หลัง ตุลาการศาล รธน. มีมติ 8 ต่อ 1 วินิจฉัย พ.ร.ก.เลื่อนบังคับใช้ 4 มาตรา ขัด รธน. ส่งผลให้บังคับใช้ย้อนหลังตั้งแต่ 22 ก.พ. 66 ‘นักสิทธิฯ’ ชี้ การออกกฎหมายควรเป็นไปตามหลักการ ไม่ใช่เกมการเมือง หวังเห็นผู้เสียหายในอดีตจะได้รับการเยียวยาจาก พ.ร.บ. ฉบับนี้เช่นกัน
วันนี้ (18 พ.ค. 2566) ศาลรัฐธรรมนูญ เผยแพร่ข่าวสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ กรณี พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 (พ.ร.บ.อุ้มหาย) พ.ศ. 2566 ว่าเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 172 วรรคหนึ่งหรือไม่
ซึ่งกรณีนี้ ครม. เคยมีมติเลื่อนบังคับใช้ 4 มาตรา จากเดิมจะต้องมีผลบังคับใช้ทั้งฉบับตั้งแต่ 22 ก.พ. 2566 โดยให้เลื่อนเป็น 1 ต.ค. 2566 โดยอ้างเหตุผลความไม่พร้อมด้านงบประมาณ การจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ และขั้นตอนการปฏิบัติงาน ในการบังคับใช้พระราชบัญญัติดังกล่าว
โดยศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก 8:1 วินิจฉัยว่า พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมฯ ฉบับดังกล่าว ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 172 วรรคหนึ่ง และให้พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมฯ ฉบับดังกล่าวไม่มีผลใช้บังคับมาแต่ต้น (22 ก.พ. 2566) ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 173 วรรคสาม
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2023/05/7E544896-1210-48AE-BC57-18E8201566A3-724x1024.jpeg)
พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวว่า ประกาศดังกล่าว อธิบายให้เข้าใจง่าย คือ ศาลรัฐธรรมนูญ มีความเห็นว่าจากการที่รัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีมติ เลื่อนใช้ พ.ร.บ.อุ้มหาย บางมาตราออกไปนั้น ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้กฎหมายทั้งฉบับเต็มมีผลบังคับใช้ย้อนหลังไปถึงวันที่ 22 ก.พ. 2566 ซึ่งเดิมทีมีผลเลื่อนบังคับใช้อีก 4 มาตรา ในวันที่ 1 ต.ค. 2566
พรเพ็ญ ยังระบุอีกว่า หากรัฐบาลใหม่เป็นไปตามการแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาล เชื่อมั่นว่าผู้เสียหายในอดีตอาจจะได้รับการยอมรับและเคารพ รวมถึงการเยียวยาในเรื่องความสูญเสียที่เขาเผชิญมาตลอดได้ จาก พ.ร.บ. ฉบับนี้ ซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักของการออกกฎหมายฉบับนี้เหมือนกัน นั่นคือการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นจากอดีตได้ด้วย เนื่องจากว่าการอุ้มหายถูกตีความเป็นมาตรฐานสากลว่าคือความผิดต่อเนื่อง
“ขอชื่นชมศาลรัฐธรรมนูญ 8 ใน 9 ที่ยืนยันหลักการและเคารพระบบรัฐสภา ซึ่งเห็นว่าเป็นแนวโน้มที่ดี ที่รัฐสภาไทย ทั้งส่วนของ ส.ว. และ ส.ส. จะเคารพหลัการนี้ด้วย และหวังว่า พ.ร.บ. ฉบับนี้ จะประกาศใช้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งฉบับ”
สำหรับ 4 มาตราที่มีการขยายเวลาการบังคับใช้ออกไปก่อนหน้านี้ คือ
- มาตรา 22 การควบคุมตัว เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบต้องบันทึกภาพและเสียงอย่างต่อเนื่องในขณะจับและควบคุมจนกระทั่งส่งตัวให้พนักงานสอบสวนหรือปล่อยตัวบุคคลดังกล่าว
- มาตรา 23 การควบคุมตัว เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบต้องบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกควบคุมตัว
- มาตรา 24 การเข้าถึงข้อมูลของผู้ถูกควบคุมตัว
- มาตรา 25 การไม่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกควบคุมตัว กรณีอยู่ภายใต้การคุ้มครองของกฎหมาย ละเมิดต่อความเป็นส่วนตัว เกิดผลร้ายต่อบุคคล หรือเป็นอุปสรรคต่อการสืบสวนสอบสวน
ด้าน สุรพงษ์ กองจันทึก ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวว่า กระบวนการทางกฎหมายมีความชัดเจนที่จะต้องออกกฎหมายที่จำเป็นอยู่แล้ว แต่กรณี การประกาศ พ.ร.ก. ขอเลื่อนใช้ พ.ร.บ.อุ้มหาย ที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่า อำนาจการออกกฎหมายเป็นของนิติบัญญัติ รัฐบาลอยู่ในส่วนของการบริหารเสนอ ยกร่าง และผลักดัน แต่ที่ผ่านมามีการเล่นเกมการเมืองจนทำให้กฏหมายล่าช้า ซึ่งสุดท้าย สะท้อนกลับไปที่ตัวของรัฐบาลเอง
“รัฐบาลเองจะต้องไม่มองเป็นกฎหมายของพรรคใด พรรคหนึ่ง เพราะเมื่อใดก็ตามที่เข้าไปเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ต้องทำความเข้าใจว่าเป็นตัวแทนของประชาชน แล้วจะทำอย่างไรที่จะออกกฎหมายเผื่อเป็นประโยชน์กับประชาชน”
กรณีที่มีการอ้างเรื่องของความไม่พร้อมอุปกรณ์ ระบุว่า ในกฎหมายไม่ได้มีการระบุคุณภาพว่าจะต้องดีเท่าไร หรือจะต้องเชื่อมกับระบบคอมพิวเตอร์ได้แม้กระทั่งกล้องโทรศัพท์มือถือก็สามารถใช้ได้ เรื่องเหล่านี้แต่ละสถานีตำรวจสามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้เบื้องต้น ซึ่งสามารถทำก่อนได้ไม่ใช่ปัญหา
แต่ปัญหาที่สำคัญอาจจะเป็นเรื่องของนโยบายรัฐ นโยบายของผู้บังคับบัญชาระดับสูง จะต้องกำชับลงมาและสั่งการลงมาอย่างเร่งด่วนให้เรื่องเหล่านี้จะต้องปฏิบัติในทันที ถ้ามีนโยบายลงมาอย่างชัดเจนเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทำได้