กมธ.สันติภาพ งัด 7 ข้อเสนอด่วนถึงรัฐบาล ลดเงื่อนไขขัดแย้งชายแดนใต้

เสนอออกกฎหมายยกเลิกคำสั่ง คสช. คืนอำนาจ สภาที่ปรึกษาฯ ตัวกลางสะท้อนเสียงประชาชน ดำเนินคดีนักกิจกรรมอย่างรอบคอบ รัดกุม เป็นธรรม ไม่กระทบเปิดพื้นที่ปรึกษาหารือสาธารณะ จัดงบฯ แก้ปัญหา เยียวยาตรงจุด ยุติบังคับตรวจ DNA เด็ก

จาตุรนต์ ฉายแสง ประธาน กมธ.สันติภาพชายแดนใต้ ระหว่างลงพื้นที่ จ.ปัตตานี เพื่อรับฟังความเห็นทุกภาคส่วน
(19 ม.ค. 67)

จาตุรนต์ ฉายแสง ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษาและเสนอแนวทางการส่งเสริมกระบวนการสร้างสันติภาพเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยถึงข้อเสนอเร่งด่วน ภายหลังการลงพื้นที่เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกลุ่มต่างๆ เกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งและกระบวนการสร้างสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ จ.ปัตตานี เมื่อช่วงวันที่ 19-20 มกราคมที่ผ่านมา โดยมีตัวแทนจากทุกภาคส่วนทั้งเด็ก เยาวชน ชาวไทยพุทธ มุสลิม ภาคประชาสังคม นักกิจกรรรม หน่วยงานราชการ ไปจนถึงภาคเอกชน มาร่วมให้ความเห็นและข้อเสนอแนะ

จากการรับฟังทำให้คณะกรรมาธิการฯ ได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์ เพื่อสานต่อภารกิจจัดทำข้อเสนอเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งระบบ แต่ก็ยังพบว่ามีปัญหาเร่งด่วนที่คณะกรรมาธิการฯ เห็นว่า รัฐบาลต้องเร่งแก้ปัญหาที่กำลังก่อตัว และอาจส่งผลเป็นเงื่อนไขความขัดแย้งเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจไม่เป็นผลดีต่อบรรยากาศที่ทุกฝ่ายกำลังพยายามขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดสันติภาพขึ้นในชายแดนใต้ คณะกรรมาธิการฯ จึงมีข้อเสนอเร่งด่วนต่อรัฐบาลดังต่อไปนี้

  • ขอให้เร่งรัดนำญัตติร่าง พ.ร.บ.ยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่14/2559 เรื่อง คณะกรรมการที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการกำหนดอำนาจหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ลงวันที่ 4 เมษายน พุทธศักราช 2559 พ.ศ. …. มาเป็นวาระเร่งด่วน

โดย พ.ร.บ.การบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553 กำหนดให้มี ‘สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้’ ซึ่งมาจากการเลือกตัวแทนของประชาชนแต่ละกลุ่ม โดยสภาที่ปรึกษาฯ มีบทบาทสำคัญคือการให้คำปรึกษาโดยตรงต่อนายกรัฐมนตรีในการแก้ไขและพัฒนาจังหวัดชายแดนใต้ รวมถึงตรวจสอบและประเมินการทำงานของหน่วยงานรัฐเพื่อรายงานต่อนายกรัฐมนตรีได้ พร้อมทั้งมีอำนาจในการแสวงหาข้อเท็จจริงเพื่อช่วยขจัดความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนได้ในหลายเหตุการณ์

เมื่อมีคำสั่ง คสช. ที่ 14/2559 ซึ่งได้กำหนดให้ ‘คณะกรรมการที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้’ มาทำหน้าที่แทนสภาที่ปรึกษาฯ พบว่า ตลอด 9 ปีที่ผ่านมากลไกนี้ถูกลดบทบาทเป็นเพียงการให้คำปรึกษาเมื่อนายกรัฐมนตรีต้องการความคิดเห็นเท่านั้น คำสั่งนี้จึงเป็นการตัดทอนกลไกการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และลดบทบาทของหน่วยงานพลเรือนในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนใต้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในปี 2566 ส่งผลให้คำสั่งที่เป็นการใช้อำนาจฝ่ายบริหารสิ้นสุดลงไปด้วย สถานะของ ศอ.บต. จึงกลับไปเป็นหน่วยงานที่มีความเป็นเอกเทศตาม พ.ร.บ. การบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้พ.ศ. 2553  แต่สถานะของสภาที่ปรึกษาฯ จะกลับคืนมาได้จำเป็นต้องมีการออกกฎหมายเพื่อยกเลิกคำสั่งคสช. ที่ 14/2559

กลไกสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้จะสามารถทำหน้าที่เป็นเวทีช่วยให้การสะท้อนความคิดเห็นของประชาชนไปยังภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่หนักที่สุดในรอบ 70 ปีที่ผ่านมาไม่นานนี้ เสียงสะท้อนของประชาชนผ่านสื่อมวลชนพบว่าเจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้ครอบคลุมตรงจุด หรือเหตุการณ์ปิดล้อม และปะทะจนนำมาสู่การวิสามัญฆาตกรรมหลายครั้ง ไม่ได้มีตัวแทนของประชาชนเข้าไปร่วมพิสูจน์ข้อเท็จจริง ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการขาดตัวกลางในการเชื่อมโยงระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชน จะยิ่งสร้างเงื่อนไขความขัดแย้งเพิ่มขึ้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำกลไกของสภาที่ปรึกษาฯ กลับคืนมาอีกครั้ง”

  • การพิจารณากำหนดนโยบายการดำเนินคดีกับนักกิจกรรมทางการเมืองและสังคมจะต้องมีการดำเนินการอย่างรอบคอบและได้สัดส่วนกับพฤติการณ์ 

การดำเนินคดีนักกิจกรรมทางการเมืองในภาคใต้หลายคดีที่ผ่านมาส่งผลต่อความรู้สึกปลอดภัยของผู้คนในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นอย่างเสรี ความรู้สึกปลอดภัยนี้เป็นพื้นฐานที่สำคัญต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการสันติภาพ รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน กำลังเริ่มดำเนินการเรื่องการ ‘พูดคุยสันติสุข’ โดยองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญของการพูดคุยสันติสุขภายใต้กรอบ Joint Comprehensive Plan towards Peace (JCPP) ที่นำเสนอโดยรัฐบาลไทย คือ ‘การปรึกษาหารือสาธารณะ’ ที่คาดว่าจะเริ่มขึ้นได้ในช่วงกลางปีนี้  ดังนั้นการดำเนินการใด ๆ ของหน่วยงานรัฐ ควรจะส่งสัญญาณที่เป็นเอกภาพ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนเสรีภาพในการแสดงออกและสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการแสดงความเห็นทางการเมืองของประชาชนอย่างเสรีและสันติ บรรยากาศที่เปิดกว้างต่อการแสดงความคิดเห็นจำเป็นอย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนเพื่อนำไปสู่การแสวงหาทางออกจากความขัดแย้งอย่างสันติร่วมกัน   

คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มุ่งหวังว่าการบังคับใช้กฎหมายจะเป็นไปอย่างระมัดระวัง รอบคอบและเป็นธรรม การดำเนินคดีนักกิจกรรมทางการเมือง จะต้องดำเนินการอย่างรัดกุม และได้สัดส่วนกับพฤติการณ์ เพื่อจำกัดขอบเขตของผลกระทบที่จะเกิดต่อบรรยากาศการสร้างความร่วมมือของภาคประชาชน และไม่ส่งผลเสียต่อความพยายามของทุกภาคส่วนในการร่วมกันสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนให้เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนใต้  รวมไปถึงการขับเคลื่อนของรัฐบาลและรัฐสภา

  • การพิจารณาจัดสรรงบประมาณใน ‘แผนงานบูรณาการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้’ เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพในเชิงนโยบายโดยมีภารกิจสร้างสันติภาพสันติสุขเป็นแกนหลักในการแก้ไขปัญหา

กระบวนการสันติภาพมีความหมายที่กว้างไปกว่าการพูดคุยระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มติดอาวุธเท่านั้น แต่หมายรวมถึงการดำเนินการของภาคส่วนต่างๆ ในการสร้างเสริมสันติภาพให้เกิดขึ้นในสังคม กระบวนการสันติภาพจะต้องเปิดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมเสนอนโยบายในการแก้ไขปัญหาด้านต่างๆ เพื่อหนุนเสริมการแสวงหาทางออกทางการเมืองและแก้ไขปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างยั่งยืน การจัดสรรงบประมาณในแผนงานบูรณาการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ผ่านมายังไม่ได้สร้างให้เกิดการบูรณาการและเอกภาพทางนโยบายอย่างแท้จริง 

รวมถึงยังไม่ได้วางกระบวนการสันติภาพเป็นแกนหลักในการแก้ไขปัญหา ในปี 2566 แผนงานบูรณาการฯ ได้รับงบประมาณทั้งสิ้น 6,208.9 ล้านบาท หากดูการจัดสรรงบประมาณจะเห็นว่าเรื่องการแก้ไขความขัดแย้งด้วยสันติวิธีผ่านการพูดคุยได้รับงบประมาณ 14.73 ล้าน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่น้อยมากหากเทียบกับงบพัฒนาพื้นที่ 2,561.05 ล้านบาท งบการรักษาความปลอดภัย 2,037.22 ล้านบาทและงบข่าวกรองจำนวน 738.98 ล้านบาท ซึ่งอาจจะไม่ใช่งานเชิงรุกในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยตรง

“เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกลัดกระดุมเม็ดแรกให้ถูกต้องเพื่อจัดสรรทรัพยากรเพื่อหนุนเสริมการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งโดยผ่านกระบวนการสันติภาพและสร้างเอกภาพในเชิงนโยบายผ่านการวางกรอบงบประมาณเสียใหม่”

  • การเยียวยาบุคคลที่สามฝ่ายไม่รับรองให้ได้รับการดูแลและมีความมั่นคงในการดำรงชีวิต

ที่ผ่านมารัฐบาลได้ให้งบประมาณการเยียวยาสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งมีส่วนช่วยลดผลกระทบกับครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงได้ระดับหนึ่ง  โดยหลักการแล้ว ในการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงมีเงื่อนไขว่าจะต้องได้รับการรับรองจากเจ้าหน้าที่ในพื้นที่สามฝ่ายคือกระทรวงมหาดไทย (นายอำเภอ) กอ.รมน. (ผบ.ฉก. ในระดับอำเภอ) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผู้กำกับการ)

แต่ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้รับประโยชน์จากนโยบายเยียวยาของรัฐเพราะไม่ได้การรับรองจากสามฝ่าย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ถูกมองว่าเป็นกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ หากมองว่ารัฐไม่ควรจะใช้งบประมาณไปช่วยผู้ที่ต่อต้านรัฐก็สามารถจะมองได้ แต่อีกนัยหนึ่งพวกเขาคือผู้ได้รับผลกระทบหรือเป็นเหยื่อจากความขัดแย้งทางสังคมที่รัฐเองยังไม่สามารถแก้ไขให้คลี่คลายลง ซึ่งจะส่งผลไปถึงลูกหลานของคนเหล่านี้ที่บิดาหรือคนในครอบครัวเสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐจะยิ่งทวีความโกรธแค้นขุ่นเคือง และจะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้เด็ก ๆ เหล่านี้ถูกชักจูงเข้าสู่ขบวนการต่อต้านรัฐได้ง่ายขึ้น รัฐจึงควรเยียวยาบุคคลที่เดิมมิได้เข้าข่ายการรับรองจากสามฝ่ายเหล่านี้ 

นอกจากนี้ รัฐยังควรแก้ไขปัญหาให้กับผู้ที่ได้รับการรับรองไม่ครบทั้งสามฝ่าย ซึ่งส่งผลให้ผู้ได้รับผลกระทบหรือครอบครัวไม่สามารถเข้าถึงการเยียวยาจากภาครัฐได้  ซึ่งรวมถึงเด็กและเยาวชน ส่งผลให้พวกเขาขาดความมั่นคงในการดำรงชีวิต บางคนต้องหลุดออกจากระบบการศึกษา รัฐจึงควรต้องปรับปรุงระบบการเยียวยาเพื่อให้มีความครอบคลุมและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง  

  • ขอให้เจ้าหน้าที่ยุติการบังคับตรวจสารพันธุกรรม (DNA) ในเด็ก โดยการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ต้องทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็กตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กของสหประชาชาติ และ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก

ตลอด 20 ปีของเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีเด็กถูกบังคับให้ตรวจสารพันธุกรรรม (DNA) กว่า 28 ราย และพบการตรวจในเด็กที่อายุต่ำที่สุดเพียง 10 เดือนเท่านั้น ซึ่งการตรวจสารพันธุกรรมมักเกิดขึ้นกับเด็กที่บิดาตกเป็นผู้ต้องสงสัยหรือผู้ต้องหาในคดีความมั่นคงและอยู่ระหว่างการหลบหนี แม้การกระทำดังกล่าวจะได้รับยินยอมจากผู้ปกครองแต่ก็เป็นการยินยอมด้วยเพราะเจ้าหน้าที่รัฐอ้างการบังคับใช้กฎหมายพิเศษ หรือบางครั้งผู้ปกครองไม่สามารถอ่านเอกสารหรือไม่ทราบสิทธิของตนเองในการปฏิเสธการเก็บสารพันธุกรรม  

เด็กซึ่งมีความเปราะบางกำลังถูกตีตรา สร้างบาดแผลในใจเพราะถูกโยงให้เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง  รวมถึงเป็นการละเมิดอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กของสหประชาชาติและพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2548 การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐเช่นนี้อาจบั่นทอนความไว้วางใจของประชาชนและเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ความขัดแย้งทวีความตึงเครียดมากขึ้นอีกด้วย

ตัวแทนภาคธุรกิจจังหวัดชายแดนใต้ เข้าให้ข้อมูล สะท้อนปัญหาในเวทีรับฟังความเห็นฯ (19 ก.พ. 67)
  • การขอผ่อนผันเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) ของภาคธุรกิจในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้มีมาตรการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในพื้นที่ในสภาวะที่เกิดความขัดแย้งรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ การเกิดสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่สร้างผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและการประกอบธุรกิจต่าง ๆ ในพื้นที่ ในหลายปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการยังได้รับผลจากวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19  รวมทั้งสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก เมื่อรัฐบาลปรับเปลี่ยนนโยบายโดยกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการที่รับเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำไปแล้วชำระคืนเงินกู้โดยเร็วอาจส่งผลให้ธุรกิจในพื้นที่ไม่สามาถปรับตัวได้ทัน

การปรับเปลี่ยนนโยบายอย่างฉับพลันอาจจะส่งผลเสียต่อสถานการณ์เศรษฐกิจในจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยรวมในสภาวะที่ความขัดแย้งรุนแรงยังไม่จบ  รัฐจำเป็นจะต้องประคับประคองให้ผู้ประกอบการในพื้นที่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้   รัฐจึงควรพิจารณาผ่อนผันการคืนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำโดยให้มีระยะเวลาการคืนเงินยาวขึ้นและกำหนดแนวทางการชำระเงินกู้ให้สอดคล้องกับความสามารถของผู้ประกอบการเพื่อให้นักธุรกิจในพื้นที่สามารถปรับตัวและยังคงสามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้   ส่วนปัญหาการใช้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำไปลงทุนในกิจกรรมที่ไม่ตรงวัตถุประสงค์นั้น รัฐควรพิจารณายับยั้งเป็นกรณีๆ ไป  แต่ไม่ควรนำเอาประเด็นนี้เป็นเงื่อนไขในการวางกฎเกณฑ์ที่จะส่งผลกระทบในภาพรวม 

พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 หารือร่วมกับ กมธ.สันติภาพชายแดนใต้ (20 ม.ค. 67)
  • ขอให้วางระบบเพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพและการบูรณาการของหน่วยงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างสอดคล้องประสานกันและมีฝ่ายบริหารที่กำกับดูแลอย่างชัดเจนเพื่อให้มีเอกภาพในเชิงนโยบาย

ในปัจจุบันหน่วยงานสำคัญในการกำหนดทิศทางการแก้ไขปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้คือ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.),กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) และ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) แต่ทั้ง 3 หน่วยงานนี้ยังไม่มีกลไกประสานงานที่เป็นระบบและทำให้การบูรณาการร่วมกันยังมิสามารถทำให้เกิดขึ้นได้จริง ในปัจจุบันนายกรัฐมนตรี เป็นผู้กำกับดูแล กอ.รมน. และ สมช. ส่วน ศอ.บต. อยู่ภายใต้การกำกับของรองนายกรัฐมนตรี การไม่มีผู้รับผิดชอบหลักคนใดคนหนึ่งและภารกิจสำคัญยังคงอยู่ในการดูแลของนายกรัฐมนตรีซึ่งมีภารกิจหลายด้านทำให้งานด้านการแก้ไขปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่มีเจ้าภาพหลักและทำให้การสร้างเอกภาพในการทำงานของรัฐเกิดขึ้นได้ยาก

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active