แผ่นดินไหวครั้งนั้น จัดว่าเป็นแผ่นดินไหวตื้น ที่ประชาชนรู้สึกสั่นไหวได้ในหลายพื้นที่ของภาคเหนือโดยเฉพาะบริเวณ จ.เชียงราย, เชียงใหม่, ลำพูน, ลำปาง, น่าน, พะเยา รวมถึง เลย และหนองคาย ทางภาคอีสาน
อาคารสูงในกรุงเทพมหานคร ก็รู้สึกสั่นไหวหลายแห่งเนื่องจากใต้พื้นดินกรุงเทพฯ เป็นชั้นดินอ่อนซึ่งมีคุณลักษณะในการขยายแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวได้เพิ่มขึ้นถึง 3-4 เท่า
เหตุการณ์ภัยพิบัติแผ่นดินไหวที่เชียงราย มีผู้เสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บนับร้อย แต่พบความเสียหายเกิดขึ้นแก่บ้านเรือน และสิ่งปลูกสร้างเป็นจำนวนมาก ในบริเวณกว้าง มีผลกระทบถึง 72 จังหวัด เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพพื้นดินต่าง ๆ เช่น รอยแยกของพื้นดิน, หลุมยุบ และ น้ำผุดขึ้นมากจากบ่อน้ำผิวดิน
ขณะเดียวกันมี Aftershock กระจายตัวหลายบริเวณในเขต อ.แม่ลาว, พาน, แม่สรวย และ อ.เมืองเชียงราย ครอบคลุมพื้นที่เป็นบริเวณกว้างตลอดแนวรอยเลื่อนพะเยา จากข้อมูลพบว่ามีAftershock รวมถึง 1,285 ครั้ง (รายงานครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2557 เวลา 09.00 น.) ขนาด 5.0 – 5.9 จำนวน 8 ครั้ง, ขนาด 4.0 – 4.9 จำนวน 44 ครั้ง, ขนาด 3.0 – 3.9 จำนวน 223 ครั้ง และ ขนาดน้อยกว่า 3.0 จำนวนมากกว่า 1,010 ครั้ง
เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เชียงราย ไม่เพียงติดอยู่ในความทรงจำของผู้ได้รับผลกระทบในหลายพื้นที่ แต่ยังทำให้เกิดคำถามเกิดขึ้นด้วยว่า แรงสั้นสะเทือนจากแผ่นดินไหวครั้งนั้น ผ่านมา 10 ปีเต็ม ๆ ได้ทำให้ผู้คนทั้งสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกิดความตื่นตัว และพยายามหาแนวทางรับมือภัยพิบัติลักษณะนี้กันบ้างหรือไม่ ?
คำถามที่เกิดขึ้น The Active ชวน ‘ศ.เป็นหนึ่ง วานิชชัย’ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ วิเคราะห์บทเรียนแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในบ้านเรา โดยหากย้อนไปประมาณ 30-40 ปีก่อน ไทยก็เริ่มตระหนักเรื่องภัยแผ่นดินไหวแล้ว แต่ตอนนั้นยังไม่มีมาตรการเตรียมพร้อมรับมืออะไร ในช่วงนั้นพอเกิดแผ่นดินไหวขนาด 5 ที่ อ.พาน จ.เชียงราย และในหลายพื้นที่ ซึ่งก็บังเอิญเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่นด้วย
งานวิจัยที่รวบรวมข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยา และข้อมูลรอยเลื่อนต่าง ๆ มาจัดทำแผนที่แผ่นดินไหว แผนที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหวในระดับสากล ทำให้พบว่า จริง ๆ แล้ว เมืองไทยมีความเสี่ยงแผ่นดินไหวอยู่ในระดับน่าเป็นห่วง ในบางพื้นที่ เช่น ภาคเหนือ จนนำไปสู่การมีกฎหมายควบคุมออกแบบอาคาร ต้านทานแผ่นดินไหวขึ้นมาเป็นครั้งแรก
จุดเริ่มไทยตระหนักภัยแผ่นดินไหว แต่ในทางปฏิบัติยังเป็นคำถาม
ศ.เป็นหนึ่ง ระบุว่า เมื่อประมาณปี 2540 เป็นช่วงแรก ๆ ที่ไทยเริ่มมีการตระหนัก หรือมี Action เตรียมพร้อมรับมือแผ่นดินไหวแต่กฎหมายในช่วงแรก ๆ ยังไม่ค่อยมีความเข้าใจ คนส่วนใหญ่ยังไม่มีความเข้าใจเรื่องแผ่นดินไหวเท่าไร วิศวกร สถาปนิกต่าง ๆ ก็ยังไม่ค่อยพร้อม เพราะฉะนั้นกฎหมายในช่วงแรก ๆ ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงมาก บังคับให้ออกแบบอาคารที่เป็นอาคารสาธารณะ อาคารที่เก็บวัสดุอันตราย หรือถ้าเป็นอาคารทั่วไปก็ต้องใหญ่หน่อย ประมาณ 15 เมตรขึ้นไป แต่คลุมประเภทอาคารค่อนข้างน้อย เพราะอาคารทั่ว ๆ ไปก็สูงไม่ถึง 15 เมตร กฎหมายช่วงนั้นจึงบังคับใช้เพียงแค่ 10 จังหวัด ภาคเหนือรวมทั้ง กาญจนบุรี ก่อนที่คนทั้งประเทศต้องกลับมาตื่นตัวกับภัยพิบัตินี้มากขึ้น หลังเกิดเหตุการณ์สึนามิที่จังหวัดชายฝั่งอันดามัน
แผ่นดินไหว – สึนามิ กับความตื่นตัวรับมือ
แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในทะเลอันดามัน จนเกิดคลื่นยักษ์สึนามิซัดถล่มหลายประเทศ รวมถึงจังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามัน ในช่วงปลายปี 2547 มีผู้เสียชีวิตเกิน 8,000 คน ทั้งคนไทย นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
ในเวลานั้นสังคมก็หันกลับมาใส่ใจเหตุการณ์แผ่นดินไหวกันอีกครั้ง แม้ว่าแผ่นดินไหวไม่ได้เกิดในประเทศ แต่ก็ทำให้เห็นชัดเจนว่าสามารถส่งผลกระทบมาถึงยังประเทศไทยได้ หรือแม้แต่ในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร บนตึกสูงก็สามารถรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนได้เช่นกัน
ก่อนหน้านั้นมีงานวิจัยชี้ว่า กรุงเทพฯ ตั้งอยู่บนแอ่งดินอ่อน ที่สามารถขยายความรุนแรงได้ ขณะที่การสั่นสะเทือนที่สามารถขยายความรุนแรงด้วยแอ่งดิน มีผลกระทบต่อตึกสูงมากเป็นพิเศษ ก็เลยปรับปรุงกฎกระทรวงพื้นที่กรุงเทพฯ รวมปริมณฑล เข้าไปด้วยในพื้นที่ควบคุม
จากนั้นก็มีการพัฒนาต่อเนื่องเข้ามา จนจัดทำมาตรฐานวิชาชีพทางวิศวกรรมว่าจะต้องออกแบบ สร้างอาคาร ก็มีการจัดทำขึ้นมาในช่วงนั้น
1 ทศวรรษ…จากแผ่นดินไหวแม่ลาว อะไรเปลี่ยนไป ?
เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่แม่ลาว จ.เชียงราย ขนาด 6.3 ในมุมมองของ ศ.เป็นหนึ่ง เชื่อว่าเป็นอีกจุดเปลี่ยนของการตื่นตัวเหตุแผ่นดินไหว เมื่อ 10 ปีก่อน พื้นที่เกิดเหตุมีประชารกรไม่ค่อยหนาแน่น มีอาคารเล็ก ๆ อยู่มาก และห่างจากตัวเมืองเชียงรายพอสมควร แต่ว่าแผ่นดินไหวก็ทำให้อาคารเสียหาย มากกว่า 10,000 หลัง มีอาคารที่อันตรายที่ได้รับความเสียหายประมาณ 400-500 หลัง ที่พังถล่มลงมาให้เห็นก็ประมาณ 20-30 หลัง
เหตุการณ์แผ่นดินไหว ขนาด 6 ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดได้ยาก ศ.เป็นหนึ่ง ให้ข้อมูลว่า ในประเทศเมียนมา ในประเทศลาว ก็เกิดแผ่นดินไหวอยู่บ่อยครั้ง และมีตำแหน่งอยู่ใกล้ ๆ พรมแดนไทยบ่อยพอสมควร และถ้าดูย้อนกลับไปอีก จะพบว่า ปี 2478 มีแผ่นดินไหวขนาด 6.5 ที่ จ. น่าน, ในวันที่ 24 มี.ค.2554 เกิดที่เมียนมา ใกล้ จ.เชียงราย และก็เหตุการณ์เมื่อวันที่ 5 พ.ค.2557 ที่ อ.แม่ลาว จ.เชียงราย ขนาด 6.3
“หากดูข้อมูลธรณีวิทยา จะยิ่งชัดเจนว่า ไทยมีรอยเลื่อนในบริเวณภาคเหนือ และ จ.กาญจนบุรี หลายรอยเลื่อน อาจมีความสามารถทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.5 ไปจนถึง 7.5 ได้ หมายความว่าในพื้นที่ของเรามีศักยภาพที่จะทำให้เกิดแผ่นดินไหวมากกว่าพื้นที่เชียงรายก็เป็นไปได้”
ศ.เป็นหนึ่ง วานิชชัย
แผ่นดินไหวใหญ่ ๆ พลังงานที่ยากจะคาดเดา
ถึงแม้รอยเลื่อนต่าง ๆ มีศักยภาพ แต่มันก็ต้องใช้เวลาสะสมพลังงานเป็นเวลานานหลายร้อยหลายพันปี ซึ่งอาจจจะได้เจอทุก ๆ 200 ปี 300 ปี สักครั้ง เพียงแต่เราไม่รู้ว่าจะไปเกิดที่ไหน มันอาจจะไปเกิดที่เชียงราย, เชียงใหม่, ลำปาง, น่าน คาดเดาได้ยาก เพราะไม่สามารถพยากรณ์ได้ว่าแผ่นดินไหวจะเกิดเวลาใด แต่ถ้าในภาพรวมพื้นที่ภาคเหนือ และฝั่งตะวันตกของไทย มีความเสี่ยงชัดเจน แต่การเตรียมพร้อมรับมือของเรายังดีไม่พอ
“เหตุการณ์แผ่นดินไหวแม่ลาว จ.เชียงราย เป็นเหตุการณ์ที่เปลี่ยนความรู้สึกคนจากความคิดที่ว่าแผ่นดินไหวเป็นเรื่องไกลตัวทำให้เขาคิดว่าเป็นเรื่องภัยพิบัติจริง ๆ และเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้สำหรับการเป็นนักวิจัยเนี่ยส่วนใหญ่ตอนที่ผมทำงานวิจัยเนี่ยจะมีคำถามมาตลอดว่าทำไปทำไมแต่พอเกิดแผ่นดินไหวที่เชียงรายขึ้น ก็ไม่มีคำถามแบบนี้อีกแล้ว ทำให้คนที่เกี่ยวข้องเข้าใจแล้วว่ามันมีความสำคัญที่จะต้องเตรียมพร้อมรับมือ”
ศ.เป็นหนึ่ง วานิชชัย
สำหรับนักวิจัยด้านแผ่นดินไหว จริง ๆ รู้มานานแล้วว่าพื้นที่ของไทยมีความเสี่ยง เพียงแต่ยังไม่มีตัวอย่างให้คนทั่วไปเห็นชัด ๆ ซึ่งแผ่นดินไหวแม่ลาวครั้งนั้น ทำให้คนเห็นชัด และโชคดีที่ไม่ได้เกิดในพื้นที่ที่เป็นเมืองใหญ่ ๆ
อย่างในต่างประเทศแผ่นดินไหว ขนาด 6 คล้าย ๆ กับที่เกิดในแม่ลาว จ.เชียงราย ก็เคยเกิดในเมืองใหญ่ ๆ เช่นกัน อย่างที่เมืองจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ครั้งนั้นมีคนเสียชีวิตไปประมาณ 5,000 คน เพราะเกิดในพื้นที่ประชาการหนาแน่น และมีอาคารบ้านเรือนมากมายจึงทำให้สร้างผลกระทบภัยพิบัติที่ร้ายแรงได้ เพราะฉะนั้นเรื่องที่จำเป็นที่ประชาชนควรจะต้องรู้ไว้คือการเตรียมพร้อมรับมือ ไม่ใช่รอให้มันเกิดก่อน แล้วค่อยไปให้ความช่วยเหลือ
แก้กฎหมายควบคุมอาคาร บทเรียนป้องกัน รับมือแผ่นดินไหว ?
กลับมาที่บ้านเรา กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ได้ปรับปรุงกฎหมายควบคุมอาคารให้เข้มงวดมากขึ้น ครอบคลุมพื้นที่ประกาศใช้มากกว่า 40 จังหวัดทั่วประเทศ
“ให้ลดวามสูงของอาคารจาก 15 เมตร เป็น 3 ชั้นขึ้นไปจะคุมอาการได้อีกเยอะเลย ความจริงตามความเห็นผม อยากให้ควบคุมทุกอาคารด้วย แต่ก็มีข้อจำกัดบางอย่าง ทำให้เขาลดมาได้ขนาดนี้ นี่อาจจะดีที่สุดเท่าที่ทำได้จนถึงตอนนี้”
ศ.เป็นหนึ่ง วานิชชัย
ดังนั้น ศ.เป็นหนึ่ง มองว่า อนาคตต้องทำให้ดีขึ้น อาคารที่สร้างมาในอดีต ก็อาจมีความเสี่ยงปัจจุบันอาคารอ่อนแอมีเยอะในพื้นที่เสี่ยงภัยและยังใช้กันอยู่ เช่น อาคารโรงเรียน อาคารโรงพยาบาล อาคารบ้านเรือนต่าง ๆ ที่ไม่ได้ออกแบบต้านทานแผ่นดินไหว อย่างโรงเรียนดูง่าย ๆ อาคารที่มี 2 ชั้น 3 ชั้น ที่ด้านบนเป็นห้องเรียนชั้นล่างเปิดโล่งเพื่อใช้ทำกิจกรรม มีแต่เสา ไม่มีกำแพงอาคารเหล่านั้นบอกได้ชัดเจนว่า อาคารอ่อนแอ และมีเยอะในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคอื่นๆ ด้วยก็มีอาคารเหล่านี้เต็มไปหมด หากเกิดแผ่นดินไหวอาคารเหล่านี้จะเป็นกลุ่มแรกที่จะพัง เพราฉะนั้นสิ่งที่ควรทำมาก ๆ คือการไปเสริมกำลังอาคารที่อ่อนแอที่เรายังใช้งานอยู่ ทำให้แข็งแรงขึ้น
สำหรับวิธีการเสริมกำลังให้อาคารแข็งแรงก็มีแนวทางทำได้หลายรูปแบบ เช่น การเสริมด้วยโคงสร้างเหล็ก, การเสริมขนาดเสา เรียกว่า Column Jacketing นี่อาจเป็นเรื่องใหม่สำหรับประเทศไทย แต่ไม่ได้ใหม่สำหรับหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น หรือ ไต้หวัน ก็ทำกันเยอะ
ปัจจุบันทีมนักวิจัยได้ทดลองไปเสริมกำลังอาคารโรงเรียน ตอนนี้ทำได้ 7 หลัง ตามนักวิจัยจากต่างประเทศ จริง ๆ ก็นำความรู้ความชำนาญเขามาปรับใช่ในประเทศเราจนทำให้เราเสริมกำลังเป็นตัวอย่างให้ดู ก็หวังว่าในอนาคตจะมีคนนำเทคนิคพวกนี้ไปเสริมกำลังมากขึ้น แต่ที่ทำการทดลองมา การเสริมกำลังมีค่าใช้จ่ายราว 10%-15% ของค่าใช้จ่ายอาคารใหม่ หมายถึง ถ้ามีเงินก้อนหนึ่งเพื่อสร้างอาคารใหม่ 1 หลัง ก็ใช้เงินก้อนเดียวกัน ไปเสริมอาคารได้ 5-10 หลังก็เป็นวิธีที่น่าจะมีประสิทธิภาพ อาจใช้งบฯ ไม่มาก แต่สร้างความแข็งแรงให้กับอาคารได้จำนวนมาก
นอกจากนี้นักวิจัยไทย ก็ติดตั้งเครื่องวัดแรงสั่นสะเทือนในอาคารสูงที่เชียงใหม่ เชียงราย ที่เรียกว่าเครื่องมือตรวจวัดสุขภาพอาคาร พอติดวัดอุปกรณ์เหล่านี้ เวลาเกิดแผ่นดินไหวขึ้นสามารถวัดได้ว่าแรงสั่นสะเทือนแรงแค่ไหน แล้วจากการวัดสามารถนำไปวิเคราะห์ต่อว่า อาคารจะเสียหายมากน้อยแค่ไหน อาคารนี้ยังปลอดภัยหรือไม่ ปัจจุบันนี้ได้ทดลองไปแล้ว ที่เชียงใหม่ 1 แห่ง ที่เชียงราย 1 แห่ง
“นักวิจัยพยายามรวมทีมที่เรียกว่านักวิจัยและก็ทำงานไปด้วยกันเป็นระยะเวลามากกว่า 20 ปีแล้ว และได้รับการสนับสนุนได้รับทุนวิจัยจากภาครัฐมาโดยตลอด ล่าสุดก็ได้สร้างศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติขึ้นมามีนักวิจัย 20-30 คนเป็นแกนหลักและมีมาเสริมเติม ขณะนี้มี 50 คนแล้ว เป็นกลุ่มที่มีความรู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับแผ่นดินไหว ที่มีความรู้ความเข้าใจในหลาย ๆ เรื่อง”
ศ.เป็นหนึ่ง วานิชชัย
มองความเสี่ยงคนกรุง กับโอกาสเกิดแผ่นดินไหว
ศ.เป็นหนึ่ง ยกตัวอย่างงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงภัยของอาคารสูงที่อยู่ในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี 2526 เกิดแผ่นดินไหว จ. กาญจนบุรี ขนาด 5.9 ตอนนั้นกรุงเทพฯ ยังมีอาคารสูงไม่กี่หลัง แต่ก็ยังโยกกันอย่างรุนแรงจนกระทั่งคนเริ่มเป็นห่วงว่าอาคารสูงในกรุงเทพฯ ออกแบบเพื่อแผ่นดินไหวหรือไม่ ? จากนั้นมาก็พัฒนากรุงเทพฯ มากขึ้น สร้างตึกสูงมากขึ้น มีแผ่นดินไหวมาเขย่าตึกสูงในกรุงเทพฯ เป็นระยะ ๆ ก็ยังไม่รุนแรงมาก แต่ก็ทำให้ผู้คนพากันตกใจ
“ที่จริงก็มีการศึกษากันมาตลอดเราก็พบว่าพื้นที่กรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ค่อนข้างจะพิเศษ คือมีสภาพทางธรณีวิทยาที่ค่อนข้างจะพิเศษอยู่คือมีแอ่งดินอ่อนที่ลึกมาก แอ่งดินลึกสักประมาณ 800 เมตร เป็นแอ่งใหญ่มาก กว้างสักประมาณ 200 กิโลเมตรเหนือถึงใต้ 150 กิโลเมตร เป็นแอ่งที่คลอบคลุมหลาย ๆ จังหวัด ไม่ใช่เฉพาะกรุงเทพฯ นะ รวมทั้งจังหวัดใกล้เคียงปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม นครนายก”
“โดยพบว่าแอ่งนี้มันขยายความรุนแรงของแผ่นดินไหวได้ 3-4 เท่า นอกจากขยายได้ยังไม่พอ มันยังเปลี่ยนการสั่นสะเทือนให้เป็นการสั่นสะเทือนอย่างช้า ๆ ให้มันเป็นการสั่นสะเทือนตามจังหวะการโยกเตือนของแอ่ง การสั่นสะเทือนแบบโยกช้า ๆ มันไปโยกอาคารสูง ๆ มันไม่ค่อยมีผลต่ออาคารเล็ก ๆ เช่น ตึกแถวบ้านเรือนมันไม่ค่อยมีผลกระทบเท่าไหร่แต่จะไปมีผลต่ออาคารที่สูง ที่โยกช้า ๆ เราคำนวณไปมาประเมินได้ว่าในกรุงเทพฯ อาจส่งผลร้ายแรงต่ออาคารสูง ๆ ได้”
ศ.เป็นหนึ่ง วานิชชัย
แต่ผลกระทบจากแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ไม่ต้องเกิดใกล้กรุงเทพฯ แม้ว่าเกิดไกล ๆ หน่อยก็ส่งผลกระทบมาถึงกรุงเทพฯ เช่น ถ้ามีแผ่นดินไหวขนาด 7-7.5 ที่ กาญจนบุรี ซึ่งเหตุการณ์นี้ยังไม่เคยเกิด แต่ก็มีโอกาสเกิดได้ เพราะว่ามีรอยเลื่อนขนาดใหญ่อยู่ใน จ.กาญจนบุรีหรือ เหตุการณ์ต่อมา แผ่นดินไหวขนาด 8 ที่รอยเลื่อนสกาย เมียนมา อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 400 กิโลเมตร ก็จะส่งผลกระทบถึงกรุงเทพฯ ได้ หรืออาจจะเกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.5-9 ที่แนวมุดตัวในทะเลอันดามัน อาจมีผลกระทบมายังกรุงเทพฯ ได้เช่นกัน
“เหตุการณ์ที่ยกมานี้ ย้ำว่ายังไม่เคยเกิดขึ้น แต่มีศักยภาพที่จะเกิดขึ้นได้ เหตุการณ์พวกนี้อาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่ออาคารสูงในกรุงเทพฯ ผลงานวิจัยเหล่านี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง เช่น การปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เราได้ออกแบบอาคารรุ่นใหม่ให้มีความแข็งแรง ทนทาน ความจริงยังมีงานวิจัยที่บอกว่า เราต้องออกแบบอาคารสูงอย่างไรให้ถูกต้องด้วย ต้องพัฒนาวิธีใหม่ ๆ ที่ดีขึ้นที่มันสามารถตรวจสอบความปลอดภัยได้มากขึ้น”
ศ.เป็นหนึ่ง วานิชชัย
แต่ว่ารายละเอียดในการออกแบบ ว่าจะต้องออกแบบอย่างไร ? การขึ้น การสั่นสะเทือนอย่างไร ? การคำนวณแรงสั่นสะเทือน มีผลต่ออาคารอย่างไร ? จะต้องวิเคราะห์อย่างไร ? ที่ไปอยู่ในมาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานแผ่นดินไหวของกรมโยธาธิการและผังเมือง เรียกเป็นรหัสว่า มยผ. 1302 ตัวนี้ มาตรฐานนี้ออกมาตั้งแต่ปี 2552 ปรับปรุงปี 2561 ปัจจุบันมีข้อมูลที่สมบูรณ์อยู่ในนั้น สำหรับในกรุงเทพมหานครเอง มีเทียบสัดส่วน มีอาคารใหม่ 30% นอกนั้นเป็นอาคารเก่า
“ในสายตาผมนะผมคิดว่าการเตรียมพร้อมรับมือกับแผ่นดินไหวของเรายังดีไม่พอ ถึงแม้เราจะมีกฎหมายควบคุมอาคารแล้ว
ศ.เป็นหนึ่ง วานิชชัย ทิ้งท้าย
ถึงแม้เราจะมีมาตราฐานแล้ว แต่ยังมีอาคารอ่อนแอที่สร้างไปแล้วยังเสี่ยงสูง ดังนั้นจึงควรที่จะได้รับการพิจารณาเสริมกำลังให้มันแข็งแรงขึ้น ที่เรายังใช้งานอยู่การออกแบบอาคารรุ่นใหม่ให้แข็งแรง ก็เป็นเรื่องสำคัญแต่ก็รู้สึกว่า ผู้เกี่ยวข้องยังให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้น้อยไปหน่อย มันคงต้องมีมาตรการที่เข้มงวดขึ้นในการทำให้อาคารรุ่นใหม่ทำได้ตามมาตราฐานที่ถูกต้องจริง ๆ
จะทำให้มาตราการพวกนี้เกิดขึ้นได้ก็คงต้องทำให้มีการตระหนักเรื่องความเสี่ยงแผ่นดินไหวมากขึ้น อันนี้ก็เป็นสิ่งที่อยากจะให้ประชาชนทั่วไปรับทราบกัน”
ถอดบทเรียนแผ่นดินไหว ถอดกันเท่าไรถึงจะพอ ?
รศ.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมโยธา สาขาวิศวกรรมปฐพีและฐานราก คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในฐานะของผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหว ชวนสะท้อนมุมมองต่อเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศไทยไว้อย่างน่าสนใจ โดยมองว่า 10 ปีของเหตุแผ่นดินไหวที่แม่ลาว จ.เชียงราย ถือเป็นบทเรียนที่ดี เมื่อเวลาผ่านไปก็มีการฟื้นฟู การปรับหน่วยงานราชการ ปรับเรื่องแนวทางการช่วยเหลือ การเตรียมพร้อมให้ดีขึ้น หน่วยงานภาคประชาสังคม NGO ต่าง ๆ ก็มีความตื่นตัวขึ้น เพื่อช่วยเป็นตัวประสานกับหน่วยราชการ
สิ่งที่ไม่หยุดเลยคือภาควิชาการ นักวิจัยที่ทำเรื่องนี้ ก็วิจัยกันมาเรื่อย ๆ จนกระทั่ง 10 ปีผ่านมาแล้ว ก็มีเรื่องที่เป็นผลสำเร็จเป็นรูปธรรมในเชิงของสิ่งที่จับต้องได้ เช่น การแก้ไขกฎหมาย หรือกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบบอาคารเรื่องแผ่นดินไหว ซึ่งก็สามารถออกมาได้ใน 10 ปีที่ผ่านมานี้ ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าเพราะเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เป็นตัวกระตุ้น
อีกเรื่องคือแผนแม่บท การป้องกันและการรับมือจากแผ่นดินไหว และอาคารถล่ม ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ซึ่งตรงนี้ก็ปรับปรุงจากของเดิมที่มีก่อนแผ่นดินไหวเกิดขึ้น ก็มาทบทวนว่าจะต้องทำให้ดีมากขึ้นได้อย่างไร ปภ. ก็ทบทวน แล้วก็ทำออกมาให้ดีขึ้น นี่เป็น 2 รูปธรรมที่สำคัญ ที่เป็นเชิงนโยบาย ให้เกิดความปลอดภัยต่อสาธารณะ ทั้งเรื่องกฎหมาย เรื่องเกี่ยวกับอาคาร กฎหมายเกี่ยวกับการช่วยเหลือ คิดว่าถ้ามองอย่างนี้ถือว่าเป็นรูปธรรมที่ดี
แต่ในทางกลับกัน รศ.สุทธิศักดิ์ ก็ยังเห็นว่า สิ่งที่ขาดไป หรือน่าจะต้องเติมเต็ม คงต้องย้อนกลับมาว่าแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหวเราทราบอย่างครบถ้วนหรือยัง
“แหล่งกำเนิดแผ่นดินไหว ไม่ว่าจะเป็นรอยเลื่อนมีพลังที่เห็น ๆ อยู่ หรือรอยเลื่อนที่ซ่อนอยู่ เราเรียกว่า Middle Faild หรือ Blind Faild บางตัวก็อยู่ใกล้กรุงเทพมหานคร บางตัวก็อยู่ใกล้แหล่งชุมชน เช่น ทางโคราชก็มี พวกนี้ก็ต้องทำให้ชัดขึ้น ซึ่งรอยเลื่อนพวกนี้ บางตัวอยู่ใกล้โครงสร้างที่สำคัญ เช่น พื้นที่ในเมือง ก็ต้องทำให้ชัดขึ้น เป็นเรื่องของกรมทรัพยากรธรณี เป็นหน่วยงานหลักที่จะต้องดูแล”
รศ.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์
‘รอยเลื่อนมีพลัง’ ต้องสำรวจ!
รอยเลื่อนมีพลัง ไม่ว่าที่ยังซ่อนอยู่หรืออาจจะปรากฎออกมาหรือยังสำรวจไม่พบ ปรากฏว่าภาระหลักจะเป็นของกรมทรัพยากรธรณี แน่นอนว่ากรมทรัพยากรธรณีเสนอแผน และงบประมาณ ตามวิชาการที่ควรจะต้องทำอยู่แล้ว แต่สิ่งที่พบก็คือ แผนหรืองบประมาณเหล่านั้นที่ขอไป ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะให้งบประมาณมาหรือไม่
“นโยบายแต่ละรัฐบาลก็ไม่เหมือนกัน หรือถ้าจะมองให้ลึกกว่านั้นคือ การพิจารณาของกรรมาธิการฯ ในเรื่องของงบประมาณส่วนนี้ ก็อาจจะไม่มีความเข้าใจ 100% ผมไม่ได้ว่า กรรมาธิการฯ ไม่เก่ง แต่เรื่องบางเรื่องมันก็ยาก ที่จะเข้าใจว่าเรื่องนี้มันปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน บางทีก็อาจจะต้องเน้นในเรื่องปากท้องของประชากรก่อน อย่างนี้เป็นต้น”
รศ.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์
จัดลำดับความสำคัญ ยืดหยุ่นงบฯ ทุ่มทุนสร้างรับมือ จัดการภัยพิบัติ
แผ่นดินไหว ถึงแม้นาน ๆ เกิดที แต่เมื่อเกิดแล้วจะทำให้เกิดการ Disrupt คือ การที่ทำให้ธุรกิจ เศรษฐกิจ สังคมหยุดชะงักไปอย่างรวดเร็ว โดย รศ.สุทธิศักดิ์ ยกตัวอย่างประเทศเฮติ ที่เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง ตอนนี้ผ่านมา 10 ปีก็ยังไม่ฟื้น อย่างเนปาล ใช้เวลาถึง 10 ปีกว่าจะฟื้น
ถ้าเราเตรียมพร้อมการสำรวจแผ่นไหวให้ดี เพื่อที่จะเตรียมเมือง เตรียมการป้องกันให้เหมาะสมกับแผ่นดินไหว ก็จะปลอดภัย ซึ่งนโยบายหรือแนวคิดสำคัญ คือแทนที่เราจะปล่อยให้เป็นการพิจารณาของแต่ละรัฐบาล หรือแต่ละ กรรมาธิการไป มันควรจะมีกฎหมายหรือนโนบายบอะไรบางอย่างที่คุ้มครอง การดำเนินการที่จะต้องใช้งบประมาณ ซึ่งจริง ๆ แล้วเยอะมาก เป็นงบประมาณ เพื่อหาข้อมูลเพื่อความปลอดภัยของสาธารณะ
“ผมไม่ได้พูดแค่เรื่องแผ่นดินไหวนะ แต่ผมกำลังพูดเรื่องอื่น ๆ ด้วย เช่น งบประมาณอะไรก็แล้วแต่ซึ่งมันไปเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของสาธารณะและมันมีความยากเข้าไปผสม เช่น ความยากทางความเข้าใจ และวิชาการเข้าไปผสม มันควรต้องมีใครก็แล้วแต่สร้างนโยบายขึ้นมาคุ้มครอง เราไม่ได้พูดถึงงบประมาณเป็นหลักพันล้าน หมื่นล้านด้วยซ้ำ แต่พูดถึงงบประมาณในหลักร้อยล้าน หรือน้อยกว่านั้น ก็แค่สิบล้านด้วยซ้ำไป การสำรวจรอยเลื่อน ก็เป็นหลักสิบล้านเท่านั้นเอง นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับแผ่นดินไหวเรื่องแรกที่ต้องเร่งสนับสนุน”
รศ.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์
‘แผนที่เสี่ยงภัยชุมชน’ อนาคตที่ต้องเติม
เรื่องถัดมาคือชุมชนจะรู้ได้อย่างไร ? ว่าบ้านเขาปลอดภัย หรือไม่ปลอดภัย ประเด็นนี้ รศ.สุทธิศักดิ์ ชวนนึกภาพว่า ในชุมชนมีแผ่นดินไหวเราก็กลัว แต่ไม่มีใครมาชี้ให้เราเห็นว่าบ้านเราไม่ปลอดภัย ว่าถ้าเกิดแผ่นไหวในระดับไหน บ้านคุณจะพังนะ ธุรกิจคุณจะพังนะ ทำให้เราขาดข้อมูลพวกนี้ไปถึงหน้าตักของประชาชน
ดังนั้นการทำ แผนที่ที่เสี่ยงภัยในระดับชุมชน จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ซึ่งเป็นเรื่องต่อเนื่องจากเรื่องรอยเลื่อนที่อยู่ใกล้ชุมชน ถ้ามีตัวนี้จะสามารถสร้างแบบจำลอง โดยเริ่มจากชุมชนที่ไม่ต้องใหญ่นัก ต้องไปสำรวจว่าบ้านแต่ละหลัง มีโครงสร้างอะไร มีคนอยู่ยังไงบ้าง ทำธุรกิจอะไร ถ้าเรามีแผนที่นี้ไปวางที่หน้าตักของเจ้าของบ้าน เขาจะเห็นว่ามันมีโอกาสนะที่บ้านของเขาจะพัง มีโอกาสที่ธุรกิจของเขาจะพัง เขาก็จะต้องเริ่มวิธีการลดความเสี่ยง ถ่ายโอนความเสี่ยงด้วยการทำให้แข็งแรงขึ้นหรือไปซื้อประกันมา อย่างน้อยมันก็ไม่เกิดการ Disrupt ดังนั้นการทำแผนที่เสี่ยงภัยในระดับชุมชน จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น
อีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ การคุยกับคน เท่าที่ได้รับการเรียนรู้จากแผ่นดินไหวที่แม่ลาว ในปี 2557 พบว่า ถึงแม้หน่วยงานราชการจะทำหน้าที่เต็มที่ นักวิชาการจะมีความเข้าใจอย่างเต็มที่ แต่ตราบใดที่มีการสื่อสารที่ไม่ตรงกัน ความเข้าใจที่ไม่ตรงกันในเรื่องของความรู้ ข้อมูล หรือ เรื่องอารมณ์ความรู้สึก ดังนั้นควรต้องมีกระบวนการที่ทำให้เกิดความเข้าใจกันมากขึ้น
‘เขื่อนแม่สรวย’ รูปธรรมจากความขัดแย้ง สู่การสร้างส่วนร่วมชุมชนรับมือภัยพิบัติ
เหตุแผ่นดินไหวใหญ่ที่ จ.เชียงราย เมื่อปี 2557 เขื่อนแม่สวยถูกแรงกระทำจากแผ่นดินไหว จนมีความเสียหายเกิดขึ้น กรมชลประทานที่เป็นเจ้าของเขื่อนก็เข้าไปตรวจสอบ นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ ก็เข้าไปตรวจสอบ บอกว่าไม่มีผลที่จะทำให้เขื่อนพัง แต่ข้อมูลนั้นไม่สามารถสื่อไปถึงความรู้สึกของชุมชนในพื้นที่ ความจริงกับความรู้สึกบางทีไม่ได้ไปด้วยกัน
ดังนั้นเลยเกิดกระบวนการที่มีคนกลางเข้ามาถ่ายทอดความรู้ แปลข้อมูลให้ทั้ง 2 ฝั่งมาเจอกัน เกิดเป็นหลัก 3 ประการที่ มูลนิธิมดชนะภัย ณ เวลานั้น และนักวิชาการในพื้นที่ร่วมกันใช้ด้วย
- การเจรจาระหว่างผู้ขัดแย้ง ต้องมีข้อมูลที่เท่าเทียมกัน คือสิ่งใดที่หน่วยงานรู้นักวิชาการรู้ ชาวบ้านและชุมชนต้องรู้ด้วย ข้อมูลต้องมาวางตรงกลาง ข้อมูลเฉย ๆ แม้เท่าเทียมกันแต่มันอาจจะไม่เข้าใจ ดังนั้นจะต้องมีความรู้ที่เท่ากัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ยาก เพราะชาวบ้านจะรู้เท่าวิศวกร นักวิชาการ นักวิจัยได้อย่างไร หรือว่านักวิชาการ หรือหน่วยงานราชการ เข้าใจความรู้ของชาวบ้านหรือเปล่า เพราะองค์ความรู้ของคนที่อยู่มานานกว่า ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงาน หรือนักวิชาการ ถ้ามีการแปล ข้อมูลหรือความรู้ให้มีความกระจ่างร่วมกัน กระบวนนี้ต้องใช้เวลา จะสั้นจะยาว ก็ต้องใช้ความอดทน
- มีข้อมูลที่เท่าเทียมกัน มีความรู้ที่เท่าเทียมกัน แล้วถึงเริ่มเจรจา
- ทุกคนบนโต๊ะเจรจานั้น จะต้องรู้ว่าทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ หรือนักวิชาการก็ต้องวาง Ego ตัวเองลง หน่วยงานราชการ ต้องวางบทบาทตัวเองลง แล้วใช้ความเป็นมนุษย์ด้วยกันคุยกัน เราพบว่าเรื่องที่ 3 จะเป็นตัวเชื่อม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของข้อมูลรอยเลื่อน หรือแหล่งข้อมูลที่มีอยู่แล้ว แผนที่เสี่ยงภัยที่มีอยู่แล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องมีเชื่อมกันให้คนคุยกันและประสบความสำเร็จในการเตือนภัยให้ได้
เนื่องในโอกาสครบรอบ 10 ปี แผ่นดินไหวที่แม่ลาว จ.เชียงราย หลายภาคส่วนจึงจัดงานรำลึก “1 ทศวรรษ แผ่นดินไหวแม่ลาว” ซึ่ง สำนักงานวิจัยแห่งชาติ (วช.) โดย ศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ (EARTH) และ มูลนิธิมดชนะภัย ได้ร่วมกันจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-7 พฤษภาคม 2567 และตลอดทั้งเดือนนี้ ในพื้นที่ จ.เชียงราย
นี่ถือเป็นโอกาสดีสำหรับการมองย้อนกลับไปว่า ตลอด 10 ปีมานี้ สังคมไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตื่นตัว ตั้งรับ และพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นจากภัยพิบัติอย่างแผ่นดินไหวไว้อย่างไรบ้าง มีอะไรที่ดีขึ้น มีอะไรที่ยังไม่ได้ทำ และยังต้องทำต่อ
“เรานึกถึงภาพเด็กอายุ 10 ขวบ เด็ก 10 ขวบ เขาไม่เคยเห็นว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไรหรือกระทั่ง 15 ขวบด้วยซ้ำที่ไม่เคยเห็นว่าเป็นอย่างไร นี่เป็นโอกาสที่ทำให้ประชาชนในพื้นที่ได้รู้ว่า มันเคยเกิดอะไรที่รุนแรงมาก่อน ในงานจะมีภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานั้น มีงานศิลปะที่แสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวเวลานั้นมาปรากฎอยู่ให้ทุกคนได้เห็น มีรถจำลอง มีแผ่นดินไหว เมื่อเกิดแผ่นดินไหว คุณจะรู้สึกอย่างนี้นะ แล้วคุณต้องทำตัวอย่างไร เพื่อให้ปลอดภัย”
รศ.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์
เพราะสิ่งหนึ่งที่เรียนรู้จากทุกบทเรียนภัยพิบัติ คือ การจะคาดหวังระดับนโยบาย การปรับหลักเกณฑ์ เงื่อนไขใด ๆ ให้เอื้อต่อการรับมือก็คงเป็นเรื่องที่พูดกันมาไม่จบไม่สิ้น จนถูกตั้งคำถามว่าเราได้ถอดบทเรียนเหตุการณ์กันดีพอแค่ไหน ?
ถึงตรงนี้สิ่งที่ประชาชนทุกคนทำได้ดีกว่า โดยไม่ต้องรอรัฐ คือ อย่างน้อยต้องรู้เท่าทันเหตุการณ์อย่างเข้าใจ รู้จักระวังป้องกันตัวเอง คือหนทางที่จะลดความสูญเสียได้ดีที่สุด