ฟังเสียงเพลงของ ‘ชาติพันธุ์’ เปิดใจยอมรับการมีตัวตนของพวกเขาในสังคม

เช็กชื่อ ‘ศิลปิน’ นับถอยหลังสู่งาน “เสียงชาติพันธุ์ ลือลั่นทั่วสยาม”

“เสียงเพลงของชาติพันธุ์มีอยู่ตลอดแต่เรากลับไม่เคยได้ยิน ท่วงทำนองที่เราไม่คุ้นหูไม่ได้แปลว่าเป็นเพลงที่ไม่เพราะ

การลองเปิดใจฟังบทเพลงของพวกเขา มันเหมือนเปิดใจยอมรับว่า พวกเขายังมีตัวตนอยู่ในสังคมไทย”

อภินันท์ ธรรมเสนา ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)

สำหรับงาน “เสียงชาติพันธุ์ ลือลั่นทั่วสยาม” ที่กำลังจะมาถึงนี้เป็นการรวมตัวครั้งใหญ่ของศิลปินชาติพันธุ์จากทั่วประเทศไทยมาจับคู่ร่วมกับศิลปินรุ่นใหม่ แล้วเล่นให้ฟังกันแบบสด ๆ กลางลานสยามสแควร์ ไม่ว่าจะเป็นศิลปินชาติพันธุ์อย่าง อาจารย์ชิ สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์ วงดนตรีพื้นบ้านลีซู Yoov Muas (โหย่งหมัว) วงดาราอั้ง และ คณะพรสวรรค์ ภูเก็ต รำร็องเง็ง

จับคู่กับศิลปินรุ่นใหม่อย่าง NIMMAN Street Orchestra และ Sir Popa กับ Jayrun 2 แร๊พเปอร์แห่งยุค TUSO วงดุริยางค์ซิมโฟนีธรรมศาสตร์  Proud วง cover ขวัญใจคนรุ่นใหม่ และ Queen on Steet ราชินีท้องถนนภูเก็ต ศิลปินรุ่นใหม่สายสตรีท 

The Active ขอชวนไปทำความรู้จักกับเหล่าศิลปินชาติพันธุ์และที่มาของการจัดงานนี้

“เวลาเราพูดถึงดนตรีชาติพันธุ์ คนอาจติดภาพจำว่า ดนตรีของชนเผ่าคือเพลงแบบจารีต ต้องเป็นดนตรีพื้นบ้านดูเชย เก่า ล้าหลัง แต่จริง ๆ แล้วภาษาดนตรีมันคือภาษาสากล ดนตรีแบบพื้นบ้านก็นำมาประยุกต์เล่นกับดนตรีสมัยใหม่ได้แม้กระทั่งกับวงออเคสตรา”

อภินันท์ ธรรมเสนา ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารสังคมและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เล่าให้เราฟังถึงที่มาของการจัดงานเราอยากให้เห็นว่าการนำดนตรีที่แตกต่างกันมาเล่นด้วยกัน มันเกิดเป็นบทเพลงเพราะ ๆ ได้ เหมือนกับที่บทเพลงหนี่งจะเกิดขึ้นได้ มันต้องมาจากเครื่องดนตรีหลายตัว ไม่ต่างจากในสังคมที่มีคนแตกต่างหลากหลาย แต่ถ้าหากเข้าใจกันก็ไม่เป็นอุปสรรคในการอยู่ร่วมกัน และนี่เป็นความงดงามและต้นทุนทางวัฒนธรรมที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้

“หลังจากที่ร่าง พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ฉบับแรกผ่านสภาฯ เราเลยอยากสื่อสารให้สังคมรับรู้ว่าตอนนี้บ้านเรามีกฎหมายชาติพันธุ์แล้ว เราอยากสื่อสารออกไปว่ากลุ่มชาติพันธุ์เขามีปัญหาเหมือนภาพจำของคนทั่วไป แต่เขามีศักยภาพและมีชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป แต่ไม่ได้อยากให้ดูเชย น่าเบื่อ การใช้เสียงดนตรี จึงเป็นสิ่งที่น่าจะเชื่อมกับคนรุ่นใหม่ได้”

สำหรับทั้งศิลปินชาติพันธุ์และศิลปินรุ่นใหม่จะใช้วิธีการจับคู่กันเอง โดยเริ่มจากการให้แต่ละวงฟังเพลงวงอื่น เมื่อเลือกได้แล้วว่าสนใจหรืออยากเล่นร่วมกับวงไหนก็จะมาซ้อมด้วยกัน จนเกิดเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้นึกคิดกันผ่านสิ่งที่เรียกว่า “ภาษาดนตรี”

อาจารย์ชิ สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์ – ศิลปินปกาเกอะญอ ผู้พาเสียงเตหน่ากู ดังไกลทั่วโลก 

ศิลปินพื้นบ้านปกาเกอะญอ ที่เคยพา ‘เตหน่ากู’ เครื่องดนตรีพื้นบ้านที่เคยได้ออกบรรเลงขับขานให้ผู้คนได้รู้จักมาแล้วทั่วโลกกับเรื่องเล่าวิถีคนกับป่า อาจารย์ชิเป็นนักดนตรีผู้ใช้ภาษาแม่ได้ยอดเยี่ยมและเป็นผู้ขับเคลื่อนสังคม ไม่ว่าจะเป็น ผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิภูมิปัญญาชาติพันธุ์ หรือโปรเจกต์ข้าวแลกปลา ที่เชื่อมระหว่างชาวเลราไวย์กับชาวปกาเกอะญอในการแลกเปลี่ยนผลผลิตข้าวกับปลาเพื่อแก้วิกฤตอาหารในช่วงการระบาดของโควิด-19

ผศ.ดร.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์
ศิลปินปกาเกอะญอ กับ “เตหน่ากู”

ปัจจุบัน อาจารย์ชิ เป็นอาจารย์ประจำวิทยาลัยโพธิวิชชาลัย สาขาการจัดการภูมิวัฒนธรรม อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ นักเขียน คอลัมนิสต์ ที่เดินทางบรรยายและถ่ายทอดวิถีชีวิตชาวปกาเกอะญอในหลากหลายมิติมาแล้วทั่วประเทศ

วงดนตรีพื้นบ้านลีซู

บทเพลงจะมีความโดดเด่นเรื่องวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของหนุ่มสาวชาวลีซู ผสานกับอัตลักษณ์การแต่งการและเครื่องดนตรีอย่าง “ซือบือ” ที่เป็นเอกลักษณ์ของชนเผ่าลีซู ผ่านการถ่ายทอดของ พ่อครู “อะหมี่มะ” และแม่ครู “อาหลู” สองผู้เฒ่าปราชญ์ดนตรีลีซูพื้นบ้านวัย 60 ปี ที่จะเดินทางมาพร้อมกับผู้สืบทอดรุ่นใหม่

พ่อครู “อะหมี่มะ” และ แม่ครู “อาหลู” กับคนรุ่นใหม่
ผู้สืบทอดตำนานเพลงพื้นบ้านแห่งวงดนตรีพื้นบ้านลีซู

Yoov Muas (โหย่งหมัว)

ศิลปินป๊อปชาวม้ง รุ่นใหม่ ที่กำลังมาแรงที่สุด ด้วยเพลง LUB NEEJ PLUAG มียอดเข้าชมกว่า 1.4 ล้านครั้ง โหย่งหมัว มักถ่ายทอดเรื่องราวของความรักและความเจ็บปวดของคนหนุ่มสาวผ่านการใช้ชีวิตประจำวัน และด้วยลีลาการร้องเพลงที่บาดลึกพร้อม และเมื่อขึ้นเวทีครั้งใด เขามักปรากฏตัวพร้อมชุดชนเผ่าม้ง โดยเฉพาะในเชียงใหม่จนทำให้กลายเป็นขวัญใจของคนหนุ่มสาวตอนนี้

Yoov Muas (โหย่งหมัว)
ศิลปินม้ง ขวัญใจวัยรุ่น

วงดาราอั้ง

วงดาราอัง โดดเด่นด้วยบทเพลงที่ถ่ายทอดเรื่องราวการอพยพ การกดขี่ ขับไล่ออกจากพื้นที่ของบรรพบุรุษ ผ่านเครื่องดนตรีพื้นบ้านอย่าง “ติ่ง” มีลักษณะคล้ายซึ้งของภาคเหนือ ผสมผสานกับพิณของภาคอีสาน

วงดาราอั้ง

คณะพรรสวรรค์ ภูเก็ต รำร็องเง็ง

กลุ่มเด็กรุ่นใหม่ 12 คน ที่สืบบทอดขนบดนตรีแบบชาว “อูรักลาโว้ย” จนกลายเป็นตำนานของเมืองภูเก็ต เล่าเรื่องราวของวิถีชาวเลผ่านภาษาไทยและยาวี ร่ายรำด้วยจังหวะร๊องแง็งของภาคใต้ ขอกระซิบบอกว่าวงนี้จะอยู่เป็นวงสุดท้ายให้และให้ผู้เขาชมได้ปล่อยจอย ร่ายรำไปกับคณะพรสวรรค์จนบจบงานด้วย

“เราให้ความหมายของชื่องาน ‘เสียงชาติพันธุ์ ลือลั่นทั่วสยาม’ ว่าเป็น ‘เสียง’ สะท้อนออกมาจากกลุ่มชาติพันธุ์ ให้ผู้คนรับรู้การมีตัวตนอยู่ของพวกเขาในสังคม ส่วน ‘ลือลั่นทั่วสยาม’ เราไม่ได้เหมือนถึงแค่สยามสแควร์ที่จัดงานเท่านั้น แต่หมายถึงสยามประเทศ เราอยากส่งให้เสียงของพวกเขาให้ได้ยินไปถึงทุกคน” 

อภินันท์ ทิ้งท้าย

มาร้องเล่นเต้นรำ และปล่อยให้ “เสียงของชาติพันธุ์ ลือลั่นไปทั่วสยาม” ไปด้วยกัน ที่กลางสยามสแควร์ (ลาน Block i) วันที่ 16-17 มีนาคม 2567 ตั้งแต่ 4 โมงเย็นเป็นต้นไป หรือติดตามบรรยากาศงานได้ทางเพจ The Active และ Thai PBS