ศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติด จุฬาฯ เปิดรายงานผลวิจัยปัญหาสารเสพติด พบสถิติเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี ใช้กัญชาแบบสูบสูงขึ้น จากร้อยละ 1-2 เป็นร้อยละ 9.7 ในระยะเวลาเพียง 3 ปี ห่วงบุหรี่ไฟฟ้ารุ่นใหม่นิโคตินสูง ติดง่ายเลิกยาก
วันที่ 26 ธ.ค. 2665 ศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติด (ศศก.) ภาควิชาจิตเวชศาสตร์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเสวนาวิชาการและประชุมวิชาการศูนย์การศึกษาปัญหาการเสพติด เพื่อพัฒนาศักยภาพการวิจัยและนักวิชาการการเสพติด โดยร่วมนำเสนอผลการวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบแนวทางการแก้ไขปัญหาสารเสพติดจากผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งหมด เพื่อนำไปสู่การต่อยอดในเชิงวิชาการและการนำไปแก้ไขปัญหาสารเสพติดในสังคม
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2022/12/6CCCE5ED-CDDC-4CC4-B5E7-8A9B70087186-1024x683.jpeg)
รศ. พญ.รัศมน กัลยาศิริ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติด (ศศก.) กล่าวว่า ปัจจุบัน สารเสพติดที่แพร่หลายในปัจจุบันมีทั้ง บุหรี่ แอลกอฮอล์ ยาบ้า กัญชา และ โอปิออยด์ (Opioids) ซึ่งสารเหล่านี้อยู่ในสังคมไทยและทั่วโลกมานาน สำหรับสถานการณ์โลกปี ค.ศ.2022 มีรายงานที่เผยแพร่โดยสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) พบว่า ประชากรทั่วโลก อายุ 15 – 64 ปี มีการใช้สารเสพติดผิดกฎหมาย 284 ล้านคน ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 26 จากปี ค.ศ.2010 โดยสารเสพติดที่พบหลัก ๆ ได้แก่กัญชา โอปิออยด์ แอมเฟตามีน เอ็กซ์ตาชี (ยาไอซ์)
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2022/12/D983D59A-61B7-4059-BB35-0D5061D29E17-1024x683.jpeg)
ขณะที่ประเทศไทย ผลสำรวจเมื่อปี พ.ศ. 2563 คือช่วงที่มีสถานการณ์โควิด-19 เพื่อดูว่าสถานการณ์ของสารเสพติดในช่วงนั้นเป็นอย่างไร พบว่าร้อยละ 4.6 ประชากรใช้สารเสพติดกฎหมายในรอบ 12 เดือน ขณะที่ผลการสำรวจปี พ.ศ. 2565 พบว่าเด็กและเยาวชน อายุ 18-19 ปี มีการสูบกัญชาเพิ่มมากขึ้น 2 เท่าจากที่ผ่านมา
สำหรับผลการสำรวจ ทัศนคติและพฤติกรรมการใช้สารเสพติด จากกรณีศึกษาประชาชนอายุ 18 – 65 ปี ใน 20 จังหวัด ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ระหว่างปีพ.ศ. 2563 – 2565 ที่จัดทำร่วมกันระหว่าง ศศก. กับ ศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจ โดยการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 5,630 คน เป็นเพศชาย 2,725 คน เพศหญิง 2,905 คน พบว่า ประชาชนไทยอายุ 18 – 65 ปี มีทัศนคติเห็นด้วยว่าปัญหาสารเสพติดเป็นปัญหาสำคัญของชาติ และไม่ควรลองใช้สารเสพติดและส่วนใหญ่ร้อยละ 41 ของกลุ่มตัวอย่างเห็นว่า การถอดกัญชาออกจากยาเสพติดเป็นผลเสียมากกว่าผลดี ขณะที่ร้อยละ 25 มองว่าเป็นผลดีมากกว่าผลเสีย
รศ. พญ.รัศมน กล่าวอีกว่า ผลการสำรวจเกี่ยวกับกัญชา ที่ปลดออกจากบัญชียาเสพติด พบว่า การปลูกกัญชาในครัวเรือน ส่วนใหญ่ ร้อยละ 86 ของกลุ่มตัวอย่างพบว่าเป็นผู้ที่ไม่ปลูก ส่วนคนที่ปลูกมีค่าเฉลี่ยจำนวนต้นที่ปลูกในครัวเรือนอยู่ที่ประมาณ 2 ต้น โดย 3 ใน 4 ของคนที่ปลูกนั้นไม่ได้จดแจ้ง หรือไม่ขอตอบ/ไม่ทราบ
นอกจากนี้ ยังพบว่าในหนึ่งปีที่ผ่านมา กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 24.9 ใช้กัญชาเพื่อการนันทนาการ และหนึ่งในห้าของผู้ที่อายุน้อยกว่า 20 ปี มีการใช้กัญชาแบบนันทนาการ
“ตัวเลขที่น่าตกใจคือเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี ใช้กัญชาแบบสูบสูงขึ้น 10 เท่า ภายในระยะเวลา 3 ปี ในด้านผลกระทบจากการใช้พบว่าร้อยละ 10 ของผู้ที่ตอบว่าเคยใช้กัญชา มีอาการทางกาย เช่น วิงเวียน ใจสั่นเหงื่อแตก และร้อยละ 1.5 มีอาการทางจิต เช่น หูแว่ว ภาพหลอน”
ขณะที่พืชกระท่อม พบว่า ร้อยละ 6.4 มีการเคี้ยวใบกระท่อมสดเพื่อนันทนาการ ร้อยละ4.5 ดื่มน้ำต้มกระท่อมผสมสารอื่น และ ร้อยละ 4.0 ดื่มน้ำต้มกระท่อมบรรจุขวดสำเร็จรูปไม่ผสมสารอื่น
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2022/12/118DB431-1CD7-4C70-92A3-BB6A888AF2F3-1024x382.jpeg)
ในส่วนของข้อมูลการใช้สารเสพติด พบว่า ร้อยละ 58.7 ของกลุ่มตัวอย่างมีการใช้สารเสพติด รวมแอลกอฮอล์ บุหรี่ กัญชา กระท่อม ยาบ้า ไอซ์ และร้อยละ 4.8 ของกลุ่มตัวอย่างมีการใช้สารเสพติดผิดกฎหมาย (ไม่รวมแอลกอฮอล์ บุหรี่กัญชา กระท่อม) นอกจากนี้ร้อยละ 48.9 ของกลุ่มตัวอย่าง ดื่มแอลกอฮอล์ และร้อยละ 25.5 ของกลุ่มตัวอย่างสูบบุหรี่ในปีที่ผ่านมา
กล่าวโดยสรุปว่า กลุ่มตัวอย่างมองปัญหาสารเสพติดเป็นปัญหาสำคัญของชาติและมีความเห็นว่าไม่ควรลองใช้สารเสพติด การใช้กัญชาแบบสูบเพื่อนันทนาการสูงขึ้นในช่วงระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา ในทุกกลุ่มอายุ โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2565 การใช้กัญชาแบบสูบในเด็กและเยาวชนไทยอายุ 18-19 ปี สูงขึ้น10 เท่า จากร้อยละ 1-2 เป็นร้อยละ 9.7 ในระยะเวลาเพียง 3 ปี การใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ สูงขึ้น รวมถึงสารเสพติดผิดกฎหมายอื่นพบสูงขึ้นในสัดส่วนที่น้อยกว่าสัดส่วนการใช้กัญชา โดยมีข้อแนะนำ ว่า ควรใช้กฎหมายเข้าควบคุมสารเสพติดโดยเร่งด่วน โดยเป็นกฎหมายที่มีการบังคับใช้ (enforcement) ได้จริงในพื้นที่ทั่วประเทศเพื่อบรรเทาผลกระทบ ควรติดตามผลกระทบทางกายและจิตที่เกิดจากการใช้สารเสพติดที่เพิ่มมากขึ้นของประชากรไทยในช่วงปีที่ผ่านมามาตรการการป้องกันโดยการให้ความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงสารเสพติดยังเป็นสิ่งจำเป็น รวมถึงมาตรการให้ความรู้แก่ผู้เชี่ยวชาญเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับประโยชน์และโทษของสารเสพติดยังเป็นสิ่งจำเป็น
ครอบครัวที่พ่อแม่สูบบุหรี่ไฟฟ้า เยาวชนเสี่ยงสูบตาม
ขณะที่ รศ. พญ.เริงฤดี ปธานวนิช ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า สถานการณ์จากผลสำรวจข้างต้นค่อนข้างน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน พร้อมเผยผลการสำรวจในกลุ่มเด็กและเยาวชนในเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งไทยยังผิดกฎหมาย ในเรื่องการนำเข้า ห้ามจำหน่าย ห้ามให้บริการ ซึ่งที่ผ่านมามีงานวิจัยในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ที่เรานำมาอ้างอิง แต่ในไทยก็มีการศึกษาเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า เพิ่มมากขึ้น โดยนำผลงานวิจัยเรื่อง Use of E-Cigarettes and Associated Factors among Youth in Thailand หรือ ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการใช้บุหรี่ไฟฟ้าของเด็กและเยาวชนในประเทศไทย ที่ตีพิมพ์ปี พ.ศ. 2564
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2022/12/44CCA175-A6FF-4C9C-A15D-4960664BD528-1024x683.jpeg)
จากกลุ่มตัวอย่างเด็กและเยาวชนจำนวน 6,045 คน อายุระหว่าง 11 – 16 ปี จากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ พบอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้า 3.7% โดยเด็กผู้ชายสูบมากกว่าผู้หญิง (5.9% และ 1.3% ตามลำดับ)
การศึกษาพบว่าปัจจัยที่สัมพันธ์กับการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กไทยมี 5 ปัจจัยสำคัญ คือ 1. มีพ่อหรือแม่สูบบุหรี่ไฟ้ฟ้าเสี่ยงติดบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่ม 6 เท่า 2. คิดว่าบุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัย เสี่ยงติดเพิ่ม 5 เท่า 3. สูบบุหรี่ธรรมดาอยู่แล้ว เสี่ยงติดเพิ่ม 4 เท่า 4. มีเพื่อนสูบบุหรี่ไฟฟ้า เสี่ยงติดเพิ่ม 4 เท่า และ 5. สภาพแวดล้อมที่เพื่อนยอมรับการสูบบุหรี่ เสี่ยงติดเพิ่ม 2 เท่า ซึ่งผลการศึกษาค่อนข้างตรงกับการศึกษาในต่างประเทศ ในฐานะผู้ดูแลเรื่องสุขภาพ และร่วมกำหนดนโยบาย ควรให้ความสำคัญในเรื่องการสร้างเสริมสุขภาพ ในเรื่องการป้องกันไม่ให้เด็กและเยาวชนใช้บุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะบุหรี่ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ ที่ปริมาณสารนิโคตินสูงเสพติดง่ายและเลิกยาก มีอันตรายกับสมองเด็กเพราะสมองยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่
พบ จ.น่าน ดื่มแอลกอฮอล์ มากสุดอันดับ 1 ของประเทศ
ด้าน ภญ.อรทัย วลีวงศ์ สำนักพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (iHPP) กล่าวถึง ผลการศึกษา ภาระโรคจากยาเสพติดและแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2562 และแง่มุมการแก้ปัญหาในยุค VUCA World โดยทำการศึกษาแง่มุมต่าง ๆ ของแอลกอฮอล์ ที่ทำให้เกิดโรค พบว่า การดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้เกิดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุมากที่สุด รองลงมาคือการฆ่าตัวตาย และยังทำให้เกิดโรคที่นอกเหนือไปจากที่สังคมรับรู้ คือ โรคตับแข็ง และโรคติดสุรา แต่แท้จริงแล้ว เป็นสารก่อมะเร็ง สารพิษ ก่อให้เกิดโรค NCDs เบาหวาน ความดันโลหิต มะเร็ง หัวใจขาดเลือด โรคติดเชื้อ โรคทางจิตเวช กระทบสมองเด็กและเยาวชน รวมกว่า 230 โรคและอาการ และการดื่มแอลกอฮอล์ยังนำไปสู่พฤติกรรมเสี่ยงอื่น ๆ อย่างการใช้ความรุนแรง อุบัติเหตุ การดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ได้มีผลเฉพาะกับผู้ดื่มแต่กระทบต่อคนรอบข้าง ไม่แพ้บุหรี่มือสอง โดยแอลกอฮอล์มือสองก็มีเช่นกัน ที่สำคัญ “ไม่มีปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ที่ปลอดภัย” และเมื่อพิจารณาผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งหมด พบว่า แอลกอฮอล์เป็นสิ่งเสพติดที่อันตรายที่สุด เมื่อเทียบกับสิ่งเสพติดอื่น ๆ
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2022/12/6A4E64F8-3D19-43FB-8BA6-120193B97ABE-1024x683.jpeg)
ที่ยุโรป มีการศึกษาว่า แอลกอฮอล์ทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ 7 ชนิด และมีความพยายามในการบอกประชาชน ที่เขามีสิทธิที่จะรับรู้ถึงอันตรายที่เกิดจากการดื่มเช่น การบอกไปบนฉลากคำเตือนว่าแอลกอฮอล์ทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ ซึ่งในการควบคุมของบ้านเรา ที่ควรดำเนินการต่อ คือ มาตรการชุมชนมีส่วนร่วมในการรณรงค์ มาตรการจัดการเหล้านอกระบบภาษี หรือ เหล้าเถื่อน มีมาตรการติดฉลากคำเตือน และเน้นการบังคับใช้กฎหมาย ส่วนการรณรงค์ว่าให้ดื่มอย่างรับผิดชอบ นับว่าเป็นการซ้ำเติมปัญหา
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2022/12/BF753676-3362-4072-BB14-8F4DB5F0F1BD-1024x683.jpeg)
ด้าน นพ.อธิบ ตันอารีย์ โรงพยาบาลศรีธัญญา กล่าวถึง รายงานสถานการณ์การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายจังหวัดปี พ.ศ. 2564 ที่ทำการสำรวจพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์ในระดับพื้นที่ จากกลุ่มตัวอย่าง 84,000 คน ทั่วประเทศ พบว่า ร้อยละ 28 ของประชากรไทย อายุ 15 ปี ขึ้นไปดื่มสุราในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ร้อยละ 9 ของวัยรุ่นไทยอายุ 15 – 19 ปี ดื่มสุรา แม้ว่ากฎหมายห้ามจำหน่ายแอลกอฮอล์ให้ผู้อายุต่ำว่า 20 ปี ขณะที่สัดส่วนของนักดื่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงสูง คือ ดื่มบ่อยอย่างน้อยทุกสัปดาห์ ร้อยละ 43.8 ดื่มหนัก ร้อยละ 35.9 ดื่มแล้วขับขี่ยานพาหนะ ร้อยละ 31.6 ขณะที่ความชุกของการดื่มรายภาค พบว่า ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีนักดื่มวัยผู้ใหญ่สูงที่สุดสอดคล้องกับนักดื่มวัยรุ่น แต่พบว่าสัดส่วนการดื่มประจำมากที่สุด คือ ภาคกลาง เมื่อเทียบรายจังหวัดที่ดื่มมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ น่าน เชียงราย แพร่มุกดาหาร พะเยา จังหวัดที่ดื่มน้อยที่สุด 5 อันดับ คือ ยะลา ปัตตานี นราธิวาสพังงา สิงห์บุรี ตามลำดับ
ข้อมูลที่น่าสนใจคือ จังหวัดที่พบการดื่มมากที่สุด 5 อันดับในปี 2560 อันดับลดลงซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี ได้แก่ จ.ลำปาง จากอันดับ 1 ลงมาอยู่ที่อันดับ 22 จ.จันทบุรี จากอันดับที่ 4 ลงมาอยู่ที่อันดับ 18 และ จ.สุโขทัย จากอันดับ 5 ลงมาอยู่ที่ 17 ส่วนจังหวัดที่มีความเสี่ยงต่ำสุดยังคงเป็นกลุ่มจังหวัดเดิม เพียงแต่สลับอันดับเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าวิเคราะห์ และเรียนรู้จากจังหวัดเหล่านี้ว่ามีมาตรการในพื้นที่อย่างไร