เผยสถานการณ์ ‘นักข่าวสิ่งแวดล้อม’ ถูกฟ้องปิดปาก ท่ามกลางวิกฤตสภาพภูมิอากาศเลวร้าย หลายฝ่ายร่วมเสนอทางออก สร้างกลไกป้องกันการใช้กฎหมายคุกคาม – ยกเลิกกฎหมายปิดกั้นเสรีภาพ
วันนี้ (3 พ.ค. 67) สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) ร่วมกับ องค์กรนักข่าวไร้พรมแดน และองค์การยูเนสโก กรุงเทพฯ จัดเสวนาเรื่อง “เสรีภาพสื่อไทยยุคหลังเลือกตั้ง ท่ามกลางวิกฤตสิ่งแวดล้อมและกฎหมายปิดปาก” เนื่องใน ‘วันเสรีภาพสื่อโลก 2567’ ปีนี้ UNESCO ได้กำหนดให้เป็นปีของการรณรงค์ว่าด้วย ‘บทบาทสื่อมวลชนกับวิกฤตสิ่งแวดล้อม’ (Journalism in the Face of Environmental Crisis)
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/05/image-11-1024x768.png)
Reporters sans frontières (RSF) หรือ นักข่าวไร้พรมแดน องค์การด้านสิทธิและเสรีภาพสื่อระดับนานาชาติ รายงานดัชนีเสรีภาพสื่อทั่วโลกพบว่า ประเทศกลุ่มสแกนดิเนเวีย ครอง 5 อันดับแรกประเทศที่มีสถานการณ์สื่ออยู่ในระดับดี
ขณะที่ ดัชนีเสรีภาพสื่อไทย ปี 2567 อยู่ที่อันดับ 87 จาก 180 ประเทศ จัดอยู่ในประเทศที่ ‘สถานการณ์มีปัญหา’ (Problematic Situation) แต่ถือว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากปีก่อน เนื่องด้วยกระแสการชุมนุมเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยในปี 2563 สู่การเลือกตั้งใหญ่ในปี 2566 ก่อให้เกิดพื้นที่สื่อเพื่อถกเถียงอย่างดุเดือดในประเด็นกฎหมายมาตรา 112 แต่ก็ยังพบสื่อที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล (ในสมัยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ถูกคุกคาม ข่มเหง และเผชิญทำร้ายซึ่งหน้าอีกด้วย
นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีการอ้างใช้ ‘ความมั่นคงของรัฐ’ เพื่อจำกัดเสรีภาพในการนำเสนอของสื่อมวลชน ในขณะที่สื่อที่สนับสนุนชนชั้นปกครองแทบไม่มีการพูดถึงการเคลื่อนไหวของมวลชนในปี 2563 – 2565
RSF ยังระบุว่า ในประเทศไทย นักข่าวต้องตระหนักว่า การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอาจทำให้เกิดผลกระทบที่ตามมา จากการใช้อำนาจศาลและคำสั่งของรัฐบาล นับตั้งแต่รัฐประหารปี 2557 นักข่าวและบล็อกเกอร์หลายสิบคนถูกบังคับให้เลือกระหว่างว่าจะยอมถูกจำคุกหรือเนรเทศตนเองไปจากประเทศ
สำหรับผู้ที่ถูกจำคุกด้วยคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มีรายงานการถูกทำร้ายในคุก ขณะที่ภายนอกเรือนจำ ตำรวจเลือกใช้การปราบปรามอย่างผิดหลักสากล เป็นเหตุให้นักข่าวหลายคนต้องบาดเจ็บสาหัสจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ช่วงการชุมนุมเดือนพฤศจิกายน ปี 2565
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/05/image-12-1024x702.png)
นักข่าวสิ่งแวดล้อมถูกฟ้องปิดปาก
ท่ามกลางวิกฤตโลกรวนที่เลวร้ายขึ้นทุกวัน
ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล นักเขียนประจำนิตยสารสารคดี และประธานชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า ธรรมชาติของการรายงานข่าวสิ่งแวดล้อมมีหน้าที่ต้องวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของภาครัฐ ภาครัฐวิสาหกิจ และกลุ่มทุนต่าง ๆ ทั้งยังต้องเปิดโปงโครงการขนาดใหญ่ที่เอารัดเอาเปรียบทรัพยากรธรรมชาติ การรายงานข่าวดังกล่าวจึงทำให้มีผู้เสียผลประโยชน์มหาศาล ทำให้นักข่าวสิ่งแวดล้อมมีความเสี่ยงในการถูกคุกคามโดยผู้มีอำนาจ โดยเฉพาะการใช้เครื่องมือทางกฎหมายเพื่อ ฟ้องปิดปาก (Strategic Lawsuit Against Pubilic Participation : SLAPP) ทำให้อาชีพนักข่าวสิ่งแวดล้อมทำงานเพื่อปกป้องผลประโยชน์ให้มวลชนได้อย่างยากลำบาก
“ข่าวสิ่งแวดล้อม อาจมีอายุน้อยในแวดวงวิชาชีพสื่อ เมื่อเปรียบเทียบกับข่าวสายอื่น ๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ นักข่าวสิ่งแวดล้อม เผชิญความท้าทายต่อการถูกฟ้องคดี SLAPP หรือ ฟ้องปิดปาก น้อยกว่าใคร”
ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/05/image-10-1024x573.png)
ฐิติพันธ์ เล่าว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเกิดกรณีนักข่าวสิ่งแวดล้อมถูกฟ้อง SLAPP อย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อตัวนักข่าวและสิทธิเสรีภาพ ยกตัวอย่าง ‘ปรัชญ์ รุจิวนารมย์‘ นักข่าวสิ่งแวดล้อมผู้ถูกฟ้องครั้งแรกจากการเขียนข่าว ‘เหมืองแร่ไทยทำลายแหล่งน้ำพม่า’ รายงานผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชุมชนจากการดำเนินกิจการเหมืองแร่ดีบุก และอีกครั้งจากการเสนอข่าว ‘ศาลพม่าสั่งบริษัทเหมืองแร่ไทยชดใช้ชาวบ้านทวาย 2.4 ล้านบาทเหตุเหมืองดีบุกทำสิ่งแวดล้อมพัง’ และทั้ง 2 คดี ถูกฟ้องโดยบริษัทเดียวกัน
กรณีข้างต้น สะท้อนความเหลื่อมล้ำทางอำนาจและทรัพยากรระหว่างโจทก์ (บริษัทเอกชน) กับจำเลย (นักข่าว) และยังพบการไล่ฟ้องร้องสื่อมวลชนปิดกั้นการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน อันเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพ แม้ว่าปีนี้ประเทศไทยต้องเผชิญวิกฤตสภาพภูมิอากาศแปรปรวน วิกฤตปะการังฟอกขาว สารเคมีรั่วไหล ฝุ่นควันและไฟป่า แต่สื่อมวลชนไทยกำลังอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่อาจถูกปิดปากด้วยกฎหมายได้ทุกเมื่อ หากพูดสิ่งใดที่ไม่เข้าหูผู้มีอำนาจ
ฐิติพันธ์ เสนอแนะว่า นักข่าวลำพังไม่อาจแบกรับความเสี่ยงได้ วงการสื่อจำเป็นต้องร่วมด้วยช่วยกัน อย่าปล่อยให้นักข่าวเพียงสำนักเดียวต้องต่อสู้กับอำนาจใหญ่อย่างโดดเดี่ยว ถ้าร่วมกันรายงานสถานการณ์สิ่งแวดล้อม ก็อาจทำให้เกิดการฟ้องร้องกลุ่มทุนหรือหาทางออกร่วมกันได้
สื่อมวลชน นักเคลื่อนไหว นักวิชาการ สหภาพแรงงาน
เป้าหมายการถูกฟ้องปิดปาก
สัณหวรรณ ศรีสด คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล ระบุว่า การฟ้องคดี SLAPP หรือฟ้องปิดปาก มักก่อให้เกิด “ภาวะชะงักงัน” (Chilling Effect) ต่อการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร และเสรีภาพอื่น ๆ เพื่อระงับหรือ
ขัดขวางการวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับประโยชน์สาธารณะ โดยกลุ่มที่ตกเป็นเหยื่อของการฟ้องปิดปากมักหนีไม่พ้นบรรดาสื่อมวลชน นักเคลื่อนไหว นักวิชาการ และสหภาพแรงงาน
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/05/image-9-1024x572.png)
ลักษณะของกฎหมายที่ใช้ฟ้องปิดปากมักเป็นกฎหมายที่เขียนไว้โดยกว้าง คลุมเครือ เอื้อให้ตีความได้ และกำหนดโทษทางอาญาที่ไม่ได้สัดส่วน เช่น บุคคลทั่วไปวิพากษ์การทำงานของภาครัฐแต่ถูกตัดสินถึงโทษจำคุก ทั้งที่การวิพากษ์วิจารณ์ควรเป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน
นอกจากนี้ คดี SLAPP ยังมีการดำเนินคดีที่เร่งรัด หมายเอาผิดโดยเร็ว และเพ่งเล็งบุคคลที่โดดเดี่ยว ไม่มีความสามารถในการช่วยเหลือตัวเอง โดย สัณหวรรณ ได้เสนอแนวทางถึงการปกป้องการฟ้องปิดปาก 3 ประการ ดังนี้
- ออกกฎหมายและนโยบายเพื่อป้องกันคดี SLAPP: รัฐสภาและรัฐบาลควรออกกฎหมายและนโยบายเพื่อป้องกันการฟ้องคดี SLAPP รวมถึงทำการทบกวนแก้ไขกรอบกฎหมายป้องกันคดี SLAPP ในปัจจุบัน ให้กฎหมายและนโยบายดังกล่าวสามารกคุ้มครองผู้เสียหายจากการถูกฟ้อง SLAPP ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยรวมถึงการเปิดช่องให้ศาลสามารถวินิจฉัย เรียก และยกฟ้องคดีที่มีลักษณะเป็น SLAPP ได้โดยเร็วนับตั้งแต่ช่วงแรกของการฟ้องคดี พร้อมทั้งประกันกระบวนการโดยชอบธรรมทั้งแก่ฝ่ายผู้ฟ้องและผู้ถูกฟ้องคดี
- ปฏิรูปกฎหมายที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการฟ้องคดี SLAPP: รัฐสภาและรัฐบาลควรยกเลิกหรือแก้ไขกฎหมายที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการฟ้องคดี SLAPP ให้สอดคล้องกับกฎหมายและมาตรฐานระหว่างประเทศ เช่น กฎหมายที่เปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุลพินิจได้อย่างกว้างขวาง มีความคลุมเครือ เอื้อต่อการจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกหรือเสรีภาพขั้นพื้นฐานอื่น ๆ อย่างไม่เหมาะสม หรือกำหนดโภษทางอาญาอย่างไม่ได้สัดส่วนกับความผิด
- ส่งเสริมการใช้กระบวนการยุติธรรมทางเลือก: คู่ความสามารถเข้าถึงการระงับข้อพิพาทในช่องทางอื่น ๆ ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากันในชั้นศาลเพียงอย่างเดียว เช่นการไกล่เกลี่ย เจรจาเพื่อหารือทางออกอย่างสมานฉันท์และสุจริตใจ
“ไม่ใช่ทุกคนจะพร้อมอยู่หน้าบัลลังก์ เขาอยากไกล่เกลี่ย เพราะด้วยหน้าที่การงาน ครอบครัว ทำให้เข้าไม่พร้อมขึ้นศาลได้ แต่ ‘กลไกทางเลือก’ ในการไกล่เกลี่ย ต้องไม่ใช่การกดดันกดขี่ หลายครั้งเจ้าหน้าที่ก็จะเน้นให้เคสมันจบลงเร็ว ๆ ด้วยการขอโทษกันไป โดยที่จำเลยไม่ได้ยืนยันจุดยืนตัวเองด้วยซ้ำ ทั้งนี้ การไกลเกลี่ยควรเป็นทางเลือกหนึ่ง แต่ต้องเป็นทางเลือกที่ให้ความยุติธรรมได้ด้วย”
สัณหวรรณ ศรีสด
สัณหวรรณ ย้ำว่า การจะแก้ไขประเด็นการฟ้องปิดปากไม่อาจแก้ไขได้ด้วยการร่างกฎหมาย Anti-SLAPP เพียงอย่างเดียว จำเป็นต้องอาศัยการแก้ไขกฎหมายตั้งต้นที่เอื้อให้เกิดการตีความและฟ้องร้องกันได้ รวมไปถึงการส่งเสริมกระบวนการยุติธรรมทางเลือก ตลอดจนการร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่จะผลักดันเสรีภาพสื่อมวลชนไปพร้อมกัน