เครือข่ายรัฐสวัสดิการฯ จวก รัฐล้มเหลวคุมโรคระบาด “สวัสดิการถ้วนหน้า” คือ ทางออกเยียวยาประชาชน เสนอปฏิรูประบบภาษี ตัดงบฯ อาวุธ 3 เหล่าทัพ เพิ่มงบฯ สวัสดิการประชาชน
19 ก.ค. 2564 – เครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม หรือ We fair จัดแถลงข่าวออนไลน์ “วัคซีนต้องฟรีและถ้วนหน้า เก็บภาษีความมั่งคั่งเศรษฐี 1% ตัดงบอาวุธ 3 เหล่าทัพ เพิ่มงบสวัสดิการประชาชน” โดย นิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์, สมชาย กระจ่างแสง, ธนพร วิจันทร์ และนุชนารถ แท่นทอง ร่วมแถลง
มีการระบุถึงสถานการณ์ผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากการระบาดของโควิด-19 ในเวลานี้ ว่าเป็นผลจากการบริหารประเทศที่ผิดพลาดและล้มเหลวของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ แต่กลับสร้างความสิ้นหวังรวมหมู่และล้มเหลวใน 3 ด้าน คือ 1) ความล้มเหลวในการควบคุมการแพร่ระบาด 2) ความล้มเหลวในการบริหารจัดการวัคซีน และ 3) ความล้มเหลวในมาตรการเยียวยา
กลุ่ม We fair ยังระบุถึงข้อเสนอแนวทางรัฐสวัสดิการในสถานการณ์วิกฤตการณ์โควิด-19 ใน 3 ประเด็น
1) วัคซีน mRNA และชุดตรวจ Rapid Test ฟรีและถ้วนหน้า
- เร่งรัดการนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA เช่น ไฟเซอร์ โมเดอร์นา ให้ได้เร็วที่สุด โดยใช้เป็นวัคซีนหลักเพื่อนำมาฉีดฟรีและถ้วนหน้าสำหรับทุกคน และเพื่อเป็นวัคซีนฉีดกระตุ้นเข็ม 3 แก่บุคลากรทางการแพทย์
- การจัดหาชุดตรวจ Rapid Antigen Test ฟรีและถ้วนหน้าสำหรับทุกคน เนื่องจาก ชุดตรวจราคา 300-400 บาท เทียบเท่าค่าแรงขั้นต่ำถือว่าสูงเกินไป ในขณะที่เยอรมนีมีขายตามร้านขายยาในราคา 0.80-4 € (ประมาณ 20-150 บาท) ในเดนมาร์กมีจุดรับตรวจด้วย Rapid Test และ PCR ฟรี รวม 613 แห่งทั่วประเทศ สามารถเข้าไปตรวจได้โดยไม่ต้องนัดหมาย และหลายประเทศใช้ชุดตรวจ Rapid Test เพื่อแยกผู้ติดเชื้อให้เร็วที่สุด หากได้ผลบวกจะตรวจแบบ PCR ซ้ำ Rapid Test จึงเป็นอุปกรณ์ที่ต้องแจกจ่ายให้ถึงประชาชน ทั้งแจกฟรี จำหน่ายราคาถูก และจัดส่งถึงบ้าน
- เปิดเผยสัญญาการสั่งซื้อวัคซีน AstraZeneca และ Sinovac รวมถึงวัคซีนอื่น ๆ ทุกขั้นตอนการดำเนินการ เพื่อทำให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นถึงความจริงใจในการแก้ปัญหาการระบาดอย่างแท้จริง
2) ยกระดับล็อกดาวน์ต้องยกระดับเยียวยาเร่งด่วน
- การเยียวยาประชาชนที่มีอายุเกิน 18 ปี ด้วยเงินรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า (Universal Basic income หรือ UBI) เดือนละ 5,000 บาท อย่างน้อย 3 เดือน
- มาตรการด้านสาธารณูปโภคและที่อยู่อาศัย ลดค่าใช้จ่าย อย่างน้อย 6 เดือน ได้แก่ ค่าไฟฟ้า ค่าประปา ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าทางด่วน ค่าโดยสาร ค่าเช่าบ้าน ค่าหน่วยกิตมหาวิทยาลัย ในกรณีที่ดินทำกิน/ที่อยู่อาศัย ห้ามการไล่-รื้อในกรณีที่ไม่มีค่าเช่าบ้าน รวมทั้งห้ามขับไล่ประชาชนออกจากที่ดินรัฐ ในช่วงที่ไม่สามารถรวมตัวเช่นสถานการณ์ปกติได้
- มาตรการด้านหนี้สิน/สินเชื่อ พักการชำระหนี้สินและดอกเบี้ย 1 ปี ได้แก่ หนี้สินบุคคล บ้าน รถ การศึกษา กยศ. และยุติการคำนวณดอกเบี้ย ระงับการฟ้องคดีล้มละลายบุคคลและนิติบุคคลขนาดเล็ก
- มาตรการแรงงาน (1) กรณีนายจ้างสั่งให้ลูกจ้างหยุดงานหรือราชการสั่งปิด ให้นายจ้างและรัฐร่วมจ่ายเงินให้ลูกจ้างรวมเป็น 100% (2) ผู้ประกันตน มาตรา 33 กรณีนายจ้างสั่งหยุดงานชั่วคราวโดยมิใช่เหตุสุดวิสัยแต่เป็นเหตุอื่นตามมาตรา 75 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ซึ่งนายจ้างต้องจ่ายค่าจ้าง 75% โดยให้รัฐจ่ายส่วนต่างอีกจำนวน 25% (3) การลดเงินสมทบประกันสังคม มาตรา 39 และ 40 โดยรัฐจ่ายสมทบแทน (4) สนับสนุนแรงงานอิสระ แรงงานนอกระบบเข้าสู่ระบบประกันสังคม มาตรา 39 และ 40 โดยรัฐจ่ายสมทบให้ช่วงโควิดและส่งเสริมให้เข้าสู่ประกันสังคมทั้งหมด
3) สร้างรัฐสวัสดิการ ปรับงบประมาณ 2565 ตัดงบอาวุธ และเก็บภาษีคนรวย
- การสร้างรัฐสวัสดิการ จากงบประมาณประจำปี 2565 จำนวน 3.1 ล้านล้านบาท โดยจัดลำดับความสำคัญเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์โควิด การตัดงบประมาณอาวุธ และเพิ่มงบประมาณสวัสดิการประชาชน
- การตัดงบประมาณอาวุธ จะทำให้มีวัคซีน Pfizer สำหรับประชาชนกว่า 28 ล้านคน 1) เรือดำน้ำ 2 ลำ (22,500 ล้านบาท) ได้วัคซีน 18.5 ล้านคน 2) รถยานเกราะ Stryker 20 คัน (1.8 พันล้านบาท) รถถังหลัก VT-4 10 คัน (1.9 พันล้านบาท) ได้วัคซีน 3.04 ล้านคน 3) เครื่องบินโจมตี AT-6TH 8 ลำ (4.5 พันล้านบาท) ดาวเทียม#Microsat 2 ดวง (1.4 พันล้านบาท) จรวดต่อสู้อากาศยาน (2.2 พันล้านบาท) ได้วัคซีน 6.65 ล้านคน
- นโยบายสวัสดิการสังคมถ้วนหน้า
- เงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้า เด็กแรกเกิด 0-6 ปี กว่า 4.2 ล้านคน ได้เงินอุดหนุนจำนวน 600 บาท/เดือน เฉพาะครอบครัวที่มีรายได้ต่ำกว่า 100,000 บาท/ปี ทำให้เด็กได้รับเงินเพียง 1.4 ล้านคน รัฐต้องจัดเงินอุดหนุนเด็กแบบถ้วนหน้า ซึ่งจะใช้งบประมาณ 30,533.98 ล้านบาท จากงบเดิม 13,074 ล้านบาท
- ประกันสังคมคนทำงานถ้วนหน้า แรงงานนอกระบบ แรงงานอิสระ แรงงานภาคเกษตร กว่า 20 ล้านคน เข้าถึงประกันสังคม มาตรา 40 เพียง 3.3 ล้านคน รัฐควรจูงใจให้แรงงานอิสระ 17 ล้านคน เข้าสู่ประกันสังคม โดยจ่ายเงินสมทบให้ 3 เดือน เดือนละ 100 บาท ใช้งบประมาณการ 5,100 ล้านบาท
- บำนาญผู้สูงอายุถ้วนหน้า ผู้สูงอายุ 12.04 ล้านคน รัฐต้องพัฒนาเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 600-1000 บาท เป็นเงินบำนาญ โดยใช้เกณฑ์เส้นความยากจน ทั้งนี้ หากเพิ่มเงินเบี้ยยังชีพเท่ากัน 1,000 บาท ตามนโยบายพรรคพลังประชารัฐและพรรคประชาธิปัตย์ จะใช้งบประมาณ 144,480 ล้านบาท จากงบเดิม 80,970 ล้านบาท
- เงินคนพิการถ้วนหน้า คนพิการ 2 ล้านคน ได้รับเบี้ยพิการ 800 บาท ส่วนคนที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้เพิ่ม 200 บาท โดยมีคนพิการ 8.8 แสนคน ได้รับ 800 บาท รัฐต้องพัฒนาเบี้ยความพิการโดยใช้เกณฑ์เส้นความยากจน ทั้งนี้ หากเพิ่มเบี้ยยังชีพ 1,000 บาท จะใช้งบ 24,000 ล้านบาท จากงบเดิม 19,023 ล้านบาท
- การปฏิรูประบบภาษีและภาษีความมั่งคั่ง
- การปฏิรูประบบภาษี ได้แก่ (1) การปรับปรุงการลดหย่อนและการยกเว้นภาษี ซึ่งมีลักษณะที่ผู้มีรายได้น้อยอุดหนุนและเอื้อประโยชน์ให้ผู้มีรายได้สูง (2) การจัดเก็บภาษีอัตราก้าวหน้า ภาษีที่ดิน ภาษีเงินได้ (3) การจัดเก็บภาษีผลได้จากทุน (Capital Gains Tax) (4) ภาษีมรดก
- ภาษีความมั่งคั่งคนรวย 1% การจัดเก็บภาษีความมั่งคั่งเพื่อลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ และพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน เป็นข้อเสนอที่สอดคล้องกับธนาคารโลกที่แนะนำให้รัฐบาลปรับขึ้นอัตราภาษีเงินได้สำหรับผู้ที่มีฐานะร่ำรวย เพื่อนำไปช่วยชำระหนี้มูลค่า 1.4 ล้านล้านบาท จากการประเมินของ นักวิชาการ การเก็บภาษีความมั่งคั่งที่อัตรา 3.5% กับมหาเศรษฐี 10 อันดับแรก จะเก็บภาษีได้ประมาณการ 125,000 ล้านบาท มหาเศรษฐี 50 อันดับแรก จะเก็บได้ประมาณการ 185,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ แถลงการณ์ยังระบุด้วยว่า สถานการณ์โควิด-19 ทำให้สังคมไทยได้บทเรียนว่า “สวัสดิการถ้วนหน้า” สามารถเยียวยาผู้คนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลหลายประเทศไม่เพียงมีมาตรการเยียวยา แต่มีนโยบายสวัสดิการสังคมตามแนวคิดรัฐสวัสดิการ การเข้าถึงสิทธิเสมอกันไม่แบ่งแยก การพัฒนาหลักประกันสุขภาพ ประกันสังคมคนทำงาน ระบบบำนาญผู้สูงอายุ รวมทั้งระบบเงินเดือนถ้วนหน้า เพื่อรองรับประชาชน นับตั้งแต่ความเดือดร้อนอันดับแรก ได้แก่ หน้ากากอนามัย รายได้ที่สูญเสีย ชุดตรวจโรค วัคซีนที่มีคุณภาพ จนถึงเตียงในการรักษาพยาบาล