวัติศาสตร์ทางเสียงไม่ได้ เพราะเสียงพวกนี้เป็นเสียงที่ถูกใช้งานทั้งในโลกของการบันเทิง และถูกใช้งานในแง่ของการบันทึกความทรงจำของสังคม”
หากนับเฉพาะเรื่องราวชีวิตของ Sex Worker พบว่าถูกผลิตซ้ำผ่านเพลงมาอย่างนับไม่ถ้วน ซึ่งเนื้อหาก็ล้วนแล้วแต่เป็นความชอกช้ำที่ต้องโดนสังคมประณาม หยามเกียรติจากฝ่ายชายที่ร่วมหลับนอนกับเธอ แต่ความโหดร้ายเหล่านี้กลับอยู่อย่างชาชินมาอย่างยาวนาน ทำให้ยากลำบากต่อการลืมตาอ้าปากของหญิงคนหนึ่ง ที่ต้องการมีชีวิตที่ดีเหมือนคนอื่น
หากจะคาดหวังให้ได้รับการปกป้อง คุ้มครองทางกฎหมาย คงต้องใช้เวลาไม่น้อย เพราะถือเป็นเรื่องใหญ่ รายล้อมไปด้วย กำแพงอคติ ที่สังคมมอง โสเภณี หรือ Sex Worker เป็นอาชีพที่ต้อยต่ำมาตั้งแต่อดีต จนอาจเรียกได้ว่านี่เป็นด่านสำคัญที่ทำให้การมีกฎหมายคุ้มครอง Sex Worker ยากมากกว่าเดิม ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องของ ‘ความเป็นมนุษย์’ และการเห็นอกเห็นใจกันและกัน
แล้วช่วงเวลากว่าครึ่งศตวรรษ กำแพงอคติเหล่านี้ลดลงไปแล้วบ้างหรือไม่ บางทีภาพสังคมที่สะท้อนผ่านบทเพลงอาจกำลังบอกอะไรเราอยู่…
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/02/น้ำตาคนชั่ว-เรียมดาราน้อย_0.jpg)
ทศวรรษ 2510 : ‘น้ำตาคนชั่ว’ เพราะฉันชั่วด้วยความจำเป็น
“เห็นดอกฟ้านภาสลัว
เหมือนผู้หญิงคนชั่ว
หมองมัวด้วยหมอกราคี”
ว่ากันว่า.. ‘น้ำตาไม่มีเสียง’ คงเป็นเรื่องจริงเพราะเราไม่สามารถได้ยินเสียงของน้ำตา แต่หากจะเปรียบเปรยด้วยอารมณ์ที่สื่อออกมาผ่านบทเพลง ‘น้ำตาคนชั่ว’ ในปี 2515 ของนักร้องชั้นครู ‘เรียม ดาราน้อย’ อาจพูดได้ว่าเพลงนี้ ทำให้ผู้ฟัง ได้ยินเสียงน้ำตาของหญิงขายบริการ คนหนึ่งที่ถูกสังคมมองด้วยความรังเกียจ ซึ่งแม้แต่ตัวเองก็ยังมองว่า เป็นหญิงชั่วที่ต้องมาทำอาชีพ Sex Worker
“ต้องสู้ทนทุกข์ระกำ
ความช้ำซ่อนอยู่ภายใน”
ว่ากันว่า…‘น้ำตาจะไหลได้ ต้องกลั่นออกมาจากความรู้สึกใดความรู้สึกหนึ่ง’ แต่ความรู้สึกของ Sex Worker ในยุคของเพลงน้ำตาคนชั่วนี้ แน่นอนว่าคงไม่ได้เป็นความรู้สึกที่ยินดีกับชีวิตเหมือนกับคนอื่น ๆ เพราะเธอขมขื่นอยู่กับความทรมานที่ต้องขายร่างกายให้กับชายที่ไม่ได้รักมากหน้าหลายตา
“หาเลี้ยงลูกและแม่
ดูแลน้องอีกตั้งสาม
ส่งน้องเล่าเรียนด้วยเงินแลกเปลี่ยนความช้ำ”
ว่ากันว่า…‘น้ำตาที่ไหล มันมีเหตุผลของมันเสมอ’ เพราะการที่จะเข้ามาสู่วงการขายบริการ มีจุดเริ่มต้นมาจากครอบครัวที่ยากจน ชีวิตของ Sex Worker ในยุคนั้น จึงไม่มีทางเลือกมากนัก และไม่สามารถปฏิเสธสิ่งที่เรียกว่า ‘เงิน’ ได้ ความยากลำบากของชีวิตและคนข้างหลังที่เธอต้องคอยดูแล เธอจึงไม่ต่างจากเสาหลักของบ้านที่คอยพยุงให้ครอบครัวมีกินใช้และสุขสบาย ซึ่งก็ต้อง แลกมาด้วยเรือนร่างของเธอที่ต้องจำยอม ด้วยความยากจน
เพลงน้ำตาคนชั่ว จึงทำให้ภาพชีวิตของ Sex Worker ในขณะนั้นมีแต่ความมืดมิด และทุกข์ทนอยู่กับความทรมานที่สังคมตีตราเธอว่าเป็นหญิงชั่ว ไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี และไม่มีใครเห็นใจแม้แต่ตัวเธอเองก็ตาม
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/02/นางงามตู้กระจก-เทียรี่_0.jpg)
ทศวรรษ 2520 : “น้ำตานองอาบสองแก้ม”…น้ำตาที่มีคนเข้าใจ
วัน เวลาที่เปลี่ยนไป ยุคสมัยของเพลงก็เปลี่ยนตาม จากเพลงลูกทุ่ง มาสู่ เพลงเพื่อชีวิต นับตั้งแต่เพลงน้ำตาคนชั่ว ของ เรียม ดาราน้อย ในปี 2515 ได้ถูกปล่อยออกมา แต่คำว่า ‘น้ำตา’ ที่แสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมานของชีวิต Sex Worker ก็ยังคงอยู่ในเพลง
จนมาปรากฎกับเพลงในตำนาน ‘นางงามตู้กระจก’ ในปี 2527 เรียกได้ว่าเป็นอีกจุดเปลี่ยนสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าสังคมไม่ได้รังเกียจอาชีพ Sex Worker อีกต่อไป
“นํ้าตานองอาบสองแก้ม
สายลมแย้มพัดผ่านมา
นาฬิกาบอกเวลา
ดังเตือนว่าเลยเวลานอน”
เสียง Intro อันเป็นเอกลักษณ์ ตามมาด้วยเสียงแหบทรงเสน่ห์ของ ‘เทียรี่ เมฆวัฒนา’ ศิลปินเพลงเพื่อชีวิตในตำนานวงคาราบาว เรียกได้ว่าไม่มีใครไม่รู้จักเพลงนี้ จนถูกยกให้เป็นหนึ่งในเพลงชาติของหญิงขายบริการ ที่หลายคนคุ้นหูกันมาถึง 40 ปี จนมาถึงปัจจุบันก็ยังคงผ่านหูกันบ่อย ๆ มีศิลปินหลายคนนำมาร้อง Cover อย่างต่อเนื่อง
“ชํ้าเพราะความที่เธอจน
นี่หรือคนสังคมรังเกียจ
ช่วยผู้ชายระบายความเครียด
สิบร้อยพันยันรัฐมนตรี”
แม้น้ำตาที่ถูกสื่อผ่านเพลงยุคนี้ ยังคงวนเวียนอยู่กับความเจ็บปวดของหญิงขายบริการ ที่ต้องพลีกายให้กับชายมากหน้าหลายตา ไม่ต่างจากเพลงน้ำตาคนชั่ว แต่น้ำตาของเพลงนางงามตู้กระจกกลับ ยังมีคนเข้าอกเข้าใจและเห็นใจ ซึ่งไม่ได้มองว่า เธอทำอาชีพที่ไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี เหตุเพราะความจน และก็ยังเป็นครอบครัว คนข้างหลังอีกเช่นเคยที่พัดพาให้เธอเข้ามาสู่วงการ ขายบริการอย่างปฏิเสธไม่ได้
เพลงนางงามตู้กระจก ยังทำให้เห็นว่าสังคมมีจุดเปลี่ยน และลดกำแพงอคติลงไปมาก ความเลวร้ายที่หญิงสาวคนหนึ่งถูกตีตรา เริ่มหายไป จนทำให้เห็นว่าสังคม หรืออย่างน้อยผู้แต่งเพลง เข้าใจ และเห็นใจหญิงขายบริการมากขึ้นกว่าในอดีต
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/02/สมศรี-1992-ยิ่งยง_0.jpg)
ทศวรรษ 2530 : “นึกว่าไปได้ดี โอ้ศรีน้องมาขายตัว” กับ ปรากฏการณ์ ไม่ตั้งชื่อลูกว่า ‘สมศรี’
เชื่อไหมว่า ? ครั้งหนึ่งไม่มีใครตั้งชื่อลูกว่า ‘สมศรี’ เพียงเพราะอัลบั้ม สมศรี 1992 ของ ‘ยิ่งยง ยอดบัวงาม’ ทำให้ชื่อเรียกสมศรี เป็นภาพแทนของหญิงขายบริการ
นี่เป็นคำบอกเล่าของ อ.หน่อง ที่แสดงให้เห็นว่าอิทธิพลจากยอดขายเทปทะลุกว่า 100 ล้านบาท ของเพลง ‘สมศรี 1992’ ในปี 2535 มีพลังต่อสังคมจนเกิดปรากฏการณ์ไม่ตั้งชื่อลูกว่าสมศรีขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ และได้กลายเป็นหนึ่งในตำนานเพลงที่ฟื้นคืนชีพวงการลูกทุ่งหลังซบเซามานาน
แม้ว่าในเนื้อเพลงไม่ได้บอกว่าสมศรี เข้าสู่วงการขายบริการ ด้วยความจำยอมเหมือนเพลงอื่น ๆ ในยุคก่อนหน้านี้ และมีเสียงเหยียดหยามจากชายคนรักจนถึงขั้นจะพาไปล้างคาวด้วยน้ำมนต์ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว ชายคนรักก็พร้อมยอมรับถึงหญิงคนรักจะยังมองอาชีพขายบริการเป็นอาชีพที่น่ารังเกียจก็ตาม
สิ่งนี้เองทำให้เห็นว่า การเปิดกว้างของสังคมเริ่มมากขึ้น และแสดงให้เห็นถึงอิสระในสิทธิเนื้อตัวร่างกายของผู้หญิงที่ต้องการประกอบอาชีพตามที่ตนต้องการขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งแล้ว
เกือบ 50 ปี แทบไม่มีนักร้องหญิง ร้องเพลงเกี่ยวกับ Sex Worker บ่งบอกอะไร ?
ตั้งแต่ปี 2520 มาจนถึงปัจจุบัน เป็นที่น่าสังเกตว่าเพลงที่เกี่ยวกับ Sex Worker ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายร้องเกือบทั้งหมด ยกเว้นเพลง ‘สาวน้อยกลับบ้าน’ ของ ‘อ้อย กระท้อน’ เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในช่วงเวลาที่ The Active พยายามค้นหาเพลงที่เกี่ยวกับอาชีพนี้ได้
อ.หน่อง มองว่า สิ่งนี้คือการแสดงให้เห็นถึงความกล้าที่จะประกาศต่อสังคมว่าชายเหล่านี้ยอมรับในตัว Sex Worker ได้ แม้ว่าจะมีบางเพลงอย่าง ‘สมศรี 1992’ ที่มองว่าอาชีพนี้ต้องเสียศักดิ์ศรี หรือเป็นคนไม่ดีก็ตาม แต่ด้วยเจตนาดี และซื่อสัตย์ในการยอมรับ เพลงจึงเป็นเหมือนสะพานเชื่อมให้สังคมหันมาสนใจ Sex Worker ผ่านเสียงเพลงที่ถูกขับร้องอย่างไพเราะ ในหลายมิติ หลายมุมมอง ซึ่งต่างจากช่วงก่อนที่ถูกร้องโดยผู้หญิง ซึ่งมีความกล้า ๆ กลัว ๆ ในการพูดถึงชีวิตของโสเภณี
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/02/อยากเป็นโสเภณี-น้องเดียว_0-1024x576.jpg)
ทศวรรษ 2560 : ประกาศให้โลกรู้ว่าฉัน.. ‘อยากเป็นโสเภณี’
จากปี 2530 เรากระโดดมาอีก 30 ปี การไต่ระดับเรื่อง ‘สิทธิในเนื้อตัวร่างกาย’ ตั้งแต่เพลงสมศรี 1992 และการยอมรับมากยิ่งขึ้นของสังคมในเรื่องของการประกอบอาชีพขายบริการทางเพศ ดูเหมือนมีวิวัฒนาการ ทัศนคติของสังคมเริ่มไต่ระดับสูงขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก เพราะถ้าได้ฟังเพลง ‘อยากเป็นโสเภณี’ จบทั้งเพลง จะเห็นว่าอารมณ์การเล่าเรื่องชีวิตของ Sex Worker แตกต่างจากอดีตโดยสิ้นเชิง เมื่อเธอไม่ต้องจำใจ หรือทนทุกข์กับการบริการชายทั้งหลายเช่นเดิมแล้ว อีกทั้งความรู้สึกที่มองตัวเองว่าชั่วหรือมั่วโลกีย์ ก็ไม่หลงเหลืออยู่ในเพลงนี้เลยแม้แต่น้อย ทุกภาพจำที่เคยเกิดขึ้น ถูกเปลี่ยนใหม่ด้วยการยกให้หญิงขายบริการคนหนึ่งเปรียบดั่ง ‘นางฟ้า’
“เป็นนางฟ้า
คือหน้าที่ฉัน
พาผู้ชายขึ้นสวรรค์นั่นแหละโสเภณี”
เนื้อเพลงทำให้เห็นว่าผู้แต่ง มองอาชีพนี้อย่างมีคุณค่า ที่ได้ช่วยเหลือชายขี้เหงาให้สุขสมไม่ต่างกับอยู่บนสวรรค์ ซึ่งการเจอชายมากหน้าหลายตา อาจมองไปได้ว่าหญิงสาวยิ่งมีคุณค่ามากขึ้นตามจำนวนชายขี้เหงาเหล่านั้น
อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘เงิน’ ยังเป็นปัจจัยหลัก ๆ ของการเดินเข้าสู่เส้นทางขายบริการ เหมือนกับเพลงในช่วงเวลาก่อน ๆ แต่เมื่อดูในเนื้อเพลง ‘อยากเป็นโสเภณี’ จะเห็นว่า ผู้แต่งมีความคิดนำล้ำสังคมไปไกลกว่าอดีต และปัจจุบันเป็นอย่างมาก เพราะผู้แต่งมองไปถึงการใช้อาชีพนี้สร้างความมั่นคงให้กับตัวเองเมื่อเข้าสู่ช่วงบั้นปลายของชีวิต
“รักตัวเองไม่ต้องรักใคร
งานมีเงินได้ ออมไว้ให้ดี
เลยวัยหน่อยแล้วค่อยเกษียณ
ไม่ยุบไม่เหี้ยน ไม่ต้องเปลี่ยนคัสซี”
สิ่งนี้เองทำให้เห็นว่า Sex Worker ก็สามารถเป็นอาชีพที่เลี้ยงดูตัวเองได้ หากมีการวางแผนและดูแลตัวเองให้ดี ซึ่งก็ไม่ได้ต่างจากอาชีพอื่น ๆ เพียงแค่ใช้ร่างกายในการเป็นทุนเพื่อแลกกับเงินตราหรือความสุขสบาย และไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะขายบริการไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน
“เพลงอยากเป็นโสเภณี เป็นการเปิดพื้นที่อย่างชัดเจนมาก ๆ มีความก้าวหน้าในความคิดว่า สิ่งนี้คืออาชีพหนึ่งที่มีความบริสุทธิ์ มีความจริงใจ ต่อการทำงาน และไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน เสียหาย หรือไปฆ่าใคร มันคือหนึ่งในวิถีชีวิตที่เธอเลือก”
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/02/Screenshot-2567-02-02-at-18.11.22-1024x576.png)
50 ปี มายาคติ (ขายบริการ) ที่เปลี่ยนไป ?
ผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรี ยังมองว่า การมีอยู่ของชีวิตโสเภณีได้ผ่านการมีอยู่ของเพลง แม้ว่าการอยู่ได้อย่างยั่งยืนของเพลงอาจจะไม่ใช่คำตอบที่สามารถยืนยันได้ว่า “เรามองชีวิตโสเภณีผ่านเพลงได้เลยทันที” แต่การที่เพลงอย่าง น้ำตาคนชั่ว นางงามตู้กระจก สมศรี 1992 คงอยู่และติดหูคนในสังคมมาอย่างยาวนาน นั่นหมายความว่า มีพลังบางอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเพลง สังคม และชีวิตโสเภณีแล้ว
แต่ในโลกของบทเพลง ต้องยอมรับเช่นกันว่า มีเรื่องราวเชิงพาณิชย์ที่ต้องคำนึงถึงยอดขาย การที่จะทำเพลงเกี่ยวกับหญิงขายบริการจึงอาจเป็นเรื่องยาก และไม่ได้สะดวก เหมือน Sex Creator ที่มีกลุ่มเป้าหมายเฉพาะเจาะจง การทำเพลงออกมาจึงต้องคำนึงถึงกระแสตอบรับต่อสังคม ซึ่งต้องอาศัยความงดงามของดนตรีและภาษาด้วยชั้นเชิงของนักแต่งเพลง
โดยในช่วงแรก ๆ จะเห็นว่าวิธีการเล่ายังไม่ได้พูดเรื่องชีวิตของโสเภณีแบบตรงไปตรงมา หรือโจ่งแจ้ง ไม่เหมือนกับเพลงในปี 2565 อย่าง เพลงอยากเป็นโสเภณี ที่ใช้ภาษาอย่างดิบ ๆ และชัดเจนของน้ำเสียงแบบนักร้องพื้นบ้าน
แต่ถ้าลองมองมาที่เพลงน้ำตาคนชั่ว จนมาถึง เพลงอยากเป็นโสเภณี ทำให้เห็นถึงความแตกต่างในการสื่อสารเรื่อง Sex Worker อย่างชัดเจน ซึ่งกว่าจะมาถึงยุคปัจจุบันต้องผ่านการทดลองและหาวิธีสื่อสารผู้ฟังอย่างสร้างสรรค์ จนทำให้เสียงดนตรีและเสียงร้องเข้าไปกระทบใจผู้ฟังและรู้สึกหวั่นไหวกับสิ่งที่เกิดขึ้นผ่านเนื้อเพลง
“นี่มันคือเพลงที่ปล่อยออกมาในสังคม แล้วสังคมต้องเลือกรับ ดีเจต้องกล้าเปิด หรือช่องทางที่สามารถเล่าเรื่องพวกนี้ได้ ก็ต้องใช้ศิลปะด้วย มันพูดไม่ได้อย่างซื่อ ๆ ตรง ๆ และศิลปะเหล่านี้ออกมาด้วยชั้นเชิงต่าง ๆ ด้วยภาษาที่เขียน ด้วยเนื้อหาที่หยิบมาเล่า สามารถสื่อสารได้อย่างสร้างสรรค์ การขับร้องหรือดนตรีประกอบให้กระทบหัวใจของผู้คน”
‘น้ำตาคนชั่ว’ สู่ ‘อยากเป็นโสเภณี’ จึงทำให้เห็นการไต่ระดับของทัศนคติคนในสังคม ว่ามีการเปลี่ยนแปลงและเปิดกว้างมากขึ้นอย่างไรบ้าง เริ่มจากการมองตัวเองเป็นหญิงชั่ว สู่การยอมรับที่มากขึ้นของสังคมผ่านเพลงจากชายคนรัก จนสุดท้ายก็ได้เห็นความภาคภูมิใจและคุณค่าของอาชีพ Sex Worker ซึ่งเมื่อเทียบกับอารมณ์ที่สื่อออกมาจากเพลง ดูเหมือนว่าภาษาหรือเนื้อร้องก็ค่อย ๆ ไต่ระดับความตรงไปตรงมาเช่นกัน
เช่นกันกับความพยายามผลักดัน ยกเลิก ปรับแก้กฎหมายที่หลายคนกำลังเรียกร้องกันมาหลายสิบปี คงต้องเริ่มด้วยวิธีการเดียวกันกับเพลงแบบค่อยเป็นค่อยไป จนสุดท้ายทำให้เกิดความเข้าใจ และที่มากกว่านั้นคือการคุ้มครองความเป็นมนุษย์ ที่คนทุกอาชีพ รวมทั้ง Sex Worker คู่ควรกับการถูกยอมรับ