เปิดสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนของ “กรุงเทพธนาคม”

‘ชัชชาติ’ ยัน กทม. พร้อมจ่ายหนี้ แต่ต้องโปร่งใส พบพิรุธงวดส่วนต่อขยายทำสัญญาต่างกัน งวดจ่ายเงินไม่ชัดเจน  รอคณะกรรมการตรวจสอบ พร้อมเปิดสัญญา ‘กรุงเทพธนาคม’ ส่วนสัญญาเอกชน ยังเปิดไม่ได้

วันนี้ (1 ส.ค. 2565) ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหารถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยยืนยันว่า ภาระหนี้สินของรถไฟฟ้าสายสีเขียว ถ้า กทม. มีหนี้ที่ถูกต้องตามกฎหมายและโปร่งใสในทุกเรื่อง พร้อมจ่ายอยู่แล้ว ไม่มีปัญหา แต่ต้องทำให้รอบคอบ เนื่องจากปัจจุบัน กทม. เป็นคู่สัญญากับกรุงเทพธนาคม และกรุงเทพธนาคมไปจ้างบริษัทเอกชนเดินรถ ซึ่งมีอยู่ 3 ส่วน คือ

  1. ส่วนไข่แดง เริ่มจาก กทม. ให้สัมปทานบริษัทเอกชน ซึ่งนำไปขายต่อให้กองทุนถึง ปี 2572 ส่วน ปี 2572-2585 มีการว่าจ้างกรุงเทพธนาคมให้บริหารต่อ แล้วกรุงเทพธนาคมจ้างบริษัทบีทีเอสเดินรถต่อ 
  2. ส่วนต่อขยายที่ 1 อ่อนนุช-แบริ่ง ตากสิน–บางหว้า ซึ่ง กทม. ว่าจ้างกรุงเทพธนาคม และกรุงเทพธนาคมไปว่าจ้างบีทีเอสต่อ 
  3. ส่วนต่อขยายที่ 2 ที่เพิ่งก่อสร้างเสร็จไป คือ แบริ่ง–เคหะสมุทรปราการ และหมอชิต–สะพานใหม่คูคต สัญญาคือ กทม. มอบหมายให้กรุงเทพธนาคมบริหารจัดการ รวมทั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกลด้วย ซึ่งกรุงเทพธนาคมได้ว่าจ้างบริษัทเอกชนดำเนินการต่อ

ภาระหนี้ต่าง ๆ จึงเป็นหนี้ระหว่าง กทม. กับกรุงเทพธนาคม และกรุงเทพธนาคมมีภาระหนี้กับเอกชน โดย กทม. ได้ว่าจ้างและมอบหมายให้บริษัทดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวใน 2 สัญญา คือ สัญญาที่ กทม. ได้ว่าจ้างบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด เป็นผู้บริหารระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร ระยะเวลา 30 ปี  ลงนามเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2555 และสัญญาโครงการรถไฟฟ้าบีทีเอส ส่วนต่อขยายที่ 1 ประกอบด้วย 1) ส่วนต่อขยายสายสีลม 2.2 กิโลเมตร (สถานีสะพาน ตากสิน-วงเวียนใหญ่) 2) ต่อขยายสายสุขุมวิท 5.25 กิโลเมตร (สถานีอ่อนนุช-แบริ่ง) 3) ส่วนต่อขยายสายสีลม 5.3 กิโลเมตร (สถานีวงเวียนใหญ่-บางหว้า) และ 4) การเดินรถหลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทานจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2572 ไปถึงวันที่ 2 พฤษภาคม 2585 

โดยส่วนต่อขยายที่ 1 ในวันที่ 13 มีนาคม 2555 มีการบรรจุโครงการนี้ในข้อบัญญัติ กทม. ผ่านสภา กทม. เรียบร้อยแล้วมีรายละเอียดโครงการชัดเจนว่าจะสร้างเมื่อไหร่ ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ หลังจากนั้น 2 พฤษภาคม 2555 ได้ลงนามสัญญาจ้างกับกรุงเทพธนาคม และวันที่ 3 พฤษภาคม 2555 กรุงเทพธนาคมก็ได้ทำสัญญากับเอกชนเลย ซึ่งวันนี้จะลงเว็บไซต์ กทม. (ดูรายละเอียด สัญญาจ้างบริหารระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร) โดยกรุงเทพธนาคมได้มีหนังสืออนุญาตให้ กทม. เปิดสัญญาแล้ว แต่ระหว่างกรุงเทพธนาคมกับเอกชน ยังเปิดเผยสัญญาไม่ได้ เพราะยังติดในเรื่องพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540

ในส่วนของ ส่วนต่อขยายที่ 2 ปรากฏว่า มีการลงนามซื้อขายระบบไฟฟ้าเครื่องกลก่อน ในวันที่ 28 มิถุนายน 2559 ระหว่างกรุงเทพธนาคมกับบีทีเอส มูลค่าประมาณ 19,000 ล้าน โดยอ้างว่า สำนักการจราจรและขนส่งได้มอบหมายให้กรุงเทพธนาคมไปดำเนินการ ซึ่งผู้ว่าฯ กทม. ในขณะนั้น ได้มอบหมายให้กรุงเทพธนาคมดำเนินการในเรื่องนี้ และกระบวนการนี้ยังไม่มีการผ่านสภา กทม. ต่อมา 28 กรกฎาคม 2559 มีการลงนามบันทึกข้อตกลง ที่ กทม. ได้มอบหมายหน้าที่ในการดำเนินกิจการขนส่งมวลชนให้แก่บริษัท ตามบันทึกข้อตกลงการมอบหมายกิจการในอำนาจหน้าที่ของ กทม. โครงการระบบขนส่งมวลชนสายสีเขียวช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต และช่วงแบริ่ง – สมุทรปราการ เมื่อวัน ที่ 28 กรกฎาคม 2559 

หรือบันทึกข้อตกลงมอบหมายงานโครงการรถไฟฟ้าบีทีเอสในส่วนต่อขยายที่ 2 เพื่อให้การดำเนินกิจการขนส่งมวลชนอันเป็นบริการสาธารณะแก่ประชาชนและด้วยหลักธรรมาภิบาลของบริษัท ที่ยึดถือความโปร่งใส ตรวจสอบได้  ข้อแตกต่างที่สำคัญคือ สัญญาส่วนต่อขยายช่วงที่ 1 เป็นสัญญาจ้างบริหารโครงการ แต่สัญญาส่วนที่ 2 เป็นบันทึกมอบหมายให้เดินรถ ซึ่งในบันทึกมอบหมายไม่มีรายละเอียดเรื่องค่าจ้าง เป็นเหมือนตัวเลขคร่าว ๆ จากนั้น วันที่ 1 สิงหาคม 2559 กรุงเทพธนาคมก็ไปลงนามกับบริษัทเอกชนจ้างเดินรถ 

“ข้อแตกต่างระหว่าง 2 ส่วนนี้ คือ 1. ส่วนต่อขยายที่ 2 ไม่มีการบรรจุอยู่ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีของ กทม. ดังนั้น สภา กทม. จะไม่ทราบเรื่อง ซึ่งถ้าเราเอาเงินไปจ่ายค่าเดินรถ จะต้องอยู่ในงบประมาณของ กทม. ทำให้ไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภา เราจึงต้องระมัดระวังว่าเราจะจ่ายหนี้ให้กรุงเทพธนาคมได้อย่างไร เพราะโครงการส่วนต่อขยายที่ 2 ไม่ได้ผ่านสภา กทม.  2. ส่วนต่อขยายที่ 1 มีสัญญาชัดเจนว่า จ้างเท่าไหร่ มีกรอบวงเงินเท่าไหร่ แต่ส่วนต่อขยายที่ 2 เป็นบันทึกข้อตกลงเท่านั้น ไม่ได้มีระบุวงเงินงบประมาณ มีเพียงประมาณการรายรับรายจ่ายคร่าว ๆ  อยู่ในสัญญาระหว่าง กทม. กับกรุงเทพธนาคม นอกจากนี้ ในสัญญาที่ 2 ยังระบุด้วยว่า กรุงเทพธนาคมไม่ใช่ตัวแทนของ กทม. ซึ่งตามกฎหมายคำพูดนี้ก็มีความหมายเหมือนกัน”

ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

ปัจจุบัน กรุงเทพธนาคมจะเก็บหนี้กับ กทม. คือ ส่วนต่อขยายที่ 1 จำนวน 3,800 ล้าน (ปี 62-65) ส่วนต่อขยายที่ 2 (ปี60-65) ประมาณ 1,700 ล้าน และ เม.ย. 60 – 65 ช่วงแบริ่ง 7,565 ล้าน รวม 17,509 ล้าน และงานซื้อขายพร้อมติดตั้งระบบเดินรถ 17,849 ล้าน รวมทั้งหมด 35,459 ล้าน แต่ในช่วงที่ 1 ที่ กทม. ยังไม่ได้จ่าย เพราะเป็นกระบวนการตามม. 44 ให้เจรจาขยายสัมปทานไปถึงปี 2562 ในที่ประชุมกรรมการตกลงกันแล้วว่าเป็นกระบวนการที่อยู่ในการเจราจาเรื่องสัมปทานที่อยู่ใน ครม. และยังไม่ได้ข้อยุติ ซึ่งส่วนต่อขยายก็อยู่ในระหว่างการเจราจาด้วย 

“ทุกอย่างต้องรอบคอบ ต้องดูอำนาจจ่ายเงินมีหรือไม่ ที่สำคัญคือ สภา กทม. เป็นผู้อนุมัติการใช้จ่าย เราไม่สามารถเอาเงินไปใช้จ่ายได้โดยไม่ผ่านงบประมาณ นี่คือสิ่งที่เราต้องละเอียด แต่เราไม่ได้ดึงเวลา เพียงแต่เห็นว่ารายละเอียดมันเยอะตัวเลขมันเยอะ ดังนั้น กระบวนการตามกฎหมายก็ต้องให้รอบคอบ สิ่งที่ต้องคิดอีกอย่างคือค่าแรกเข้าระบบหรือค่าบริหารสถานี ซึ่งส่วนต่อขยายที่ 2 ที่เราจะเริ่มเก็บเงิน ต้องมี รปภ. ระบบอ่านตั๋วก่อนเข้า แม้จะเข้าสถานีเดียวก็ต้องเสีย 15-16 บาท ตอนนี้กำลังให้กรุงเทพธนาคมไปเจราจา ซึ่งในสัญญาไม่มีสัญญาแรกเข้า แต่ระบุว่า สถานีเก็บครั้งแรกได้ไม่เกิน15 บาท นี่เป็นรายละเอียดที่ไม่สามารถจบภายใน 1 เดือนได้”

ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

ทั้งนี้ ครม. ได้มีหนังสือสอบถามความคิดเห็นมายัง กทม. แล้วว่ามีความคิดเห็นอย่างไร ชัชชาติกล่าวว่า คงต้องประชุมร่วมกับสภา กทม. และอีกเรื่องที่ยืนยันคือ ต้องการขอสนับสนุนจากรัฐบาลในเรื่องของการลงทุนด้านงานโยธา ในส่วนที่มหาดไทยแจ้งมา จะต้องเอาเรื่องเข้าสภา กทม. อาจจะตั้งคณะกรรมการร่วมกันในเรื่องของงบฯ ลงทุน  ซึ่งมติคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ระบุว่า เห็นชอบในหลักการให้รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณให้ กทม. ในอัตราส่วนที่เหมาะสม 

สำหรับในส่วนต่อขยายที่ 2 ต้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบบันทึกข้อตกลงมอบหมาย ว่าทำไมไม่ทำสัญญาเหมือนส่วนต่อขยายที่ 1 ไม่มีงวดจ่ายเงินที่ชัดเจน อาจจะมีเรื่องค่าแรกเข้าที่ต้องคุยเพิ่มเติม ประชาชนไม่สามารถจ่ายค่าแรกเข้า 2 ครั้งได้ เพราะจะทำให้ค่าโดยสารแพงมาก สำนักการจราจรและขนส่งต้องไปเจราจากับกรุงเทพธนาคม เพื่อไปดูว่าจะคุยต่อหรือคำนวณอย่างไร มีความซับซ้อน ทั้งในเรื่องของกฎหมาย จำนวนเงิน ตัวเลขต่าง ๆ และเงินเป็นเงินภาษีของประชาชน ก็ต้องทำให้รอบคอบ 

ขณะที่ ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ ประธานคณะกรรมการบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด และ ผศ.ประแสง มงคลศิริ กรรมการผู้อำนวยการฯ ได้ลงนามให้ความเห็นชอบในการเปิดเผยข้อมูลไว้ในสัญญาและบันทึกข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะในการบริหารจัดการโครงการให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนชาวกรุงเทพฯ โดยระบุในหนังสือว่า 

“บริษัทเห็นว่าสัญญาฉบับดังกล่าวเป็นสัญญาจ้างบริหารระบบขนส่งมวลชน อันเป็นการให้บริการสาธารณะแก่ประชาชน และด้วยหลักธรรมาภิบาลของบริษัทที่ยึดถือความโปร่งใสตรวจสอบได้ บริษัทจึงเห็นว่า กรณีมีเหตุอันสมควรเปิดเผยข้อมูลในบันทึกข้อตกลงฉบับนี้ต่อสาธารณะได้ ด้วยหนังสือฉบับนี้ บริษัทในฐานะคู่สัญญาขอแสดงความเห็นชอบในการเปิดเผยข้อมูลในบันทึกข้อตกลงฉบับดังกล่าวมายังกรุงเทพมหานคร เพื่อดำเนินการตามที่เห็นสมควรต่อไป”

Author

Alternative Text
AUTHOR

ธีร์วัฒน์ ชูรัตน์

เรียนจบกฎหมาย มาเป็นนักข่าว เด็กหลังห้อง ที่มักตั้งคำถามด้วยความไม่รู้