ผลสำรวจระดับชาติ เผย ความก้าวหน้าสถานการณ์เด็กและสตรีในไทย

ไทยมีอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพิ่มขึ้น การคลอดในวัยรุ่น และการลงโทษเด็กด้วยความรุนแรงลดลง แต่แนวโน้มเรื่องการศึกษากับพัฒนาการเด็กไทยยังน่าห่วง

วันนี้ (10 ก.ค. 2566) ที่โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ สำนักงานสถิติแห่งชาติ และ UNICEF ร่วมแถลงผลการสำรวจโครงการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย พ.ศ. 2565 แสดงให้เห็นความก้าวหน้าด้านเด็กและสตรีหลายด้าน เช่น อัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ล้วนที่เพิ่มขึ้น อัตราการคลอดในวัยรุ่นและการลงโทษเด็กด้วยวิธีรุนแรงที่บ้านลดลง แต่ในขณะเดียวกันก็ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่น่ากังวลด้านพัฒนาการของเด็กปฐมวัย การศึกษา ภาวะโภชนาการของเด็ก และการแต่งงานก่อนวัยอันควร

การสํารวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย หรือ MICS (Multiple Indicators Cluster Survey) ถือเป็นการสํารวจระดับประเทศที่ครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างประชากรเด็กและสตรีที่ใหญ่ที่สุด โดยจัดทําขึ้นทุก 3 ปี และมีการเก็บข้อมูลที่เกี่ยวกับเด็กและสตรีในด้านต่าง ๆ กว่า 130 ตัวชี้วัด เช่น สุขภาพ พัฒนาการ การศึกษา และการคุ้มครองเด็ก การสํารวจ MICS ครั้งล่าสุดนี้เก็บข้อมูลจาก 34,000 ครัวเรือนทั่วประเทศระหว่างเดือนมิถุนายนถึงตุลาคม 2565 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยเริ่มผ่อนคลายมาตราการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

ปิยนุช วุฒิสอน ผู้อํานวยการสํานักงานสถิติแห่งชาติ กล่าวว่า การสํารวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย พ.ศ. 2565 นับเป็นการจัดทําครั้งที่ 5 ของประเทศไทย ผลสํารวจสะท้อนให้เห็นความเป็นอยู่ของเด็กและสตรีในมิติต่าง ๆ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสําหรับผู้กําหนดนโยบายและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ในการออกแบบนโยบายหรือมาตรการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและสตรีในประเทศไทย นอกจากนี้ การสํารวจนี้นับเป็นแหล่งข้อมูลสําคัญอีกแหล่งที่ช่วยในการติดตามความก้าวหน้าของการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)

ปิยนุช วุฒิสอน

โดยพบว่า อัตราการคลอดในวัยรุ่นของประเทศไทยลดลงจาก 23 คนต่อ 1,000 คนในปี 2562 เหลือ 18 คนต่อ 1,000 คนในปี 2565 ขณะที่อัตราของเด็กอายุ 1-14 ปีที่เคยถูกลงโทษด้วยวิธีรุนแรงที่บ้านก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ 75 ในปี 2558 เหลือร้อยละ 58 และร้อยละ 54 ในปี2562 และ 2565 ตามลําดับ นอกจากนี้ ผลสํารวจในปี 2565 ยังพบว่าผู้ชายและผู้หญิงจํานวนมากขึ้นมีทัศนคติไม่ยอมรับความรุนแรงในครอบครัว

สำหรับผลสํารวจชี้ให้เห็นถึงความก้าวหน้าด้านการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในประเทศไทย โดยในปี 2565 มีทารกอายุไม่เกิน 6 เดือน ร้อยละ 29 ที่ได้กินนมแม่ล้วนในช่วง 6 เดือนแรก เมื่อเทียบกับเพียงร้อยละ 14 ในปี 2562 นอกจากนี้ ยังพบว่ามีแม่จํานวนมากขึ้นที่ให้นมลูกอย่างต่อเนื่องจนถึง 1 ปีและ 2 ปี

อย่างไรก็ตาม ผลสํารวจครั้งนี้ก็สะท้อนแนวโน้มที่น่ากังวลด้านการศึกษาและพัฒนาการของเด็กเมื่อเทียบกับผลสํารวจครั้งก่อน ซึ่งจัดทําก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยพบว่าอัตราการเข้าเรียนหลักสูตรปฐมวัยของเด็กอายุ 3-4 ปีลดลงจากร้อยละ 86 ในปี 2562 เหลือเพียงร้อยละ 75 ในปี 2565 นอกจากนี้ อัตราการเข้าเรียนสุทธิของเด็กอายุ 5 ปี (เมื่อเริ่มปีการศึกษา) ลดลงจากร้อยละ 99 เหลือเพียงร้อยละ 88 และอัตราของเด็กปฐมวัยที่มีความพร้อมในการเข้าโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย สมอง สังคม อารมณ์ และภาษา ก็ลดลงจากร้อยละ 99 เหลือเพียงร้อยละ 94 เช่นกัน

อัตราของเด็กวัยประถมศึกษาที่ไม่ได้เข้าเรียนเพิ่มขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1 ในปี 2562 เป็นร้อยละ 4 ในปี 2565 นอกจากนี้ อัตราการไม่ได้เข้าเรียนในชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเพิ่มจากร้อยละ 3 ในปี 2562 เป็นร้อยละ 5 ในปี 2565 ในขณะที่อัตราการไม่ได้เข้าเรียนยังคงสูงสุดในกลุ่มเด็กวัยชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 15 ในปี 2565

นอกจากนี้ ผลสํารวจยังชี้ให้เห็นแนวโน้มที่น่ากังวลด้านการใช้เวลาของเด็กในการเล่นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเพิ่มขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และอาจส่งผลเสียต่อพัฒนาการของเด็ก ผลสํารวจในปี2565 พบว่าร้อยละ 62 ของเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีเล่นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ในจํานวนนี้ เด็กร้อยละ 13 ใช้เวลาเล่นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เฉลี่ย 3 ชั่วโมงต่อวันหรือนานกว่านั้น เมื่อเทียบกับร้อยละ 8 ในปี 2562

ในขณะที่การเข้าถึงและการใช้เวลาเล่นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของเด็กเพิ่มขึ้น ผลสํารวจกลับชี้ว่ามีเด็กจํานวนน้อยลงที่ใช้เวลาอ่านหนังสือที่บ้าน และมีเด็กถึง 6 ใน 10 คนที่มีหนังสือสําหรับเด็กอยู่ที่บ้านไม่ถึง 3 เล่มในขณะเดียวกัน ก็พบว่า มีพ่อแม่ผู้ปกครองจํานวนน้อยลงที่ทํากิจกรรมเพื่อกระตุ้นการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็กโดยในปี 2565 มีพ่อเพียงร้อยละ 31 เท่านั้นที่ทํากิจกรรมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้กับลูกที่บ้าน เมื่อเทียบกับร้อยละ 34 ในปี 2562

ด้านทักษะพื้นฐานด้านการอ่านและการคิดเลขของเด็ก ๆ ก็มีแนวโน้มแย่ลงในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยในปี 2565 มีเด็กในวัยเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 และ 3 น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง(ร้อยละ 47) ที่มีทักษะด้านการอ่านขั้นพื้นฐาน ซึ่งลดลงจากร้อยละ 52 ในปี 2562 และมีเพียงร้อยละ 40 เท่านั้นที่มีทักษะพื้นฐานด้านการคํานวณ เมื่อเทียบกับร้อยละ 47 ในปี 2562

คยองซอน คิม ผู้อํานวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า แม้ว่าช่วงวิกฤตที่สุดของโควิด-19 ได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่การแพร่ระบาดยังคงส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่และพัฒนาการของเด็ก ๆ ข้อมูลจากการสํารวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทยปี 2565 ยืนยันถึงผลกระทบที่รุนแรงและต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการศึกษา วิกฤตดังกล่าวได้ส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กและทําให้เด็กจํานวนมากต้องเลิกเรียนกลางคัน ดังนั้น ประเทศไทยมีความจําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลงทุนกับการศึกษา ระบบสาธารณสุข และระบบคุ้มครองทางสังคมที่มีประสิทธิภาพ เพื่อปิดช่องว่างและทําให้มั่นใจได้ว่าเด็กทุกคนจะใช้ชีวิตได้อย่างเต็มศักยภาพและช่วยประเทศให้บรรลุเป้าหมายที่รุ่งเรืองและยั่งยืนสําหรับทุกคน

คยองซอน คิม

นอกจากนี้ ยังมีการเปิดผลสํารวจด้านอื่น ๆ ที่สําคัญในปี 2565 ได้แก่ ภาวะโภชนาการของเด็ก แสดงถึงแนวโน้มน่าเป็นห่วง โดยภาวะทุพโภชนาการจะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการด้านสมอง สุขภาพ และความเป็นอยู่ของเด็กในระยะยาว ผลสํารวจพบว่า อัตราของเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีที่มีภาวะอ้วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 9 ในปี 2562 เป็นร้อยละ 11 ในปี 2565 นอกจากนี้ ยังพบว่าในปี 2565 อัตราเด็กที่มีภาวะเตี้ยแคระแกร็น, มีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์และมีภาวะผอมแห้งยังคงอยู่ในระดับเดียวกับปี 2562 คืออยู่ที่ร้อยละ 13 ร้อยละ 7 และร้อยละ 7 ตามลําดับ

การสมรสก่อนวัยอันควร ยังเป็นประเด็นที่น่ากังวลของประเทศไทย โดยในปี 2565 ผู้หญิงที่มีอายุระหว่าง 20-24 ปีจํานวน 1 ใน 6 คน (ร้อยละ 17) สมรสก่อนอายุ 18 ปีและเกือบร้อยละ 6 สมรสก่อนอายุ 15 ปี (ซึ่งเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3 ในปี 2562)

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active