ตร.ไซเบอร์ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พุ่งเป้าหลอกผู้สูงอายุ เงินหมุนเวียนนับพันล้าน

ใช้เทคนิคคลิปตัดต่อเสียงตำรวจ ขู่ให้กลัวก่อนหลงเชื่อโอนเงิน สอดคล้องสถิติคนไทยถูกหลอกลวง สูงสุดในเอเชีย 

วันนี้ (18 พ.ค.2567) ตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ตำรวจไซเบอร์ ได้รับการร้องเรียนจากผู้เสียหายหลังถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก โดยอ้างว่าเป็นพนักงานธนาคารมาทวงหนี้บัตรเครดิต จากนั้นก็โอนสายอ้างเป็นตำรวจ ให้ผู้เสียหายแอดไอดีไลน์และข่มขู่ว่าผู้เสียหายถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับการฟอกเงิน ขณะที่ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินให้กับกลุ่มมิจฉาชีพ ซึ่งพบว่าส่วนใหญ่ผู้เสียหายเป็นผู้สูงอายุและข้าราชการเกษียณ

ตำรวจเปิดเผยอีกว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหาที่เป็นอดีตแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ผู้ต้องหาจะมีส่วนแบ่งจากการหลอกผู้เสียหาย จากรายได้ต่อยอด จำนวนผู้หลงเชื่อ 10-17% โดยกำหนดเป้าจะต้องหาเงินให้ได้ประมาณ 20 ล้านบาทต่อสัปดาห์ หรือเดือนละ 80 ล้านบาท หากไม่ทำตามเป้า พนักงานที่เป็นคอลเซ็นเตอร์ก็จะถูกลงโทษด้วยการยืนตากแดดหลายชั่วโมง หรือให้อดอาหารและทำร้ายร่างกาย

พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์ เปิดเผยว่า จากหลักฐานพบหัวหน้าขบวนการคือนายปฏิภาณ หรือ อาฉิ่ง เป็นชาวไทยใหญ่ สามารถสื่อสารได้หลายภาษา ตั้งศูนย์ปฏิบัติการที่ จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา และพบหลักฐานที่เป็นข้อมูลจำนวนผู้เสียหายกว่า 10,000 รายชื่อ รวมทั้งข้อมูลวิธีการหลอกลวง เช่น คลิปของนายตำรวจที่ทำการตัดต่อเสียงแล้ว ข้อมูลบัตรข้าราชการตำรวจปลอม รวมทั้งซิมม้าอีกจำนวนมาก

การสืบสวนและติดตามของกลุ่มผู้ต้องหา ครั้งนี้ตำรวจสามารถติดตามผู้ทำความผิดได้ทั้งหมด 12 คนจากทั้งหมด 15 คนที่ถูกออกหมายจับ ส่วนผู้ต้องหาอีก 3 คนพบข้อมูลว่าหลบหนีออกนอกประเทศผ่านช่องทางธรรมชาติ โดยตำรวจได้ประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมติดตามสกัดจับผู้ต้องหาที่เหลือมาดำเนินคดี

กสทช. เตือนผู้ครอบครองซิมเกิน 6 หมายเลข ยืนยันตัว ภายใน 13 ก.ค.นี้  

ผู้ให้บริการแอปพลิเคชั่น Whoscall พบว่าคนไทยตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพวันละ 217,047 ราย มีคนรับสายจากมิจฉาชีพถึง 20.8 ล้านครั้ง และยังถูกหลอกลวงจากข้อความมากกว่า 58.3 ล้านข้อความสูงที่สุดในเอเชีย

ที่น่าตกใจ คือ ตัวเลขของเหยื่อยังคงเพิ่มสูงขึ้นจากปี 2565 โดยมีผู้ถูกหลอกจากสายโทรศัพท์เพิ่มขึ้น 22% ข้อความเพิ่มขึ้น 17% มูลค่าความเสียหายสะสมรวมกว่า 53,875 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนว่าคนไทยยังหลงกลมิจฉาชีพมีความเสี่ยงถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงอยู่ 

ขณะที่ กสทช. เตือนผู้ครอบครองซิมเกิน 6 หมายเลขต้องเร่งยืนยันตัว ภายใน 13 ก.ค.67 ก่อนถูกระงับบริการ โดยจะมีการดำเนินการเชื่อมฐานข้อมูลกับสถาบันการเงิน และธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อตรวจสอบชื่อผู้ถือครองซิม กับ ชื่อบัญชีเงินฝาก ตรงกันหรือไม่ เพื่อยกระดับกวาดล้างซิมและบัญชีม้า พร้อมประสานความร่วมมือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง ปปง. แบงก์ชาติ และดีอี เป็นต้น

”ขอให้ผู้ถือครองซิมโทรศัพท์ 6-100 หมายเลข เร่งยืนยันตัวตน ภายในวันที่ 13 ก.ค.นี้ หลังพบว่า ขณะนี้ มีผู้ยืนยันตัวตน เพียงประมาณ 7 แสนหมายเลข และยังเหลืออีกกว่า 3 ล้าน 3 แสนหมายเลข ทั้งนี้ หากเกินกำหนดจะถูกระงับบริการ และยกเลิกสัญญาการใช้บริการทันที“

ก่อนหน้านี้ Whoscall สร้างแคมเปญ ‘จับมือเพื่อนรัก ตัดสายมิจร้าย’ (SAVE FRIENDS FROM FRAUD) ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ อาทิ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ, กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และภาคเอกชน สร้างการรับรู้และภูมิคุ้มกันเพื่อไม่ให้คนไทยโดนหลอกซ้ำอีก หลังพบว่าวิวัฒนาการของกลโกงการหลอกลวงที่มาถึงยุค 5.0 เป็นยุคที่มิจฉาชีพหลอกด้วย AI อาทิ การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง AI Deep Fake ในการปลอมตัวตน หรือเก็บและนำข้อมูลส่วนตัวมาหลอกให้ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active