ภาคประชาชน ค้านปรับจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเฉพาะคนจน

สลัม 4 ภาค และเครือข่ายรัฐสวัสดิการฯ ชี้ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุควรยกระดับเป็นระบบบำนาญประชาชนแบบถ้วนหน้า ด้าน กระทรวงการคลัง ชี้แจง ยังไม่มีการเสนอตัดเบี้ยยังชีพ เป็นเพียงข้อเสนอเชิงวิชาการที่เสนอภายในเท่านั้น

วันนี้ (9 ส.ค. 2566) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครือข่ายสลัม 4 ภาค เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ และเครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม (We Fair) ออกจดหมายเปิดผนึก เพื่อยื่นถึง รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผ่านปลัดกระทรวงการคลัง ที่กระทรวงการคลัง วันนี้ เพื่อคัดค้านการปรับลดรายจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุให้เฉพาะคนจน ภายหลังมีกระแสข่าวว่ากระทรวงการคลังเตรียมแนวทางลดรายจ่ายภาครัฐเสนอต่อรัฐบาลใหม่ โดยแนวคิดที่มีการเสนอให้ทบทวนผู้ได้รับสิทธิเบี้ยผู้สูงอายุ เฉพาะในกลุ่มที่เป็นผู้มีฐานะร่ำรวย และไม่ได้มีความจำเป็นต้องพึ่งพาเบี้ยผู้สูงอายุในการดำรงชีพ เพื่อนำเงินส่วนต่างที่จะได้มาช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย

รายละเอียดหนังสือระบุว่า ในฐานะองค์กรภาคประชาสังคมที่ติดตามนโยบายด้านสวัสดิการสังคม ขอแสดงความไม่เห็นด้วยในแนวคิดดังกล่าว และมีความเห็นว่าเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุควรยกระดับเป็นระบบบำนาญประชาชนถ้วนหน้า เพื่อสร้างหลักประกันรายได้ขั้นพื้นฐานของผู้สูงอายุ ทั้งนี้ พัฒนาการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจากระบบสงเคราะห์ในปี 2536 ระบบถ้วนหน้าในปี 2552 อัตราขั้นบันได 600-1000 บาท ในปี 2554 แต่ไม่มีการปรับอัตราเบี้ยยังชีพมากว่า 13 ปี ต่ำกว่าเส้นความยากจน 3-5 เท่า การปรับเบี้ยยังชีพเป็นระบบสงเคราะห์จึงเป็นระบบสวัสดิการที่ถดถอย ไปกว่า 30 ปี

เครือข่ายสลัม 4 ภาค เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ เครือข่าย We Fair มีข้อเสนอดังนี้

  1. เราไม่เห็นด้วยกับการปรับลดงบประมาณสวัสดิการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุถ้วนหน้า ไปเป็นแบบกำหนดกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่มคนยากจน ขัดต่อหลักการสิทธิสวัสดิการแบบถ้วนหน้า และขาดการคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ กระบวนการพิสูจน์ความยากจนทำให้เกิดการตกหล่นจำนวนมาก
  2. เราขอยืนยันว่า เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไป ไม่ซ้ำซ้อนกับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเป็นนโยบายเฉพาะกลุ่มเป้าหมายผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย ซึ่งเกิดขึ้นในภายหลังในสมัยรัฐบาลคณะรัฐประหาร เมื่อพิจารณาเบี้ยยังชีพจัดได้ว่าเป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐาน ส่วนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐถือเป็นสวัสดิการส่วนขยาย ทั้งนี้ หากรัฐบาลปรับลดงบประมาณเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ให้เฉพาะผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประมาณ 5 ล้านคน จะทำให้ผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ประมาณ 11 ล้านคน ถูกตัดสิทธิไปกว่า 6 ล้านคน
  3. เราเห็นว่า การสร้างความเข้มแข็งทางการคลัง ไม่อาจเกิดขึ้นจากการปรับลดสวัสดิการประชาชน ในทางกลับกัน รัฐควรเพิ่มการจัดเก็บรายได้และการลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น การปฏิรูประบบภาษีและงบประมาณให้มีบทบาทในการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ได้แก่ ภาษีความมั่งคั่ง (Wealth Tax) ภาษีผลได้จากทุน (Capital Gains Tax) กำไรจากตลาดหลักทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ ภาษีอัตราก้าวหน้า ภาษีที่ดินรวมแปลง ภาษีที่ดินที่ใช้ประโยชน์ไม่เต็มศักยภาพ (Vacancy Tax) การปรับปรุงการลดหย่อนและยกเว้นภาษีในลักษณะผู้มีรายได้น้อยเอื้อผู้มีรายได้สูง การพัฒนากระบวนการจัดเก็บภาษีให้มีประสิทธิภาพ การจัดลำดับความสำคัญงบประมาณ เช่น การปรับลดงบประมาณกระทรวงกลาโหม กำลังพล อาวุธยุทธภัณฑ์ รวมทั้งการปฎิรูประบบราชการ
เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ

กระทรวงการคลัง ย้ำ ไม่มีการเสนอตัดเบี้ยยังชีพ

ด้าน กระทรวงการคลัง ชี้แจงประเด็นที่มีข่าวลือและส่งต่อกันในสื่อสังคมออนไลน์ว่ากระทรวงการคลังจะมีการเสนอตัดสิทธิเบี้ยยังชีพของประชาชนนั้น กระทรวงการคลัง ขอยืนยันว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง กระทรวงการคลังไม่ได้มีแนวคิดที่จะตัดสิทธิดังกล่าว เนื่องจากทราบดีว่าจะส่งผลกระทบและเป็นการซ้ำเติมประชาชน

ทั้งนี้ ข่าวที่เกิดขึ้นอาจจะเกิดจากการตีความที่คลาดเคลื่อน โดยแนวคิดที่มีการเสนอให้ทบทวนผู้ได้รับสิทธิเบี้ยคนชรา เฉพาะในกลุ่มที่เป็นผู้มีฐานะร่ำรวย และไม่ได้มีความจำเป็นต้องพึ่งพาเบี้ยคนชราในการดำรงชีพ เพื่อนำเงินส่วนต่างที่จะได้มาช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยนั้น เป็นเพียงข้อเสนอในเชิงวิชาการที่มีการเสนอเป็นการภายในเท่านั้น หากจะมีการดำเนินการในอนาคต จะต้องมีการพิจารณาหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้กระทบต่อความเป็นอยู่ของกลุ่มผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยหรือมีความจำเป็นต้องพึ่งพาการช่วยเหลือจากรัฐบาล


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active