ล่าสุด หยก-ธนลภย์ เยาวชนนักเคลื่อนไหว ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า “จาก 51 วันของการถูกกักขังอยู่ในคุก มาสู่ 51 วันของการถูกใส่ร้ายป้ายสีด้วยเฟคนิวส์นับถึงวันที่ 8 กรกฎาคม 2566 เราออกมาอยู่ข้างนอกได้ 51 วันแล้ว”
…51 วันในคุกและนอกคุก คุกบ้านปรานีคือคุกทางร่างกาย ในขณะที่ข้างนอกนั้น สังคมไทยคือคุกที่กักขังความคิด
“ถ้าสิ่งที่ผู้ใหญ่คิดว่าทำมามันถูกและดีแล้ว ประเทศไทยในตอนนี้ก็ต้องดีมาก เราไม่เชื่อและจะสู้ต่อไป แม้ว่าเรื่องนี้จะทำให้สุดท้าย แม้สิทธิในการศึกษา โรงเรียนก็ยึดไปจากเรา”
ทั้งนี้ สถานการณ์ช่วงที่ผ่านมาแม้ทางโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการจะเปิดให้ หยก แต่งชุดไปรเวทเข้าไปเรียนได้ แต่ก็ยังไม่มีชื่อในทะเบียนนักเรียนทำให้ไม่มีสิทธิสอบ และไม่มีสิทธิรับวุฒิการศึกษา
ขณะที่ จินตนา ศรีสารคาม ผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ พร้อมด้วยตัวแทนเครือข่ายผู้ปกครองโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ตัวแทนคณะกรรมการสถานศึกษา ยื่นหนังสือต่อ คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา พื่อขอความคุ้มครองนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ
พร้อมระบุว่า ‘หยก’ สามารถสมัครเข้าเรียนในปีการศึกษาหน้าได้ แต่ต้องผ่านการสอบเข้าใหม่อีกครั้ง เพราะขณะนี้ไม่มีสถานภาพนักเรียนในตอนนี้แล้ว และไม่มีสิทธิสอบในปีการศึกษานี้อีก
“เราไม่สามารถปฏิเสธกฎระเบียบได้ ทุกคนอยู่ใต้กฎระเบียบเดียวกัน นักเรียนไม่ได้มาแค่เรียนหนังสือ แต่ต้องเรียนรู้ถึงวิธีการอยู่ในสังคม แต่โรงเรียนไม่ปฏิเสธที่จะรับ หยก เข้าเรียน แต่เมื่อเข้ามาแล้ว ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ ผู้ปกครองจึงสำคัญ ที่จะต้องเข้ามารับรู้และพัฒนาเด็กไปพร้อมกัน”
ทั้งนี้ จะเห็นว่าช่วงเวลาที่ผ่านมากรณีของ ‘หยก’ ได้จุดประเด็นนำไปสู่กระแสวิพากษ์วิจารณ์ของคนในสังคมในหลายมิติ ซึ่งหากพิจารณาอย่างรอบด้านจะเห็นว่า หลายเรื่องเป็นปัญหาที่ค้างคา รอการแก้ไขมาอย่างยาวนาน ดังนั้นการเปิดพื้นที่ให้สังคมหันมาพูดคุยกันในแต่ละหัวข้ออย่างจริงจังอาจนำไปสู่แรงกระเพื่อมที่พัฒนาไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นไม่มากก็น้อย
จากการสำรวจเสียงสะท้อนในโลกออนไลน์ ผ่านเครื่องมือ ZOCIAL EYE ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-3 ก.ค. 66 พบว่ามีข้อความที่พูดถึงกรณี ‘หยก’ จำนวน 74,789 ข้อความ 11,704,839 Engages จาก14,939 บัญชี ผ่านทางช่องทาง โดยช่องทางที่เรียงตามจำนวนข้อความ Facebook 66.25% YouTube 16.08% Twitter 14.24% Forum (พันทิป) 1.19% Instagram 1.17% News (สื่อ) 0.89% TikTok 0.19%
ทั้งนี้ จะพบว่าช่วงที่มีการพูดถึงกรณี ‘หยก’ มากที่สุดแบ่งเป็นสองช่วงคือ
ช่วงแรกเดือนพฤษภาคม ซึ่งในวันที่ 18 พ.ค. 66 ซึ่งเป็นวันที่ ‘หยก’ ในฐานะผู้ตกเป็นผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 ที่อายุน้อยที่สุดถูกปล่อยตัว จากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนหญิงบ้านปรานี จ.นครปฐม โดยคีย์เวิร์ด ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือ ‘ม.112’ และ ‘ล้มเจ้า‘
หากพิจารณาในรายละเอียดช่วงวันที่ 1-31 พ.ค. 66 มีการพูดถึงหยกในออนไลน์ 5,950 ข้อความ 3,047,890 Engagements 1,980 บัญชี โดยคีย์เวิร์ดที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือ
- ม.112 : 830 ข้อความ
- ผู้ปกครอง : 317 ข้อความ
- มอบตัว : 117 ข้อความ
- ล้มเจ้า : 101 ข้อความ
- ชุดนักเรียน : 48 ข้อความ
- ล้างสมอง : 38 ข้อความ
- ทรงผม : 34 ข้อความ
- โรงเรียน : 35 ข้อความ
- สีผม : 4 ข้อความ
- กาลเทศะ : 3 ข้อความ
ช่วงที่สองเดือนมิถุนายน หลัง ‘หยก’ พยามปีนรั้วเข้าโรงเรียน โดยวันที่ 19 มิ.ย. 66 ซึ่งเป็นวันที่สี่ที่หยกพยายามเข้าโรงเรียน และทางโรงเรียนเปิดให้เข้าไปเรียนได้ มีการพูดถึงหยกมากที่สุด โดย คีย์เวิร์ด สำคัญคือ ‘ผู้ปกครอง’ ‘ชุดนักเรียน’ และ ‘มอบตัว’
จากข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1-30 มิ.ย. 66 พบข้อความที่ถูกพูดถึงเกี่ยวกับหยกเพิ่มขึ้นกว่าช่วงแรก โดยมี 61,433 ข้อความ 7,784,634 Engagements 11,964 บัญชี คีย์เวิร์ดที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือ
- ชุดนักเรียน 8,065 ข้อความ
- ผู้ปกครอง 7,865 ข้อความ
- มอบตัว 3,149 ข้อความ
- สีผม 3,121 ข้อความ
- ไปรเวท 2,956 ข้อความ
- ทรงผม 2,477 ข้อความ
- ม.112 : 1,284 ข้อความ
- ล้างสมอง 1,162 ข้อความ
- เครื่องแบบนักเรียน 693 ข้อความ
- ยูนิฟอร์ม 475 ข้อความ
โดย 10 อันดับ hashtags ที่สูงที่สุดในเดือนมิถุนายน คือ
- #น้องหยก 24.64%
- #Saveหยก 24.26
- #หยก 18.33
- #Saveเตรียมพัฒน์ 10.41%
- #พิธา 5.18% (กรณีเกี่ยวข้องกับหยก)
- #ก้าวไกล 4.46% (กรณีเกี่ยวข้องกับหยก)
- #ชุดนักเรียน 3.66%
จากข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า กรณีของ ‘หยก’ ได้นำไปสู่การถกเถียงในหลายประเด็น ทั้งเครื่องแบบ ทรงผม กิจกรรมหน้าเสาธง Homeroom ไปจนถึงเรื่องหลักสูตร และระเบียบการมอบตัวของโรงเรียน ที่มีหลายมุมมอง และข้อเสนอแนะ
หนึ่งในประเด็นที่คนในสังคมให้ความสนใจเข้ามาพูดคุยกันคือเรื่องเครื่องแบบนักเรียน และ ทรงผม ที่มีทั้งฝั่งที่อยากให้ยังคมกำหนดให้ใส่ชุดนักเรียนต่อไป ในขณะที่เสียงของคนรุ่นใหม่อยากให้เป็นไปตามความสมัครใจไม่บังคับ ควบคู่ไปกับประเด็นรื่องกาลเทศะ
ดังจะเห็นจากกระแสของคนในสังคมที่ออกมาร่วมสนับสนุนแนวคิดดังกล่าว อย่าง สภานิสิต-นักศึกษา กว่า 50 องค์กร ออกเเถลงการณ์เรียกร้องให้สถานศึกษาเปิดกว้าง “ใส่ชุดไปรเวทเข้าเรียนได้” และเเก้ไขกฎระเบียบให้ปราศจากการบังคับ
จังหวะเวลาใกล้เคียงกัน กรุงเทพมหานคร ปลดล็อก เครื่องแบบ-ทรงผม เรื่อง “แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับทรงผมของนักเรียนในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร” และ “แนวทางการแต่งกายของนักเรียนโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร”
ให้นักเรียนสามารถแต่งกายด้วยชุดใดก็ได้ที่ไม่เป็นการบังคับ อย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์ โดยให้นักเรียนเป็นผู้มีส่วนร่วมในการกำหนด แต่ห้ามไม่ให้มีการดำเนินการในลักษณะที่จะกระทบต่อสิทธิเสรีภาพทางร่างกายและจิตใจ รวมทั้งให้คำนึงถึงอัตลักษณ์ ความหลากหลาย ความเชื่อทางศาสนา และเพศวิถีของนักเรียน
ช่วงเวลานี้จึงอาจโอกาสอันดี หากจะชวนสังคมขยับไปพูดถึงประเด็นอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นบทบาทครู ผู้ปกครอง ระเบียบการมอบตัว ที่ดึงเด็กไม่ให้หลุดจากระบบการศึกษา ไปจนถึงเรื่องการเปิดพื้นที่ปลอดภัยในโรงเรียน หรือการร่วมกันคิดออกแบบหลักสูตรที่ยืดหยุ่น ตอบสนองความต้องการของผู้เรียนอย่างแท้จริง ซึ่งจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าแค่มาโหนกระแสระบายอารมณ์ ผลักไส ตีตราฝั่งที่เห็นต่างออกไป แต่เหลือทิ้งไว้ซึ่งปัญหาที่ยังค้างคาไม่ได้รับการแก้ไข