ยูนิเซฟ – ทีดีอาร์ไอ ชี้ อัตราตกหล่นสูง สะท้อนการขาดประสิทธิภาพ เกิดบ่อยกับโครงการที่ให้สิทธิ์เฉพาะคนบางกลุ่ม ผิดพลาดขั้นตอนคัดกรอง ตรวจคุณสมบัติ ย้ำชัด 600 บาท/เดือน ยังไม่พอ วอนรัฐบาลเพิ่มงบฯ อีก 7,000 ล้าน ช่วยเด็กยากจนอีกเป็นล้านคนได้รับสิทธิ์
วันนี้ (11 ก.ย. 67) UNICEF Thailand รายงานว่า เซเวอรีน เลโอนาร์ดี รองผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ระบุถึง การลงทุนในช่วงปีแรกของชีวิต คือการลงทุนที่ฉลาดที่สุดในการพัฒนาทุนมนุษย์ของประเทศไทย ซึ่งประเทศไทยมีงบประมาณเพียงพอที่จะทำได้ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนทางการคลังตามคาดการณ์ขององค์การยูนิเซฟ และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)
สำหรับการศึกษาล่าสุดโดย องค์การยูนิเซฟ และ ทีดีอาร์ไอ ยังชี้ให้เห็นว่า เด็กจากครัวเรือนยากจนกว่า ร้อยละ 34 ไม่ได้รับเงินอุดหนุนรายเดือนที่พวกเขามีสิทธิ์ได้รับ ตามโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด
ยูนิเซฟได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการขยายโครงการนี้ให้ครอบคลุมเด็กทุกคนที่อายุต่ำกว่า 6 ปี ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาครัวเรือนตกหล่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประเทศไทยกำลังมีอัตราการเกิดที่ต่ำแ ละจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ ในช่วง 6 ปีแรกของชีวิต คือโอกาสสำคัญในการสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เพื่อให้เด็กมีสุขภาพดี เรียนรู้เต็มที่ มีอาชีพที่ดี และมีส่วนร่วมในสังคม ในทางกลับกัน การไม่ลงทุนในช่วงนี้อาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาของประเทศไทยโดยรวมในอนาคต
“งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าเงินอุดหนุนมีประโยชน์มากต่อสุขภาพและโภชนาการของเด็ก แต่เนื่องจากยังมีครอบครัวที่ตกหล่นจำนวนมากประกอบกับจำนวนเงินช่วยเหลือรายเดือนที่น้อย ทำให้โครงการยังไม่สามารถลดความยากจนได้เท่าที่ควร”
เซเวอรีน เลโอนาร์ดี
อ่านเพิ่ม : การประเมินการเข้าถึงเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด
อัตราเด็กตกหล่นสูง สะท้อนโครงการมีปัญหา
ขณะที่ สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง ทีดีอาร์ไอ บอกว่า หลักฐานจากทั่วโลกแสดงให้เห็นว่าปัญหาการตกหล่นเกิดขึ้นเสมอกับโครงการที่เน้นให้สิทธิเฉพาะประชากรบางกลุ่ม ซึ่งมักเกิดจากความผิดพลาดในขั้นตอนการคัดกรองและการลงทะเบียนเพื่อตรวจคุณสมบัติครอบครัว ว่า เข้าเกณฑ์ได้รับสิทธิหรือไม่ ซึ่งข้อมูลใหม่ชี้ให้เห็นว่า โครงการนี้ยังขาดประสิทธิภาพเนื่องจากยังมีอัตราการตกหล่นที่สูง โดยโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ริเริ่มขึ้นในปี 2558 และได้ขยายครอบคลุมจำนวนเด็กมากขึ้นเรื่อย ๆ และเพิ่มจำนวนเงินที่ได้รับต่อเดือน อย่างไรก็ตาม การศึกษาชี้ว่า จำนวนเงินอุดหนุนปัจจุบันที่ 600 บาทต่อเดือน ยังไม่เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของเด็ก
“รัฐบาลไทยสามารถขจัดปัญหาการตกหล่นได้ ด้วยการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมอีก 7,000 ล้านบาท เพื่อให้เข้าถึงเด็กอายุน้อยกว่า 6 ปีอีก 1 ล้านคน ที่ยังไม่ได้รับสิทธิ์ในโครงการฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กจากครัวเรือนยากจน จะทำให้งบประมาณทั้งหมดของโครงการนี้อยู่ที่ประมาณ 23,000 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นเพียงร้อยละ 0.1 ของจีดีพี นี่คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด เพราะเด็กคือทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของประเทศ”
สมชัย จิตสุชน
ทั้งนี้การสำรวจความคิดเห็นของประชาชนโดยสวนดุสิตโพล เมื่อต้นปีนี้ พบว่า ร้อยละ 81 ของประชาชนในประเทศไทยสนับสนุน การขยายโครงการนี้ให้เป็นแบบถ้วนหน้า เนื่องจากมองว่าเป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการช่วยเหลือครอบครัวที่มีเด็ก ช่วยลดความยากจน และช่วยเติมเต็มสิทธิของเด็กทุกคนในการมีวัยเด็กที่มีคุณภาพ
หลักฐานชี้ว่าโครงการนี้มีผลดีต่อโภชนาการของเด็ก และการเข้าถึงการดูแลหลังคลอด โดยสามารถส่งเสริมการเรียนรู้และการพัฒนาตลอดชีวิตของเด็ก ซึ่งเป็นการช่วยพัฒนาทุนมนุษย์ของไทยและช่วยให้ประเทศเติบโตและก้าวหน้า การขยายโครงการให้ครอบคลุมเด็กทุกคนถือเป็นก้าวสำคัญสู่อนาคตที่ดีกว่าสำหรับทุกคนในสังคม สิ่งนี้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริม ‘การเริ่มต้นชีวิตและการเติบโตอย่างมีคุณภาพ’ สำหรับเด็กทุกคน เพื่อแก้ปัญหารายได้ไม่เพียงพอที่ส่งผลกระทบต่อครอบครัวและอนาคตของแรงงาน