1 ใน 17 คำสั่งแรก ที่ “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 46 ใช้อำนาจของผู้นำฝ่ายบริหารโดยตรง (Executive order) ลงนามทันที หลังเสร็จสิ้นพิธีปฏิญาณตนรับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2564 คือ การนำสหรัฐฯ กลับเข้าร่วม ความตกลงปารีส หรือ Paris Agreement อีกครั้ง หลังสหรัฐฯ ในยุค “โดนัลด์ ทรัมป์” ได้ประกาศถอนตัวเมื่อปี 2560 ซึ่งเพิ่งจะมีผลอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2563
Paris Agreement เป็นความตกลงตามกรอบ อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) โดยการบรรลุข้อตกลงดังกล่าว มีขึ้นในการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 21 หรือ COP 21 เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2558 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
สาระสำคัญของข้อตกลงปารีส คือ กำหนดมาตรการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ ให้เป็นไปตามเป้าหมายหลักของอนุสัญญาฯ คือ ควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียส จากระดับอุณหภูมิช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม และยังต้องพยายามจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ 1.5 องศาเซลเซียส จากระดับอุณหภูมิช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรมด้วย โดยมาตรการนี้ต้องเริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2563
ก่อนเข้าร่วมข้อตกลงปารีสเมื่อปี 2560 สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก (อันดับหนึ่ง คือ จีน) ทำให้การประกาศกลับเข้าร่วมข้อตกลงปารีสของ ไบเดน หลังการประกาศถอนตัวเพิ่งมีผลเพียง 77 วัน จึงเรียกได้ว่าสร้างความหวังให้โลกเลยก็ว่าได้
The Active ชวน ธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วิเคราะห์แนวโน้มความหวังของโลก หลัง ไบเดน ก้าวเข้าสู่ทำเนียบขาว
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/01/4.gif)
นโยบายโลกร้อนของไบเดน ใน Corporate America
ธารา กล่าวว่า แม้จะเห็นความตั้งใจที่ชัดเจนในการแก้ปัญหาโลกร้อน แต่คำถามสำคัญ คือ ไบเดน จะสามารถปฏิบัติได้จริงตามนโยบายที่ประกาศออกมาหรือไม่ ภายใต้ระบบการเมืองอเมริกาที่เป็นอยู่ในขณะนี้
“เรื่องการกลับไปลงนามในความตกลงปารีสไม่ใช่ประเด็น ยังไงก็ต้องทำอยู่แล้ว แต่ในทางปฏิบัติก็มีคำถามว่า จะมีรูปธรรมอะไรเกิดขึ้นบ้าง มีข้อถกเถียงในประเด็นที่ว่า อิทธิพลของบรรษัทและอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ รวมถึงเชื้อเพลิงฟอสซิลนั้นเป็นบ่อนทำลายกระบวนการประชาธิปไตยหรือไม่ อย่างไร ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่ารัฐบาลสหรัฐจะเป็นรีพับลิกันหรือเดโมแครต ก็ยังตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเงินของอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล”
ธารา ยกตัวอย่างกรณีที่รายชื่อคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลไบเดนนั้นรวม ทอม วิลเซ็ค ในฐานเป็นรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรสหรัฐ (USDA) โดย ทอม เคยเป็นรัฐมนตรีเกษตรในสมัยโอบามา 2 สมัย (2552-2560) และเขาได้รับสมญาว่า “มิสเตอร์มอนซานโต้” เนื่องจากผลักดันนโยบายที่สนับสนุนอุตสาหกรรมเกษตรขนาดใหญ่ เช่น การอนุมัติให้มีการปลูกจีเอ็มโอชนิดใหม่ ๆ มากกว่าที่รัฐมนตรีคนใดเคยทำมาก่อน
“เห็นได้ชัดว่า สุดท้าย ไบเดน ก็ต้อง “เล่น” การเมือง โดยหาสมดุลระหว่างนโยบายที่หาเสียงไว้กับความเป็นจริงทางการเมือง”
ส่วนเหตุที่ ไบเดน ประกาศเรื่องนี้เป็นนโยบายแรก ๆ ส่วนหนึ่งเป็นการต่อยอดนโยบายยุคอดีตประธานาธิบดีโอบามา และยังมี Climate Activists ที่มีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกันมาตั้งแต่ยุคนั้น เข้าไปมีส่วนเสนอแนะต่อร่างนโยบายในครั้งนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม นโยบายลดโลกร้อนของ ไบเดน ไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่จะไปผนวกอยู่กับนโยบายอื่น ๆ เช่น นโยบายต่างประเทศ (ผู้นำด้านสิ่งแวดล้อมในเวทีโลก) นโยบายเศรษฐกิจ (การจ้างงานที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายโลกร้อน) รวมถึงแนวทางการฟื้นฟูผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดเพื่อลดกระแส กลุ่มผู้ปฏิเสธโลกร้อน ประกอบกับคนอเมริกันรุ่นใหม่ตื่นตัวเรื่องสิ่งแวดล้อมและความเป็นธรรมทางสังคมมากขึ้น
ซึ่งนอกจากการกลับเข้าร่วมข้อตกลงปารีส ไบเดน ยังมีอีกหลายนโยบายสิ่งแวดล้อมที่น่าสนใจ เช่น การปฏิวัติพลังงานหมุนเวียน 100 % ระบบการคมนาคมขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงยานพาหนะไฟฟ้า และการประหยัดพลังงานในอาคารบ้านเรือน ที่กระตุ้นให้เกิดการลงทุนด้านประสิทธิภาพพลังงาน ตลอดจนการยกเลิกโครงการ Keystone XL ซึ่งแผนการสร้างท่อน้ำมันขนาดยักษ์ข้ามพรมแดนสหรัฐ-แคนาดา ในวันแรก ๆ ของการรับตำแหน่ง
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/01/2-2.jpg)
จับตาแผนลดโลกร้อนของอเมริกา ใน COP26 ปลายปีนี้
ธารา กล่าวว่า รูปธรรมแรกที่ต้องจับตา คือ NDC : Nationally Determined Contribution หรือ แผนที่นำทางลดก๊าซเรือนกระจก ที่อเมริกาจะต้องนำเสนอแผนนี้ในการประชุม COP26 ที่กลาสโกว์ สกอตแลนด์ ในเดือนพฤศจิกายน ปีนี้
แผนที่นำทางลดก๊าซเรือนกระจก คือ รูปธรรมที่จะบอกว่าประเทศที่อยู่ในความตกลงปารีส มีเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าไร และจะทำให้บรรลุเป้าหมายที่ว่านั้นได้อย่างไร ในกรณีของนโยบายโลกร้อนของ โจ ไบเดน ซึ่งมุ่งมั่นทำให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero emission ภายในปี ค.ศ. 2050 ส่วนจีนกำหนด Net Zero emission ที่ปี ค.ศ.2060
ธารา กล่าวว่า ที่ต้องจับตาเพราะการประชุม COP26 ปลายปีนี้ ถือเป็น แลนด์มาร์ก สำคัญของการเจรจาโลกร้อน ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป เนื่องจากการประชุม COP21 ที่ปารีสเมื่อปี 2558 กำหนดไว้ว่า ทุก ๆ 5 ปี จะต้องมีการ ยกระดับ แผนที่นำทางลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งก็ตรงกับปีนี้พอดี (ขยับจากปี 2563 เนื่องจากโควิด-19) โดยเฉพาะต้องจับตาว่า ประเทศยักษ์ใหญ่ อย่างอเมริกาและจีนว่าจะมีแนวทางตามแผน Net Zero Emission อย่างไร เพราะแค่สองประเทศนี้รวมกันก็ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกือบครึ่งของโลกแล้ว
ไบเดน มีเวลาก่อนเดือนพฤศจิกายนปีนี้ ที่จะต้องทำแผนที่นำทางออกมา ก่อนการประชุมสุดยอดโลกร้อนที่กลาสโกว์ สกอตแลนด์ และมีเวลาทำงานตามแผนในตำแหน่งนี้อีก 4 ปี สิ่งที่รัฐบาล โจ ไบเดน น่าจะทำให้เป็นรูปธรรมได้ คือ net zero emission ของระบบพลังงานในประเทศภายในปี ค.ศ. 2030 ผ่านการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ที่เขาได้ใช้หาเสียงไว้ รวมถึงการปฏิวัติพลังงานหมุนเวียน 100 %
ถ้าเป็นไปตามนั้น เส้นทางไปสู่ Net zero emission ภายใน ค.ศ. 2050 และการบรรลุเป้าหมายความตกลงปารีส โลกของเราก็จะมีโอกาสมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงหายนะภัยและผลกระทบที่ไม่อาจฟื้นคืนจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
ส่วนอีกประเทศที่ต้องจับตาเช่นกัน คือ จีน โดยปีนี้จะครบกำหนดที่จีนต้องทำแผนชาติ 5 ปี ฉบับที่ 14 ที่กำลังจะออกมาในเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งหากในแผนชาติของจีนพูดเรื่องการลดสัดส่วนเชื้อเพลิงฟอสซิลลง โดยเฉพาะเรื่องการไม่เปิดโอกาสให้สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่ เพราะที่ผ่านมาจีนสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเยอะมาก ก็จะทำให้มีโอกาสเข้าใกล้เป้าหมายของความตกลงปารีสที่จะทำให้จำกัดอุณหภูมิที่ 1.5 องศาได้มากขึ้น
“ไบเดน ก็เป็นเหมือนก้อนหนึ่ง และจีนก็อีกก้อนหนึ่ง ซึ่งถ้าก้อนใหญ่ทั้ง 2 ก้อนทำได้ ก็จะเป็นนโยบายที่สร้างผลสะเทือนให้เกิดกับเรื่องของการกู้วิกฤตโลกร้อนได้มากที่สุด เท่าที่เคยทำมา แต่หลายคนก็กลัวว่า ไบเดนอาจจะพูดมากกว่าทำ”
เพราะนอกจากต้อง ฝ่าทางตัน ของระบบการเมืองและอิทธิพลของบรรษัทแล้วนั้น ไบเดน ยังต้องพยายามบาลานซ์ความเห็นต่างที่เกิดรุนแรงขึ้นในสังคมอเมริกันอีกด้วย ธารา เห็นว่า สิ่งนี้จะเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ ไบเดน อาจจะต้องดำเนินนโยบายแบบไม่สุดขั้วไปด้านใดด้านหนึ่ง
“การเมืองอเมริกา ถ้าต่อรองผลประโยชน์กันได้ ไม่เทไปที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และเปิดพื้นที่ให้มีการแสดงออกทางความคิดเห็นโดยไม่ใช้กำลัง ก็เป็นไปได้ แต่ก็ขึ้นกับ ไบเดน อย่างที่เขาเคยกล่าวว่า เขาจะเป็นประธานาธิบดีของทุกคน ไม่ว่าประชาชนจะเลือกใคร และรัฐบาลเขายังมีความหลากหลาย ซึ่งจะช่วยพอบาลานซ์ให้นโยบายเขาไปได้”
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2021/01/1-3-1024x723.jpg)
ถ้าไม่ทำอะไร โอกาสช่วยโลกก็จะน้อยลง
ธารา กล่าวว่า COP26 ไม่ใช่แค่การเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของการประชุมสุดยอดโลกร้อน แต่ยังสำคัญต่อสถานการณ์ที่โลกกำลังเผชิญอยู่ด้วย เพราะตั้งแต่เกิดข้อตกลงปารีสเมื่อปี ค.ศ. 2015 จนถึงปัจจุบันนี้ อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลก ก็ยังเพิ่มขึ้น และการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ช่วงการระบาดของโควิด-19 ก็เป็นช่วงสั้น ๆ ไม่ได้มีผล ต่อแนวโน้มระยะยาวแต่อย่างใด
หลังจากนักวิทยาศาสตร์ของ NASA พบว่า อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกในปี 2563 มีความร้อนเท่ากับปี 2559 ซึ่งเป็นปีที่ถูกบันทึกว่าร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ อยู่ที่ประมาณ 1.2 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม ทำให้ช่วง 7 ปีที่ผ่านมา จึงกลายเป็น ช่วงที่ร้อนที่สุดของศตวรรษ
“แต่ถ้า ไบเดน ล้มเหลวในการฝ่าทางตันของระบบการเมืองอเมริกาเพื่อผลักดันนโยบายโลกร้อนให้เป็นจริง ขณะที่แผนชาติ 5 ปี ของจีนรวมเอาการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่เข้าไปด้วย COP26 ปลายปีนี้ เราก็จะถอยหลังกลับ และโอกาสที่จะช่วยโลกก็จะน้อยลงไปเรื่อย ๆ”