กรมอุทยานฯ แจงกะเหรี่ยงหนองหญ้าปล้อง ทำผิดคดีรุกป่าจริง ฝั่ง ‘พีมูฟ’ จี้ตอบให้ตรงประเด็น ปฏิบัติผิดหลักแก้ปัญหาคนกับป่า สะท้อนผ่านงบฯ ’66 เน้นปราบปราม มากกว่าแก้ปัญหาช่วยชาวบ้าน
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2022/07/2C7B2362-35B8-4F43-BC27-B1FB248DD38A-1024x552.jpeg)
ภายหลัง รัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ชี้แจงกรณี วันเสาร์ ภุงาม ชาวกะเหรี่ยงบ้านท่าเสลา อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี ถูกศาลฎีกาพิพากษา จำคุก 2 ปี 8 เดือน ให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่รัฐเป็นเงิน 310,000 บาท ไม่รอลงอาญา รวมถึงให้รื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้าง ในคดีบุกรุกอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน โดยยืนยันเป็นการดำเนินคดีในความผิดต่อ พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ, พ.ร.บ.ป่าไม้ และ พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ ซึ่งเจ้าหน้าที่และคณะทำงานกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ตามคำสั่ง ที่97/2558 ลงวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2558 ได้ร่วมพิจารณา จากเส้นแนวเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ตามแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน พ.ศ. 2524 และถ่ายทอดเส้นแนวเขตเป็นระบบเชิงเลข (shape file) แล้ว ซึ่งการดำเนินคดีกรณีบุกรุกอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ในครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงแนวที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ (One Map) นั้น
ล่าสุด วันนี้ (29 ก.ค.65) พชร คำชำนาญ กองเลขานุการขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุ คำถามเดียวที่กรมอุทยานฯ ต้องตอบสังคมคือ “จับเขาทำไม” ไม่ใช่มาชี้แจงเรื่อง One Map หรือการออกมา บอกว่า พื้นที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2022/07/273143762_10224205076586911_4472706592608017645_n-1024x683.jpeg)
พชร ระบุอีกว่า กรมอุทยานฯ ต้องตอบให้ชัดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวบ้าน เป็นแนวทางตามคำสั่ง คสช. ที่ 64/2557 เป็นนโยบายที่ได้ร่วมกันกับคณะรัฐประหารจัดการชาวบ้าน ตอบมาให้ชัดว่าอยู่ในแผนแม่บทป่าไม้ฯ คณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ และแผนแม่บทพัฒนาการป่าไม้แห่งชาติ ที่ต้องการพื้นที่ป่า 40% ของพื้นที่ประเทศ โดยไม่ต้องสนใจประวัติศาสตร์ของชุมชนใด ๆ ที่อยู่มาก่อนการประกาศเขตป่าทุกประเภท
โดยตัวเลข 40% นั้น แบ่งเป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 25% เป้าหมายต้องทำให้ได้ภายในปี 2567 ฉะนั้นถ้าชี้แจงโดยการอ้างว่าเป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ก็ต้องหมายรวมถึงข้อมูลตามผลการดำเนินการสำรวจการถือครองที่ดินในเขตป่าอนุรักษ์ ตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ และ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ที่พบว่ามีชุมชนอาศัยอยู่มากถึง 4,192 หมู่บ้าน เนื้อที่รวมถึง 4,295,501.24 ไร่
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2022/07/6B2B46C2-BE85-4200-8C37-FB93E2C89BE0-1024x768.jpeg)
พชร ระบุต่อว่า ในเมื่อกรมอุทยานฯ เห็นแล้วว่ามีคนอาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์จริง ซึ่งความจริงคือป่าอนุรักษ์ไปประกาศทับคน ทำไมจึงยังต้องให้ชาวบ้านอยู่อาศัย ใช้ชีวิตภายใต้เงื่อนไขกฎหมายที่ลิดรอดสิทธิประชาชน
“คำถามคือ แล้วจากกรณีที่เกิดขึ้นกับนางวันเสาร์ ภุงาม จะต้องมีอีกกี่คนที่ต้องเดินหน้าเข้าคุกเข้าตาราง ถูกแย่งยึดที่ดิน หรือพวกเขาทำได้เพียงใช้ชีวิตอย่างระส่ำระสาย หวาดระแวง ชะตากรรมต้องถูกชี้และกำหนดจากพวกท่านหรือว่าต้องติดคุกเมื่อไร ถ้าชี้แจงว่าเพราะนางวันเสาร์อยู่ในเขตอุทยานฯ ก็หมายความว่าอีกกว่า 4 พันชุมชนที่อยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ก็มีโอกาสจะต้องลงเอยแบบนางวันเสาร์หรือไม่ “
พชร คำชำนาญ กองเลขานุการขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม
ตั้งคำถามงบฯ เน้นปราบปราม มากกว่า แก้ปัญหาช่วยชาวบ้าน
พชร ยังระบุอีกว่า กรมอุทยานฯ กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต้องออกมาชี้ให้ชัด ว่า การแย่งยึดที่ดินคือนโยบายหลักในตอนนี้ สิ่งที่บ่งชี้คืองบประมาณของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในปี 2566 รวม 30,638.5 ล้านบาทนั้น ถูกจัดสรรเพื่อกิจการด้านการ “ป้องกันและปราบปราม” มากถึงเกือบ 3,000 ล้านบาท ในขณะที่งบประมาณด้านการแก้ไขปัญหาที่ดินมีเพียงประมาณ 400 ล้านบาท นั่นหมายความว่ากระทรวงฯ ให้ความสำคัญกับการปราบปราม มากกว่าการแก้ไขปัญหาที่ดินที่เรื้อรัง ซึ่งมีงบประมาณต่างกันถึงเกือบ 8 เท่าตัว
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2022/07/Screen-Shot-2565-07-28-at-23.10.22.png)
วันเสาร์ ภุงาม ชาวกะเหรี่ยงบ้านท่าเสลา อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี
“กรณีของนางวันเสาร์ คือโศกนาฏกรรม คือสิ่งที่สาธารณชนกำลังตั้งคำถามถึงความไม่เป็นธรรมของนโยบายและ “แนวคิด” ในการจัดการป่าของหน่วยงานคุณ ผู้คนกำลังถามหาสำนึก ความรับผิดชอบ และความเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบายจากพวกคุณ ไม่ใช่คำชี้แจงแก้ต่างที่ยิ่งซ้ำเติมเหยื่อ ทับถมความโกรธแค้นให้รอวันปะทุ“
พชร คำชำนาญ กองเลขานุการขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม
พชร ยังตั้งคำถามเพิ่มเติมด้วยว่า กรณีเหมืองแร่, บ้านพักศาล, อุโมงค์ผันน้ำ, เขื่อน, โครงการหลวง หรือแม้แต่สัตว์ ทำไมจึงอยู่กับป่าได้ แล้วเพราะเหตุใดชาวบ้านที่อยู่มาก่อนจึงถูกผลักไส นี่คือคำถามถึงแนวคิดการจัดการทรัพยากรของรัฐไทย ที่จนถึงวันนี้ยังไม่มีใครให้คำตอบ ดังนั้นจึงยืนยันว่าทุกหน่วยงาน ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องมีส่วนในการรับผิดชอบต่อโศกนาฏกรรมในผืนป่า ต้องยุติแผนการ กฎหมาย และนโยบายทั้งหมดที่เกี่ยวกับการทวงคืนผืนป่าและเพิ่มพื้นที่ป่าโดยทันที และต้องคืนความเป็นคนให้เหยื่อผู้ถูกกระทำจากนโยบายรัฐด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ‘พีมูฟ’ จี้รัฐ ‘นิรโทษกรรม’ คืนสิทธิเหยื่อ ‘ทวงคืนผืนป่า’
อธิบดีกรมอุทยานฯ แจงชาวบ้านรุกป่าจริง
ก่อนหน้านี้กรณีที่ รัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ชี้แจงถึงคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกิดขึ้นกับชาวกะเหรี่ยงบ้านท่าเสลา อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี โดยยืนยันว่า เป็นไปตามฐานความผิดบุกรุกป่าตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ร.บ.ป่าไม้ และพ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ ไม่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงแนวที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ (One Map)
เนื่องจากโครงการ One Map เป็นโครงการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 โดยหน่วยงานของรัฐจะนำแนวเขตที่ดิน ตามกฎหมายของหน่วยงานรัฐนั้นฯ มาลงในแผนที่เดียวกันในมาตราส่วน 1:4000 แล้วทำการปรับแนวเขตที่มีการทับซ้อนกัน ให้เหลือ 1 พื้นที่ 1 หน่วยงาน 1 กฎหมาย โดยการดำเนินการต้องดำเนินการปรับแนวเขต ตามหลักเกณฑ์ที่ได้ตกลงร่วมกัน และเสนอให้ คณะรัฐมนตรีรับทราบแล้ว และเมื่อหน่วยงานได้ร่วมกันปรับแนวเขตจนเป็นที่ยุติแล้ว จะนำแนวเขตดังกล่าวเสนอคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ และ นำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบต่อไปหลังจากนั้นหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานใดที่มีการเปลี่ยนแปลงแนวเขตที่มีผลมาจากการปรับปรุงแนวเขตร่วมกันแล้วจะได้นำแนวเขตดังกล่าวไปประกาศให้เป็นแนวเขตที่ถูกต้องตามกฎหมายของแต่ละหน่วยงานต่อไป
ในส่วนการดำเนินการตามโครงการ One Map นั้นได้มีการแบ่งการดำเนินการ ออกเป็น 7 กลุ่ม กลุ่มละ 11 จังหวัด โดยกลุ่มจังหวัดที่ 1 ได้แก่ จังหวัดนนทบุรี, นครปฐม, อ่างทอง, สิงห์บุรี, สมุทรปราการ, สมุทรสาคร, สมุทรสงคราม, พระนครศรีอยุธยา, ปทุมธานี, สุพรรณบุรี และ กรุงเทพมหานคร ซึ่งได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อย และคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว เมื่อวันที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมา และกลุ่มจังหวัดที่ 2 ได้แก่ จังหวัดจันทบุรี, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ชัยนาท, ตราด, นครนายก, นครสวรรค์, ระยอง, ลพบุรี, ศรีสะเกษ และสระบุรี ได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่าง นำเสนอ คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ สำหรับกลุ่มจังหวัด ที่ 3 – 7 อีก 55 จังหวัดที่เหลือ ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ