ภาคประชาชนค้าน ร่าง พ.ร.บ. การดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร

ห่วง ก.ม. ออกมากำกับ ควบคุม และทำลายการรวมกลุ่มของประชาชน ไม่ให้มีอำนาจต่อต้านรัฐบาล ประกาศ หากยังดันเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. จะกลับมาชุมนุมใหญ่หน้าทำเนียบรัฐบาลอีกครั้ง

วันนี้ (24 มี.ค.65) เครือข่ายภาคประชาชน ที่รวมตัวกันในนาม “ขบวนการประชาชนต่อต้านร่างกฎหมายทำลายการรวมกลุ่มของประชาชน“  ได้นำป้ายขนาดใหญ่ที่มีข้อความว่า “หยุด พ.ร.บ.การควบคุมการรวมกลุ่มของประชาชน No NPO Bill พวกเราจะซวยกันหมด“ ขึงหน้าอาคาร 8 สำนักงานธนานุเคราะห์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)  จากนั้นได้เผาร่างพ.ร.บ.การดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร โดย ทั้ง 2 กิจกรรมเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ในการคัดค้าน และสื่อสารไปยังรัฐบาลให้ยุติร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว พร้อมสื่อสารให้สังคมได้รับรู้ถึงปัญหาของการผลักดันน่างกฎหมายฉบับนี้

จากนั้นทางกลุ่มได้ร่วมกันอ่านแถลงการณ์ก่อนยุติการชุมนุม โดยระบุว่า การรวมกลุ่มของประชาชนตั้งแต่สองคนขึ้นไปทำกิจกรรมเพื่อประโยชน์สาธารณะต่าง ๆ  เช่น  การชุมนุมเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์  เขียนรัฐธรรมนูญใหม่  ไล่ พลเอก ประยุทธ์ฯ การคัดค้านนโยบาย โครงการพัฒนาและกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมทั้งหลาย  รวมถึงการบริจาค  การสงเคราะห์  การรื่นเริง  การสันทนาการ  การศึกษาหาความรู้  เป็นต้น  ถือเป็นสิทธิและเสรีภาพที่กระทำได้ตามรัฐธรรมนูญและปฏิญญาสากลหลายฉบับ  

แต่รัฐบาลนี้ กลับมองว่ากิจกรรมทั้งหลายเหล่านี้ควรที่จะถูกควบคุมกำกับโดยรัฐทั้งหมดอย่างเข้มงวด  ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้กิจกรรมทั้งหลายเหล่านี้กลายเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติได้  จนเลยเถิดไปถึงขั้นว่าอาจเป็นการรวมกลุ่มกันเพื่อทำกิจกรรมประโยชน์สาธารณะที่แฝงไว้ด้วยพฤติกรรมการฟอกเงินหรือสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย  จึงได้พยายามผลักดัน ‘ร่างพระราชบัญญัติการดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร พ.ศ. ….เพิ่มเติมหลักการและแก้ไขกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินควบคู่กัน  เพื่อต้องการกำกับควบคุมและทำลายการรวมกลุ่มของประชาชนให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด  เพราะเห็นว่าการรวมกลุ่มทำให้ประชาชนมีพลังในการต่อต้านรัฐบาลมากเกินไป  หรือทำให้รัฐบาลมีอำนาจอ่อนแอลงมากเกินไป

ทั้งนี้ สะท้อนสิ่งที่รัฐบาลนี้ ต้องการทำเพื่อขจัดพลังอำนาจของประชาชนให้ได้  คือ  ผลักดันร่างกฎหมายฉบับนี้เพื่อแบ่งแยกกลุ่ม องค์กร ขบวนประชาชนที่ ‘ดี’ ในสายตาของรัฐ  กับกลุ่ม องค์กร  ขบวนประชาชนที่ ไม่ดีในสายตาของรัฐออกจากกันให้ได้ นี่คือการกระทำที่ไม่เคยมี ที่รัฐนั้นมองเห็นประชาชนเป็นศัตรู เป็นการกระทำที่เครือข่ายมองว่าไม่ตั้งอยู่อย่างสอดคล้องกับข้อเท็จจริง เพราะเจ้าของอำนาจอันแท้จริงคือประชาชน  และประชาชนทั้งหลายล้วนเป็นหุ้นส่วนการพัฒนากับรัฐมาแต่ไหนแต่ไร

ดังนั้นแล้ว  ‘ขบวนประชาชนต่อต้านร่างกฎหมายทำลายการรวมกลุ่มของประชาชน จึงขอประกาศภารกิจของประชาชนในการคัดค้านร่างพระราชบัญญัติการดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร พ.ศ. …”และกฎหมายทำลายการรวมกลุ่มประชาชนทุกฉบับ  ซึ่งยังไม่ได้ยุติเพียงการรวมกลุ่ม มาแสดงพลังในวันนี้  

“โดยเราจะกลับไปเตรียมเสบียงอาหาร  เตรียมกำลังคนให้มากกว่านี้ ในระหว่างนี้เราจะไปทำงานทางความคิดกับพี่น้องประชาชนและขยายเครือข่ายประชาชนที่ต่อต้านกฎหมายควบคุมการรวมกลุ่มให้มากกว่านี้เพื่อให้ประชาชนเห็นผลกระทบและจะกลับมาพบกันที่หน้าทำเนียบรัฐบาลเมื่อใดก็ตามที่คณะรัฐมนตรีมีวาระการประชุมในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร พ.ศ. …  เพื่อชุมนุมยืดเยื้อและต่อต้านกฎหมายฉบับนี้ให้ถึงที่สุด เราจะไม่หันหลังกลับจนกว่าคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลนี้ จะมีมติยกเลิก เพิกถอนหรือไม่ผลักดันร่างกฎหมายฉบับนี้อีกต่อไป “ 

แถลงการณ์ระบุ

ขณะที่ จุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ออกมารับหนังสือ  หลังเครือข่ายฯประกาศหากไม่ออกมารับฟังเสียงประชาชนจะเข้าไปพบในกระทรวงฯ  โดยตัวแทนเครือข่ายฯ ได้แถลงปัญหาข้อและเรียกร้อง ก่อนยื่นหนังสือต่อรัฐมนตรีพม. โดยตอบเพียงสั้นๆว่า จะนำข้อเรียกร้องความเห็นของเครือข่ายเสนอทุกผ่านที่เกี่ยวข้อง

“ตั้งใจรับฟังการเสนอความเห็นของทุกท่านที่มาชุมนุมในวันนี้  และจะนำเสนอรัฐบาลและรัฐสภาด้วย “ 

จุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ( พม.)

ทั้งนี้ เหตุผลสำคัญที่เครือข่ายฯ ออกมาเรียกร้องในครั้งนี้  เนื่องจากเห็นว่า ร่าง พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว มีเนื้อหาที่กว้าง คลุมเครือ แทรกแซงการทำงานขององค์กรภาคประชาสังคม ที่ไม่แสวงหารายได้  หรือการรวมกลุ่มของประชาชนเพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน อีกทั้งยังกำหนดข้อหา ความผิดที่อ้างความมั่นคง ความสงบเรียบร้อย ศีลธรรมอันดี สร้างความแตกแยก และ กระทบต่อประโยชน์สาธารณะ เป็นเหตุให้สามารถสั่งหยุดดำเนินการ หรือยุติการดำเนินงานขององค์กรได้ ที่สำคัญยังมีบทลงโทษในอัตราสูงด้วย  จึงถือได้ว่า ขัดต่อเสรีภาพการรวมกลุ่ม การแสดงความคิดเห็น ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อบทบาทของภาคประชาชนและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ในการตรวจสอบนโยบายสาธารณะ และการทำงานภาครัฐ ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ตามรัฐธรรมนูญและกติการะหว่างประเทศ พร้อมยังแสดงความกังวลต่อ กระบวนการรับฟังความคิดเห็น ที่ พม.ดำเนินการอยู่นี้ ที่พวกเขาเห็นว่า ไม่ครอบคลุมและไม่ตรงตามข้อเท็จจริง

Author

Alternative Text
AUTHOR

ทัศนีย์ ประกอบบุญ

นักข่าวสายลุย เกาะติดประเด็นแล้วไม่มีปล่อย รักการเดินทาง หลงรักศิลปะบนรองเท้า และชอบร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจ