สช.เตรียมจัดเวที ชวนพรรคการเมืองชี้แจงแหล่งที่มา “บำนาญสูงอายุ” เม.ย.นี้
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2023/04/16107_1_11zon-1024x768.jpg)
การเลือกตั้ง 66 ที่กำลังจะมีขึ้นในเดือน พ.ค.นี้ ด้วยสัดส่วนประชากรสูงวัย ถ้านับกันตั้งแต่อายุ 58 ปี ขึ้นไป เวลานี้ ก็มากกว่า 14 ล้านคน จึงไม่น่าแปลกใจที่ใกล้เลือกตั้งแบบนีั เราจะเห็นบรรดาพรรคการเมืองต่าง ๆ ทยอยปักธงนโยบายหาเสียงกับผู้สูงอายุ ไม่ว่าจะเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ บางพรรคพุ่งไปถึง 5,000 บาท บางพรรคก็ประกาศจะสร้างบำนาญ 3,000 บาทให้เกิดขึ้นให้ได้หลังเลือกตั้ง
แต่หากหวังจะเข้ามาแก้ปัญหาผู้สูงอายุด้วยวิธีเติมเงินเข้ากระเป๋าผู้สูงอายุเพียงอย่างเดียว อาจไม่ง่าย เพราะในอนาคตหรือแม้กระทั่งเวลานี้ที่เราเริ่มเห็นประเภท และความต้องการของผู้สูงอายุไทยที่มีความหลากหลาย และถ้ามองเห็นแต่ปัญหาแทนที่จะมองให้เป็นโอกาส สังคมสูงวัยอาจจะกลายเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของรัฐบาลชุดใหม่โดยเฉพาะด้านการคลังของประเทศ
เวทีสนทนานโยบายสาธารณะ “ไทยพร้อมยัง… ที่จะมีหลักประกันรายได้เพื่อคุณภาพชีวิตเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ” โดยสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(สช.) และสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) พบว่า ผลกระทบเมื่อไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยสมบูรณ์ในปี 2566 คือ ด้านเศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม ชุมชนสังคม และสุขภาพ โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจที่จะต้องมีนโยบายที่ชัดเจน เพื่อกำหนดทิศทางสร้างความมั่นคงด้านหลักประกันรายได้ที่ยั่งยืน พร้อมเสนอ 5 เสาหลักเพื่อเป็น “กรอบทิศทางนโยบาย” สู่การสร้าง “หลักประกันรายได้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ” ได้แก่
- การพัฒนาผลิตภาพประชากร การมีงานทำ และมีรายได้จากการทำงานที่เหมาะสมตลอดช่วงวัย
- เงินอุดหนุนที่เพียงพอต่อการดำรงชีพที่ผู้สูงอายุทุกคนควรได้รับ และบริการสังคมที่จำเป็นจากรัฐ
- การออมระยะยาวเพื่อยามชราภาพที่เชื่อมโยงทั้งการออมของปัจเจกบุคคลและการออมรวมหมู่ ที่ครอบคลุม เพียงพอ และยั่งยืน รวมถึงการบริหารจัดการการเงินทั้งระดับบุคคลและครอบครัว
- การเข้าถึงหลักประกันสุขภาพ ในทุกกองทุนให้มีการเน้นการคัดกรองความเสี่ยงและป้องกันภาวะพึ่งพิงในผู้สูงอายุ ไม่จำกัดเฉพาะเรื่องการรักษา เช่น มะเร็ง การสำลัก วัคซีน ภาวะสมองเสื่อม การหกล้ม และการเข้าถึงชุดสิทธิประโยชน์ที่ยังไม่ครอบคลุม เช่น ผ้าอ้อม วัสดุสิ้นเปลืองอื่นๆ รวมถึงการบริการสุขภาพระยะยาว (Long-term care)
- การดูแล การจัดสรรทรัพยากรร่วม และการบริหารจัดการ โดยครอบครัว ผู้ดูแลผู้สูงวัย ชุมชน และท้องถิ่น
พร้อมเชิญตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กล่าวถึงสถานการณ์ และแนวโน้มนโยบายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2023/04/S__26222676_11zon-1024x576.jpg)
วรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดประเด็นถึงนิยามคำว่า สังคมสูงวัยจำเป็นที่จะต้องมองถึงเด็ก และวัยแรงงานด้วย เพียงแต่ปีนี้สัดส่วนผู้สุงอายุแตะที่ 20% หรือสังคมสูงวัยสมบูรณ์ มีวัยแรงงาน 63% วัยเด็ก 16% และอีก 20 ปี หรือ 2583 ผู้สูงอายุไทยจะแตะถึง 30% หรือสังคมสูงวัยขั้นสุดยอด แรงงาน 55% และวัยเด็ก 12% ซึ่งจะทำให้เข้าสู่ “สังคมสูงอายุระดับสุดยอด” ที่มีผู้สูงวัยถึง 1 ใน 3 ของประชากรประเทศ
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางประชากรนี้ ยังทำส่งผลต่อระบบสาธารณสุขเกี่ยวกับภาวะการเจ็บป่วยของผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น และการย้ายถิ่นภายในภูมิภาค 6 แสนคน แสดงถึงนัยยะของหัวหน้าครอบครัวที่ต้องทำงานเลี้ยงดูคนในบ้าน ครอบครัวแหว่งกลาง ที่มีแต่เด็กและผู้สูงอายุลำพัง ทำให้เกิดปัญหาสังคมตามมา ส่วนในด้านหลักประกันรายได้ของผู้สูงอายุไทย พบว่า รายได้ทั้งหมดมาจากบุคคลอื่นเช่น ลูกหลาน รองลงมาคือการทำงาน และเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นโจทย์ท้าทายว่าจะทำอย่างไรให้สังคมสูงวัย โดยเฉพาะสูงวัยมีพลัง (Ageing society) สามารถที่จะทำงานได้ตามศักยภาพ มีรายได้พอเลี้ยงดูตัวเองได้
“หากอ้างอิงจากสัดส่วนของผู้สูงอายุในปี 64 จำนวน 13.4 ล้านคน พบกลุ่มที่ได้ทำงาน 30% มีรายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย ขณะที่อีก 3% ยังหาโอกาสเข้าสู่ตลาดแรงงาน ไม่นับรวมปัญหาด้านการออม สภาพแวดล้อม นี่จึงเป็นโจทย์ที่แสดงให้เห็นความสำคัญของการสร้างหลักประกันรายได้ เพื่อให้คนมีความมั่นคงและคุณภาพชีวิตที่ดีเมื่อสูงวัย ทั้งนี้จำเป็นต้องมีการจัดวางแผนเพื่อพัฒนาประเทศในระยะยาว บนหลักการ ‘เกิดดี-อยู่ดี-แก่ดี’ ด้วย
วรวรรณ พลิคามิน
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2023/04/S__26222673_11zon-1024x576.jpg)
นวพร วิริยานุพงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านดุลยภาพการออมและการลงทุน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง กล่าวว่า ระบบหลักประกันรายได้ของประเทศไทยที่มีอยู่นั้น อยู่ในความรับผิดชอบของหลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของสวัสดิการที่รัฐให้ฝ่ายเดียว เช่น เบี้ยยังชีพ การออมภาคบังคับ และการออมภาคสมัครใจ ทั้งแรงงานในระบบและนอกระบบ โดยสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงในการดำเนินนโยบายมี 3 ด้าน คือ 1. ความครอบคลุม ที่ต้องทั่วถึงประชากรทุกกลุ่ม 2. ความเพียงพอ เป็นจำนวนเงินที่พอใช้หลังเกษียณ 3. ความยั่งยืน ไม่กระทบกับระบบการเงินการคลัง ซึ่งถือว่าทำได้ค่อนข้างครอบคลุม แต่อาจจะไม่เพียงพอหลังเกษียณ ซึ่งควรจะอยู่ที่ 50% ของรายได้ก่อนเกษียณ โดยกลุ่มที่กังวลมากที่สุดคือแรงงานนอกระบบ เกินครึ่งไม่มีการออมไว้เพื่อใช้หลังเกษียณเสี่ยงต่อการเปลี่ยนสถานะเป็นคนยากจนเมื่อเข้าสู่ช่วงสูงอายุ
นวพร กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังได้ผลักดันการมีคณะกรรมการระดับชาติ เพื่อดูแลหลักประกันรายได้หลังเกษียณของประชาชน ภายใต้ พ.ร.บ.คณะกรรมการนโยบายบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. … โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งอยู่ระหว่างการเสนอร่างฯ เข้าสภาฯ หลังการเลือกตั้ง เพื่อบูรณาการทุกกองทุนที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรายได้ประชาชนหลังเกษียณ ให้แต่ละกองทุนมีความสอดคล้องกัน เพื่อให้ภาพรวมสุดท้ายประชาชนมีรายได้หลังเกษียณเพียงพอ และไม่เป็นภาระทางการคลังในระยะยาว
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2023/04/LINE_ALBUM_รูปงาน-Policy-Dialogue_๒๓๐๓๒๙_28_3-1024x683.jpg)
นพ.อภิชาติ รอดสม รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า นับตั้งแต่ปี 2545 คนไทยมีระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตร 30 บาท ที่ช่วยคุ้มครองภาวะล้มละลายจากค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ซึ่งนับเป็นการออมในส่วนการดูแลความเจ็บป่วยของผู้คนไปได้มาก แต่ในปัจจุบันที่ไทยเป็นสังคม “แก่ก่อนรวย” เมื่อเจ็บป่วยรัฐจึงต้องรับประกันให้ทุกอย่าง เมื่อวิเคราะห์จากรายจ่ายภายใต้กองทุนบัตรทองที่มีขนาดกว่า 1.4 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้กลับใช้ในการซ่อมแซมสุขภาพไปถึง 1 แสนล้านบาท และถูกใช้ในการสร้างเสริมสุขภาพเพียง 4 หมื่นล้านบาท เป้าหมายสำคัญจึงเป็นการขยับสัดส่วนให้คนมีสุขภาพดีได้อย่างไร โดยอาศัยท้องถิ่นเป็นฐานซึ่งปัจจุบัน สปสช.มีกองทุนในส่วนนี้กว่า 4 พันล้านบาท
“สถานการณ์แบบนี้ให้เงินเท่าไหร่ก็ไม่พอ การดูแลแบบศูนย์สร้างสุขในชุมชน (community care center) อย่างน้อย ตำบลละ 1 แห่ง ติดเตียงเข้าระบบรักษา ส่วนติดบ้าน ติดสังคม คนในชุมชนช่วยกัน สร้างนักบริบาล กิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ สปสช.พร้อมที่จะหนุนเต็มที่”
นพ.อภิชาติ รอดสม
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2023/04/LINE_ALBUM_รูปงาน-Policy-Dialogue_๒๓๐๓๒๙_22_2-2-1024x683.jpg)
บุญเลิศ อันประเสริฐพร รองเลขาธิการกลุ่มงานปฏิบัติการ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวว่า กบข. เป็นกองทุนการออมที่ให้ข้าราชการ 1.2 ล้านคน มีส่วนร่วมในการออมได้สองส่วนคือ การออมภาคบังคับ 3% และการออมภาคสมัครใจ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างหลักประกันรายได้ที่มั่นคงหลังเกษียณ ส่งเสริมการออม จัดสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ให้กับสมาชิก ซึ่งภาพรวมในปัจจุบันมีข้าราชการเป็นสมาชิกทั่วประเทศรวม 1.2 ล้านคน และมีเงินในกองทุนกว่า 1.2 ล้านล้านบาท
โดยหัวใจสำคัญของการออมกับ กบข. คือ การสร้างผลตอบแทนให้กับข้าราชการ เมื่อเกษียณอายุราชการจะเพียงพอต่อการใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายได้อย่างไร เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อถือเป็นศัตรูของคนหลังเกษียณ ส่วนในเรื่องการส่งเสริมการออมภาคสมัครใจล่าสุดได้มีการแก้ไขกฎหมาย กบข. มีผลบังคับใช้ 20 มี.ค.66 ขยายเพดานการออมสูงสุดที่ 30% มีสมาชิกที่สนใจออมเพิ่มกว่า 20% ข้อสำคัญไม่ใช่แค่การขยายอายุเกษียณราชการแล้วก็จบ เพราะยังหมายถึงภาระงบประมาณที่จะจ่ายเป็นเงินเดือนก็มีมาก ในขณะเดียวกันข้าราชการที่อยู่ในตำแหน่ง การเข้า-เลื่อนตำแหน่ง อาจจะเกิดปัญหากระทบกันเป็นลูกโซ่ จึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ รวมถึงการสนับสนุนองค์ความรู้ในการออม และเลือกแผนลงทุนให้กับสมาชิก
“ปัจจุบันเรามีสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุเพื่อนำมาเป็นเงินยังชีพในแต่ละเดือน แต่กติกาต่าง ๆ ยังมีช่องโหว่อยู่ เช่น ผู้สูงอายุเอาบ้านที่ตัวเองอยู่ไปขอเงินกู้ คำถามคือลูก ๆ ที่รับผลประโยชน์ไม่เคยรู้มาก่อน ก็จะเป็นข้อพิพาทที่ตามมา หลักการสำคัญ จึงต้องสร้างให้เกิดความเป็นธรรมให้กับผู้กู้ และธนาคาร เพื่อให้เป็นกลไกที่จะอยู่ได้ยั่งยืน”
บุญเลิศ อันประเสริฐพร
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2023/04/S__26222675_11zon-1024x576.jpg)
ขณะที่ความท้ายทายในการปรับรูปแบบเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ตามข้อเสนอต่างๆ ที่นักวิชาการ ภาคประชาสังคม และบางพรรคการเมืองที่นำเสนอก่อนหน้านี้ บุษยา ใจสว่าง รองอธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวว่า ภายใต้ พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 นอกจากการกำหนดในเรื่องของกองทุนผู้สูงอายุ หรือเบี้ยยังชีพ เป็นสวัสดิการสำหรับผู้สูงวัยแล้ว กองทุนนี้ยังสนับสนุนการสร้างรายได้และการประกอบอาชีพ เนื่องจากมีผู้สูงอายุถึง 30% ที่มีศักยภาพและยังสามารถทำงานได้ โดยผู้สูงวัยเหล่านี้จะสามารถนำเงินจากกองทุนไปใช้ส่งเสริมการประกอบอาชีพได้ รายละไม่เกิน 3 หมื่นบาท รวมกลุ่มมากกว่า 5 คนขึ้นไป 1 แสนบาท ในรูปแบบปลอดดอกเบี้ยระยะเวลา 3 ปี และสนับสนุนองค์ความรู้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง รวมถึงศูนย์ดูแลและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ โครงการทุกขนาด ตั้งแต่ 5 หมื่น – 3 แสนบาท
แต่ภายใต้เนื้อหาของ พ.ร.บ. ตั้งแต่ปี 2546 มาถึงปัจจุบันอาจไม่ตอบโจทย์ ขณะนี้ทางกรมจึงอยู่ระหว่างการเสนอปรับปรุงร่าง พ.ร.บ. เพื่อสนับสนุนสิทธิ การมีงานทำ สวัสดิการ รายได้ต่าง ๆ รวมถึงปรับเบี้ยยังชีพ ที่จะเป็นประโยชน์กับผู้สูงวัยมากขึ้น
“เห็นด้วยกับพรรคการเมืองว่าผู้สูงอายุจำเป็นต้องสนับสนุนด้านรายได้ แต่อีกด้านคือการทำให้ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมจ่ายในการดูแลตัวเองได้ รวมถึงความเข้มแข็งของครอบครัว ที่จะเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างสังคมสูงอายุที่มีคุณภาพ”
บุษยา ใจสว่าง
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2023/04/LINE_ALBUM_รูปงาน-Policy-Dialogue_๒๓๐๓๒๙_66_8-1024x683.jpg)
กฤษดา สมประสงค์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) กล่าวว่า พอช. เป็นอีกหนึ่งกลไกของสวัสดิการที่รัฐจัดให้กับประชาชน ผ่านการสนับสนุนความเข้มแข็งในระดับชุมชนท้องถิ่นซึ่งเป็นฐานราก โดยหนึ่งในนั้นคือการเริ่มต้นจัดตั้งกองทุนสวัสดิการชุมชน ที่ปัจจุบันขยายจนมีสมาชิกรวมกันทั่วประเทศกว่า 6.2 ล้านคน มีเงินกองทุนรวมทั้งหมด 1.9 หมื่นล้านบาท จากเงินของประชาชนที่เก็บสมทบร่วมกันวันละ 1 บาท และถูกนำไปใช้จัดสวัสดิการของคนในชุมชน ดูแลร่วมกันตั้งแต่ครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน
ในวงเสวนายังมีตัวแทนพรรคการเมือง ซึ่งเวลานี้กำลังอยู่ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ร่วมแลกเปลี่ยนและนำเสนอนโยบายด้านหลักประกันรายได้ของผู้สูงอายุ
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2023/04/LINE_ALBUM_รูปงาน-Policy-Dialogue_๒๓๐๓๒๙_64_7-1024x683.jpg)
เดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวย Think Forward center พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ปัจจุบันเส้นความยากจนของไทยอยู่ที่ 6% หากขยับขึ้นเป็นเดือนละ 2,000 บาท สัดส่วนผู้สูงอายุยากจนจะเหลือ 2% ขึ้นเป็น 3,000 บาท จะเหลือ 1% ทำให้พรรคก้าวไกลเสนอตัวเลขที่ 3,000 บาท เมื่อคูณกับจำนวนผู้สูงอายุไทย 12 ล้านคน ภาระงบประมาณจะอยู่ที่ 4 แสนล้านบาทในแต่ละปี โดยยอมรับว่าต้องใช้เวลา 3-4 ปี ปีแรกขยับจาก 600 เป็น 1,500 บาท และ 2,000 -3,000 ตามลำดับ เพื่อไม่ให้กระทบกับความมั่นคงของการคลัง ส่วนผู้สูงอายที่เหลือ 1% คือ มีหนี้สินโดยเฉพาะจากภาคการเกษตร จำเป็นต้องหาวิธีการในการปลดหนี้ให้ได้ภายใน 4 ปี และผู้ป่วยติดบ้าน ติดเตียง เติมเงิน 9,000 บาทต่อเดือน เพียงพอสำหรับการจ้างนักบริบาล การดูแลระยะท้าย ทั้งหมดนี้จะนำงบประมาณจากภาระที่ไม่จำเป็น เพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บภาษีเดิม และภาษีใหม่ เข้ามาสบทบให้เกิดความมั่นคง
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2023/04/LINE_ALBUM_รูปงาน-Policy-Dialogue_๒๓๐๓๒๙_61_6-1024x683.jpg)
ปริเยศ อังกูรกิตติ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ พรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า การมองเห็นเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเป็นช่องทางเดียวของรายได้ด้วยการเพิ่มเงินอาจไม่ใช่คำตอบของปัญหาทั้งหมด หากสนับสนุนให้ผู้สูงอายุสร้างรายได้อย่างเป็นระบบจะสร้างให้เกิดความมั่นคงในชีวิต พรรคไทยสร้างไทย เสนอบำนาญแห่งชาติ 3,000 บาท ซึ่งถือเป็นช่วงประคับประคองช่วงเริ่มต้น มีเครดิตประชาชน สามารถกู้เงินได้ 5,000 – 50,000 บาท พอต่อยอดธุรกิจหรือทำกิจการเล็ก ๆ ในชุมชนได้ การออมให้เข้ากับบริบท เช่น หวยบำเหน็จ การลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพด้วยบัตร 30 บาทพลัส ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปโรงพยาบาล มีศูนย์สุขภาพ ศูนย์เด็กเล็กใกล้บ้าน เพื่อให้ผู้สูงอายุมีส่วนร่วมในชุมชน
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2023/04/LINE_ALBUM_รูปงาน-Policy-Dialogue_๒๓๐๓๒๙_51_5-1024x683.jpg)
มโนชัย สุดจิตร สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ทางพรรคเสนอแนวทางปฎิรูประบบประกันสังคม สอดคล้องกับบริบทการทำงาน และแหล่งรายได้หลักของประชาชนในปัจจุบัน ให้ระบบรักษาพยาบาล สวัสดิการทางสังคม ของทั้งแรงงานในระบบ นอกระบบ มีความเท่าเทียมกัน ด้วยการโอนภาระด้านค่ารักษาพยาบาลให้กับ สปสช. ทั้งหมด และให้ประกันสังคมดูเรื่องสวัสดิการทางสังคม และนำเงินที่ส่งประกันสังคมเป็นเงินออมเมื่อชราภาพ โดยช่วงแรกจะใช้งบประมาณจากการถ่ายโอนงบประมาณ ส่วนระยะยาวจะใช้วิธีเพิ่มภาษีด้านการบริโภค เช่น จาก 7% เป็น 10% ร่วมจ่ายเพื่อดูแลด้านสุขภาพและสวัสดิการสังคม
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2023/04/LINE_ALBUM_รูปงาน-Policy-Dialogue_๒๓๐๓๒๙_42_4-1024x683.jpg)
การสร้างหลักประกันรายได้ให้กับผู้สูงอายุ กำลังเป็นนโยบายที่เกือบทุกพรรคการเมืองใช้เป็นแคมเพนช่วงหาเสียง ไม่ว่าจะเป็นการขยายเบี้ยยังชีพ การสร้างบำนาญถ้วนหน้า หวยบำเหน็จ ฯลฯ แต่คำถามสำคัญ คือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความพร้อมในการขับเคลื่อนนโยบายเหล่านี้หรือไม่ และนโยบายที่ถูกนำเสนอออกมามากมายนั้นจะนำงบประมาณมาจากส่วนใด เรื่องนี้ฝ่ายนโยบายของแต่ละพรรคการเมืองจะเป็นผู้นำคำตอบมาให้กับประชาชน บนเวทีนโยบายพรรคการเมืองที่ สช. เตรียมจะจัดขึ้นในช่วงปลายเดือน เม.ย.66 เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตันสินใจในโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง