หลัง มท. และ ศธ. ประกาศนโยบายเร่งรัดพัฒนาคนให้รักชาติ ‘ครูสังคมศึกษา’ ตั้งคำถามนิยาม “ความเป็นไทย” รัฐใช้สิ่งใดกำหนด แนะ ห้องเรียนประวัติศาสตร์ต้องเปิดกว้าง ปลอดภัย เน้นให้คิดวิเคราะห์มากกว่าท่องจำ
เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2566 ทีมผู้เขียนหนังสือ “สังคมศึกษาทะลุกะลา” ร่วมกับครูวิชาสังคมศึกษา และวิทยากรด้านการเรียนรู้ จัดกิจกรรม “สังคมศึกษาทะลุกะลา: Critical Social Studies Workshop” ตั้งวงพูดคุยแลกเปลี่ยนถึงปัญหาของหลักสูตรและการสอนวิชาสังคมศึกษา โดยกิจกรรมยังเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้ในหลายประเด็น อาทิ แนวคิดทางศีลธรรม จริยธรรม แนะนำการตั้งคำถามเชิงสืบเสาะ ตลอดจนร่วมค้นหานิยาม “ความเป็นไทย” จากหลักฐานชั้นต้นและชั้นรอง เป็นต้น
![May be an image of 11 people](https://scontent.fbkk5-5.fna.fbcdn.net/v/t39.30808-6/406475544_122115447338067179_1123668649275560063_n.jpg?stp=cp6_dst-jpg&_nc_cat=104&ccb=1-7&_nc_sid=dd5e9f&_nc_eui2=AeHMeR_suoPi1kaSUyx7L2qBuR3mIRK6nD-5HeYhErqcP-dGlrN9Kf6msyDgYfRu4JfV1QY5EJeY_0ViHyXwFRiJ&_nc_ohc=YykOLILasnkAX91l5td&_nc_ht=scontent.fbkk5-5.fna&oh=00_AfByDLRE5rZS0CiJno8umaQIftSp2lXYsIZHzvmL6HkX8Q&oe=657160E5)
“ครูแนน” ปาริชาต ชัยวงษ์ ครูวิชาสังคมศึกษาและผู้เขียนบทความ “สังคมศึกษาเพื่อสร้างจินตนาการใหม่” เปิดเผยว่า ปัญหาของห้องเรียนวิชาสังคมศึกษาคือการที่เยาวชนไม่อาจถกเถียงกันได้อย่างเปิดกว้างและปลอดภัย ทั้งที่วิชานี้ควรจะเป็นวิชาที่จะช่วยเด็กเข้าใจปัญหาของสภาพสังคม และสะท้อนกลับมายังตัวเขาในฐานะปัจเจกบุคคล แม้หลักสูตรจะส่งผลอยู่บ้างต่อภาพความเข้าใจสังคมของเด็ก แต่ครูผู้สอนมีความสำคัญกว่ามากที่จะช่วยทำให้นักเรียนมีกระบวนการคิดที่เฉียบแหลมมากขึ้น ผ่านการพลิกแพลงตัวชี้วัด เพื่อให้เขาสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้ได้โดยไม่ต้องยึดติดกับเนื้อหาในตำรา
“คำว่ากะลาจริง ๆ ไม่ใช่เนื้อหา กะลาจริง ๆ คือมุมมองที่เรามีต่อการสอนวิชาสังคมศึกษาต่างหาก ต่อให้หลักสูตรแกนกลางจะเก่า แต่ถ้าใช้ความสามารถในการตีความตัวชี้วัด ไปจนถึงการออกแบบการสอนเพื่อสร้างให้เด็กพร้อมเป็นพลเมืองโลก มันก็สามารถเกิดขึ้นได้ แต่กลับกันต่อให้หลักสูตรสมรรถนะใหม่ แต่การสอนยังติดกับกรอบเพื่อสร้างเด็กเป็นพลเมืองดีตามแนวคิดรัฐ สังคมศึกษาก็จะไม่ไปไหน”
ครูแนน-ปาริชาต ชัยวงษ์
![May be an image of 10 people, people studying, table, cornflower and text](https://scontent.fbkk5-7.fna.fbcdn.net/v/t39.30808-6/405363144_1404992950319689_9085580003762527624_n.jpg?stp=cp6_dst-jpg&_nc_cat=107&ccb=1-7&_nc_sid=3635dc&_nc_eui2=AeHrAOYqtChXLRBMiQrvkAECWlmjECG5bu9aWaMQIblu7-yyUvdzB0zFfVEAS6tFhL8Wxi2elmOImSNlRbbAfmHy&_nc_ohc=sGMf9Gs7HicAX9_PDj2&_nc_ht=scontent.fbkk5-7.fna&oh=00_AfCB_FYOYeY3kzeN2ltn99k2zlvQ4GnEWavGWCCcasmgig&oe=6570AA07)
“ครูคิน” ภาคิน นิมมานนรวงศ์ ครูวิชาสังคมศึกษาและผู้เขียนบทความ “สู่ประวัติศาสตร์แห่งอนาคต” ร่วมตั้งคำถามถึงการพยายามปลูกฝังให้รักความเป็นไทยผ่านวิชาประวัติศาสตร์ อย่างแรกที่สุด คือการเพิ่มวิชาประวัติศาสตร์ ไม่ได้การันตีว่าเด็กจะรักชาติ พร้อมย้อนถามว่า “ความรัก” ในที่นี้มีนิยามอย่างไร เป็นความรักบนฐานของเหตุผล ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ หรือรักโดยใช้อารมณ์ความรู้สึกนำ ชี้ผู้ริเริ่มนโยบายต้องนิยามให้ชัด ห่วง “ความรักบนความไม่รู้” จะกลายเป็นความรักที่ไม่นำไปสู่การพัฒนาเยาวชนและประเทศ
“เด็กยังเรียนแบบเดิม ถูกบังคับให้ต้องสอบในเนื้อหาเดิม ผมเชื่อว่าถ้าท่านเข้าไปในโรงเรียนหลายแห่งก็สอนแบบเดิมแบบที่ท่านเรียนมา คือ สอนให้รักชาติ เคารพบรรพบุรุษ และประวัติศาสตร์ แต่สุดท้ายเด็กโตมาไม่ได้เชื่อแบบที่ท่านเชื่อ สุดท้ายความเชื่อของคน ๆ หนึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับเนื้อหาตำราเรียน แต่ขึ้นอยู่กับโลกทั้งใบที่เขาเติบโตมา และโลกกำลังเปลี่ยนแปลงแบบที่คุณหยุดยั้งไม่ได้”
ครูคิน-ภาคิน นิมมานนรวงศ์
![May be an image of 8 people and text](https://scontent.fbkk5-7.fna.fbcdn.net/v/t39.30808-6/406490064_122115447326067179_9061320191182767389_n.jpg?stp=cp6_dst-jpg&_nc_cat=107&ccb=1-7&_nc_sid=dd5e9f&_nc_eui2=AeGbNssdhgirnhoxBl6uAW3u_sCAjM59iN7-wICMzn2I3iw6a06kXNPOmmchugodJlVcWM5LOzKXtlMEQd0vojEC&_nc_ohc=ZjgmpiFnm5kAX-pVMpX&_nc_ht=scontent.fbkk5-7.fna&oh=00_AfBFoIogaRdAVcvebroeJph1zuFfsLX9an2ByPU8DyDnNQ&oe=6571A47B)
สำหรับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดให้เด็กไทยต้องเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ตั้งแต่ ป.1 จนถึง ม.6 โดยเฉพาะวิชาประวัติศาสตร์ที่ถูกแยกนับหน่วยกิตต่างหากออกมาจากวิชาหลัก โดยหวังให้เด็กเข้าใจความเป็นมาของชาติไทย มีความรัก ความภูมิใจและธำรงความเป็นไทย (มาตรฐาน ส 4.3)
แม้ในปีการศึกษาหน้าจะมีการเพิ่มเนื้อหาวิชาประวัติศาสตร์ วิชาหน้าที่พลเมือง และวิชาจริยธรรม ตามที่มหาดไทยมีนโยบายริเริ่มกับโรงเรียนในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แต่หากอ้างอิงจากหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 เพิ่มเติม พ.ศ. 2560 จะพบว่านักเรียนไทยจะเรียนจบชั้นประถม-ม.ปลายได้ ต้องผ่านตัวชี้วัดในวิชาสังคมศึกษาสูงถึง 420 ตัวชี้วัด แบ่งเป็น 5 สาระวิชาเรียงจากมากไปน้อย ดังนี้
- ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม 136 ตัวชี้วัด (32%)
- ประวัติศาสตร์ 82 ตัวชี้วัด (20%)
- หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิตในสังคม 72 ตัวชี้วัด (17%)
- ภูมิศาสตร์ 68 ตัวชี้วัด (16%)
- เศรษฐศาสตร์ 62 ตัวชี้วัด (15%)
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2023/12/image-3-1024x575.png)