คติชนวิทยา คือ ศาสตร์หนึ่งที่ศึกษาข้อมูลทางด้านวัฒนธรรม เป็นวิชาที่ว่าด้วยความคิดของผู้คนที่แบ่งไว้ในมิติต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ วิถีชีวิต วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ การแต่งกาย ลายผ้า ที่แฝงไปด้วยความเชื่อที่เชื่อมโยงไปถึงบรรพบุรุษตัวเอง
ถือเป็นหัวใจสำคัญของการรวบรวมข้อมูล องค์ความรู้ต่าง ๆ ที่ส่งเสริมชุมชนในการปกป้องมรดกทางวิถีวัฒนธรรมที่ยึดโยงความเป็นตัวตนและชุมชนไว้ด้วยกัน จะทำให้เห็นว่าคนในชุมชนใช้ชีวิตอย่างเคารพวิถีวัฒนธรรม เป็นสิ่งที่ควรส่งเสริม คุ้มครองวิถีชีวิต และวัฒนธรรมไม่ให้ถูกคุกคามจากนโยบายที่ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตชุมชน ซึ่งชาวปกาเกอะญอที่ บ้านแม่ปอคี อ.ท่าสองยาง จ.ตากกำลังทำเช่นนั้น
ย้อนหาตัวตน ผ่านมุมมองคติชนวิทยา
ชาวบ้านแม่ปอคี ชุมชนชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก มีความพยายามเก็บ ข้อมูลชุมชน เพื่อแสดงถึงความเป็นชุมชนดั้งเดิมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีการบันทึกประวัติศาสตร์ของชุมชนผ่านการบอกเล่าของผู้เฒ่าให้กับลูกหลานทำให้รู้ถึงที่มาและที่ไป เห็นภูมิปัญญา ชุดความรู้ของชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง เป็นชุดความรู้ที่มีความต่างจากกระแสหลัก ซึ่งมีอยู่จริง ถูกใช้จริงในพื้นที่จริง แสดงถึงอัตลักษณ์ตัวตนของคนปกาเกอะญอที่ยังมีการสืบทอดการใช้ประโยชน์ เพื่อส่งให้คนรุ่นหลังสานต่อลมหายใจของบรรพชน รวมถึงการแสดงนัยยะของการจัดการความสัมพันธ์ระหว่าง “คนกับคน” และ “คนกับป่า”
ชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม กับหลักฐานการอยู่อาศัย 425 ปี
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/04/%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%B5_%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%B9-Data-set-03_0-1024x1024.jpg)
ชุมชนบ้านแม่ปอคี (ขุนแม่เหว่ย) มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์และหลักฐานการอยู่อาศัยมากกว่า 425 ปี โดยมีทั้งหลักฐานทางประวัติศาสตร์เชิงมุขปาฐะเรื่องของวรรณกรรม บทธา บทกวีของชนเผ่า และเรื่องเล่าผ่านหลักฐานที่อยู่อาศัยของแต่ละที่ โดยชุมชนมีชื่อสถานที่แต่ละที่พร้อมระบุว่าพื้นที่ตรงนั้นอาศัยอยู่เมื่อไหร่ ซึ่งเป็นข้อมูลที่สำคัญที่ยืนยันความดั้งเดิมของชุมชนหรือการมีอยู่ของชุมชนอย่างยาวนาน
จากข้อมูลพบว่าชุมชนได้มีการตั้งที่อยู่อาศัยในบริเวณที่เรียกว่าเทือกเขา เบ๊อะบละตูเป็นระยะเวลานาน
โดยชุมชนได้มีการบอกเล่าประวัติศาสตร์ผ่านการตั้งถิ่นฐานและการโยกย้ายถิ่นฐานซึ่งมีจุดหรือพื้นที่ที่ชุมชนอาศัยมาก่อน เรียกว่า “เดลอ” ทั้งหมด 24 จุด
มีการจัดการชุมชนแบบบูรณาการ ทั้งผู้นำแบบทางการตามโครงสร้างราชการ และผู้นำทางวัฒนธรรม โดยมี ฮิโค๊ะ ทำหน้าที่ เป็นผู้นำพิธีกรรม ให้คำปรึกษา ทำงานสนับสนุนซึ่งกันและกัน เช่น งานเชิงพิธีกรรมทางวัฒนธรรมการตัดสินใจเป็นหน้าที่ผู้นำทางวัฒนธรรมในการดำเนินการ
ส่วนงานที่ต้องมีการติดต่อประสานงานหน่วยงานราชการผู้นำทางการเองจะไม่ตัดสินใจดำเนินการเองตามลำพังแต่ยังคงตัดสินใจร่วมกับผู้นำทางวัฒนธรรม นี่คือความโดดเด่นของการจัดการชุมชนแบบบูรณาการทั้งทางการและทางวัฒนธรรม
ปัจจุบัน (2567) ชุมชนบ้านแม่ปอคี มี 51 ครัวเรือน มีจำนวนประชากรทั้งหมด 276 คน แบ่งเป็น ชาย 126 คน และหญิง 150 คน
พื้นที่ชีวิตแม่ปอคี
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/04/%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%B5_%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%B9-Data-set-04_0-1024x1024.jpg)
บ้านแม่ปอคี มีพื้นที่ทั้งหมด 8,386 ไร่ แบ่งเป็น พื้นที่ป่า และ พื้นที่ใช้ประโยชน์ โดยพื้นที่ป่ามีทั้งหมด 3,997.83 ไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 47.7 ของพื้นที่ทั้งหมด และพื้นที่ใช้ประโยชน์มีพื้นที่ทั้งหมด 4,388.17 ไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 52.3 ของพื้นที่ทั้งหมด
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/04/%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%B5_%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%B9-Data-set-05_0-1024x1024.jpg)
พื้นที่ป่าในชุมชนบ้านแม่ปอคี แบ่งเป็นป่า 4 ประเภท
- พื้นที่ป่าตามความเชื่อ ประกอบด้วยป่าศักดิ์สิทธิ์ (ป่าอนุรักษ์) ป่าช้า และป่าสะดือ มีเนื้อที่รวมทั้งหมด 317.74 ไร่
- ป่าอนุรักษ์ ซึ่งเป็นป่าต้นน้ำ มีพื้นที่จำนวน 3 แปลง รวมพื้นที่เท่ากับ 2,540.41 ไร่
- ป่าใช้ประโยชน์ คือ ป่าชุมชน จำนวน 2 แห่ง มีพื้นที่ทั้งหมด 613.09 ไร่
- พื้นที่ป่าตามโครงการของรัฐ ได้แก่ โครงการปลูกป่าสร้างรายได้ พื้นที่ป่าไผ่ และป่าอื่น ๆ อีกจำนวน 526.59 ไร่
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/04/%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%B5_%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%B9-Data-set-06_0-1024x1024.jpg)
พื้นที่ใช้ประโยชน์ แบ่งออกเป็น พื้นที่อยู่อาศัย โรงเรียน สำนักสงฆ์ และพื้นที่ทำไร่หมุนเวียน
- พื้นที่อยู่อาศัยและโรงเรียน มีพื้นที่ทั้งหมด 149.78 ไร่
- พื้นที่ของสำนักสงฆ์ มีพื้นที่ทั้งหมด 29.80 ไร่
- พื้นที่ทำไร่หมุนเวียน มีพื้นที่ทั้งหมด 4208.59 ไร่
แนวคิด ภูมิปัญญา ‘ไร่หมุนเวียน’
สำหรับการทำ ไร่หมุนเวียน ของชาวปกาเกอะญอบ้านแม่ปอคี เป็นการใช้พื้นที่เพื่อการปลูกข้าวกินเป็นหลัก ผสมสานกับพืชพันธุ์อื่น ๆ โดยมีการกำหนดพื้นที่เป็นแปลงรวมให้คนในชุมชนทุกคนได้ทำร่วมกัน ปัจจุบันมีรอบหมุนเวียน 5 ปี พิจารณาจากพื้นที่ที่บรรพบุรุษเคยทำกินมาก่อน โดยจะไม่มีการบุกรุกหรือบุกเบิกพื้นที่ใหม่ ก่อนจะตัดสินใจเลือกพื้นที่ทำไร่หมุนเวียนนั้น ชุมชนมีภูมิปัญญาในการเลือกพื้นที่ ดังนี้
1. เป็นพื้นที่ที่เป็นไร่เหล่า หรือไร่ที่บรรพบุรุษเคยทำกินมาก่อน
2. ต้องเป็นพื้นที่ที่เคยทำกิน และมีการพักฟื้นพื้นที่อย่างน้อย 5 ปี หากพักพื้นที่น้อยกว่านี้ จะทำให้มีผลกระทบดังนี้
- ผลผลิตจะไม่งอกงาม ได้ผลผลิตน้อย เพราะดินฟื้นสภาพไม่ทัน
- ต้นไม้ กิ่งไม้ไม่ใหญ่ ไม่โตพอที่จะเผาไหม้เพื่อเป็นธาตุอาหารไม่เพียงหรือไม่สมบูรณ์
- วัชพืชในไร่จะเติบโตเร็ว ทำให้ต้องดายหญ้าหลายรอบ
3. เป็นพื้นที่ที่ได้รับการอนุญาตให้ใช้ประโยชน์จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือสิ่งเหนือธรรมชาติโดยผ่านพิธีขอตามประเพณีวัฒนธรรมแล้ว
4. พื้นที่แปลงย่อยของครอบครัว ไม่สามารถทำซ้ำเกินสองรอบ โดยถ้าทำครบสองรอบแล้ว ต้องเปลี่ยนให้ครอบครัวอื่นมาทำกินแทนในพื้นที่ตรงนั้น
5. ต้องไม่ใช่พื้นที่ป่าอนุรักษ์ ป่าต้นน้ำ และป่าความเชื่อในวิถีวัฒนธรรมปกาเกอะญอ
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/04/%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%B5_%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%B9-Data-set-07_0-1024x1024.jpg)
พื้นที่ไร่หมุนเวียนแบ่งพื้นที่ ออกเป็น 5 รอบการหมุน
- พื้นที่ “ทีตะกุย” ปลูกเดิมในปี 2563 รอบปลูกต่อไปคือ ปี 2568 มีพื้นที่จำนวน 1,125.00 ไร่
- พื้นที่ “โป๊ะรอเด” ปลูกเดิมในปี 2564 รอบปลูกต่อไปคือ ปี 2569 มีพื้นที่จำนวน 807.90 ไร่
- พื้นที่ “ทีจือกวะ” ปลูกเดิมในปี 2565 รอบปลูกต่อไปคือ ปี 2570 มีพื้นที่จำนวน 898.89 ไร่
- พื้นที่ “ก่าหลู่” ปลูกเดิมในปี 2566 รอบปลูกต่อไปคือ ปี 2573 มีพื้นที่จำนวน 592.20 ไร่
- พื้นที่ “อูยะเด” ปลูกในปีปัจจุบัน ปี 2567 จะปลูกรอบปีต่อไปในปี 2572 มีพื้นที่จำนวน 784.60 ไร่
วัฒนธรรมการจัดการสิทธิเชิงร่วมหรือหน้าหมู่
ในหลายพื้นที่การทำไร่หมุนเวียนจะเห็นเป็นแปลงเดี่ยว แต่ในชุมชนบ้านแม่ปอคี มีการทำไร่หมุนเวียนแบบแปลงรวมแปลงเดียวกันเป็นแปลงใหญ่ ภายในแปลงใหญ่จะมีแปลงย่อยแยกออกไปโดยมีเป้าหมายในการแบ่งว่าเป็นของใคร ในทุก ๆ 5 ปี ที่วนมาที่เดิมจะต้องสับเปลี่ยนพื้นที่กับเพื่อนบ้านโดยไม่ทำซ้ำพื้นที่เดิมเมื่อ 5 ปีก่อนหน้านี้ และไม่สามารถยึดพื้นเป็นของตนเองได้จึงต้องดูแลทั้งพื้นที่ของตนเองและของเพื่อนบ้าน ทุกคนเป็นเจ้าของร่วมภายในแปลงย่อย เพื่อกระจายการใช้พื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ผูกขาดการใช้ประโยชน์เป็นการจัดการแบบเชิงร่วม เพราะฉะนั้นนี่จึงเป็นวัฒนธรรมการจัดการสิทธิเชิงร่วม
มรดกทางภูมิปัญญา สู่ ปฏิทินพิธีกรรมไร่หมุนเวียน ต่าเกฆ์ เลอฆึ
![](https://theactive.net/wp-content/uploads/2024/04/%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%B5_%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%B9-Data-set-08_0-1024x1024.jpg)
ขั้นตอนและพิธีกรรมในไร่หมุนเวียนของชุมชนบ้านขุนแม่เหว่ย มีทั้งหมด 19 ขั้นตอน
มกราคม
- เป็นเดือนพัก (ลาปลือ) ไม่แต่งงาน ไม่ขึ้นบ้านใหม่
กุมภาพันธ์
- สำรวจและเลือกพื้นที่ และทำพิธีก่าดูคี เพื่อขออนุญาตเจ้าป่าเจ้าเขา และเสี่ยงทายว่า สามารถทำไร่หมุนเวียนในที่แปลงนั้นได้หรือไม่
- ถางไร่ (แผะฆึ) เลือกวันถางแล้วแจ้งเพื่อนบ้านให้มาช่วยกันทำงาน
- ปล่อยให้ไม้แห้ง (โลกอ) เพื่อรอการเผาไร่ และถ้าไม้แห้งดี เวลาเผาไร่จะไหม้ดี และไฟจะไหม้เร็ว ซึ่งช่วยลดหมอกควันได้
มีนาคม
- ทำแนวกันไฟ (วะเม่โต) เพื่อป้องกันไฟ ไม่ให้ไหม้ลุกลามนอกขอบเขตไร่หมุนเวียน
เมษายน
- เผาไร่ (ชุฆึ) เผาไม้ที่ถูกตัด เพื่อให้หน้าดินที่ถูกไฟเผามีธาตุอาหาร เหมาะสมแก่การเพาะปลูก และเพื่อให้วัชพืชขึ้นยากขึ้น โดยก่อนเผาจะทำพิธีโปรโชคี เพื่ออธิษฐานให้ไฟเผาไหม้ไร่ให้หมด ไม่เหลือเศษไม้ในไร่
- เก็บเศษไม้ในไร่ และทำรั้ว (โฆ่ฆึ) เจ้าของไร่และเพื่อนบ้านเก็บกวาดเศษไม้ที่เหลือจากการเผา เพื่อเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น ไม้ขนาดใหญ่-กลาง เอามาทำรั้ว ไม้ขนาดเล็กเอามาทำเป็นค้างไม้เลื้อย ไม้ขนาดสั้นเอามาทำเป็นฟืน
- ปลูกพืชพันธุ์นำร่อง (ซุโชต่า) เช่น เผือก มัน มันสำปะหลัง ก่อนปลูกข้าว โดยเชื่อว่าปลูก เผือก (คึ) จะทำให้ดินเย็นลง พืชอื่น ๆ โตได้อย่างรวดเร็ว และต้องปลูกนำร่อง 3 วัน เชื่อว่าเมื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์มองลงมา ก็จะรู้ว่ามีคนมาทำไร่ตรงนี้และไม่เข้ามายุ่ง
- ปลูกข้าว (โทะฆึ) นำเมล็ดอื่น ๆ เช่น แตง ฟักทอง มะเขือ มาผสมกับเมล็ดข้าว แล้วเอาไปปลูก เพื่อให้ไร่มีพืชหลากหลาย จะมีพิธีแซะฆึ เพื่อขออนุญาตปลูกข้าว และพิธีโท๊ะล่อฆึ เพื่อให้เจ้าของไร่ทำงานก้าวหน้ารุ่งเรื่อง
ปลายเดือนพฤษภาคม, ปลายเดือนมิถุนายน,ปลายเดือนกรกฎาคม
- ดายหญ้า กำจัดวัชพืชและศัตรูพืชโดยไม่ใช้สารเคมี โดยเจ้าของไร่จะถางหญ้านำ (กลอลอน้อ) 3 วัน แล้วพัก 1 วัน จากนั้นจะถางหญ้าให้หมดไร่
สิงหาคม
- พิธีกรรมขอพรให้ต้นข้าวเติบโตงอกงาม (บวอฆึ / แซฆึ) ทำตอนที่ข้าวเริ่มเขียว เพื่อให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะสมกับการปลูก โดยการทำศาลเจ้าที่ 2 หลัง (ต่าแซะและต่าสะปว่า)
กันยายน
- วันห้ามไปไร่ (ดึโละฆึ) : พิธีกรรมขอขมาไม่ให้ข้าวเจ็บป่วยล้มตาย และไม่ให้แมลงมากัดกินต้นข้าว ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ได้แก่ พิธีกรรมพีเบาะ คือการนำหน่อไม้ไปโปรยในไร่ เป็นการเรียกแมลงและจุลินทรีย์ ให้มาสนใจหน่อไม้และมากินหน่อไม้ พิธีกรรมแชะลอวะบลอ การปักไผ่หลาม 5 หรือ 7 ต้น เชื่อว่าป้องกันใบข้าวเหลือง พิธีกรรมแชะลอมอ การตัดกระบอกไม้ไผ่แล้วไปวางที่กระท่อม และมุมไร่ ป้องกันใบข้าวติดโรค
- ตัดแต่งใบข้าว (พวอบือบึ) เพื่อให้ข้าวเติบโตได้สะดวก เนื่องจากเวลาการปลูกข้าวที่ถี่มาก เมื่อต้นข้าวเติบโตทำให้ใบข้าวติดกัน ทำให้ข้าวเจริญเติบโตช้า หรือตาย
ตุลาคม
- พิธีกรรมเรียกขวัญข้าว (แกวบือกะลา) คือขอให้ข้าวตั้งท้อง เชื่อว่าเป็นการปฏิสนธิระหว่างข้าวและสายฟ้า
- เก็บเกี่ยวข้าวเหนียว (กุปีอี) เก็บเกี่ยวข้าวเหนียวก่อนข้าวเจ้า เพราะข้าวเหนียวโตไวกว่า
พฤศจิกายน
- เกี่ยวข้าว (กุบือ) เก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวในไร่หมุนเวียน และตากข้าวให้แห้ง 4-5 วัน เป็นการร่วมมือลงแขกเกี่ยวข้าวกันในชุมชน
- ตีข้าว (โปะบือ) เพื่อเก็บเมล็ดข้าวออกจากต้นหลังการเก็บเกี่ยว โดยจะนำข้าวทั้งหมดมากองรวมกัน ทำเป็นลานตีข้าว และช่วยกันตี โดยระหว่างตีจะมีการพูดคุยเรื่องผลผลิตแต่ละครัวเรือน ถ้าใครมีน้อยไม่พอกิน คนในชุมชนจะแบ่งปันกัน
- ส่งนกขวัญข้าวสู่ฟ้า (เซอท่อโท้) พิธีกรรมขอบคุณนกขวัญข้าวที่ดูแลและปกป้องต้นข้าวในช่วงที่ผ่านมา
ธันวาคม
- กินข้าวใหม่ (อ้อบือโค้) การเฉลิมฉลองผลผลิตใหม่ และขอบคุณสิ่งเหนือธรรมชาติที่ให้กำลังกายและกำลังใจในการเพาะปลูกตลอดฤดูกาล มีการนำข้าวใหม่มาต้มเหล้า และกินข้าวกับแกงที่ปรุงจากผลผลิตทุกชนิดในไร่รวมถึงสัตว์จำพวกกุ้ง หอย ปู เป็นสัตว์เดินช้า กินพร้อมข้าวใหม่จะทำให้ข้าวหมดช้า เป็นต้น
“การทำเกษตรแบบไร่หมุนเวียน ของชุมชนปกาเกอะญอบ้านแม่ปอคี จึงสะท้อนศักยภาพของวิถีความมั่นคงในชีวิต ซึ่งการทำไร่หมุนเวียน ไม่ใช่การทำเกษตรแบบแผ้วถางเอาพื้นที่ทำกินถาวร แต่เป็นการหมุนเวียนเพื่อให้มีการพักฟื้นพื้นที่ป่าให้งอกเงยดังเดิม โดยที่ป่าไม่หายไปไหน เป็นวิถีการจัดการและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน”
อ้างอิง
- โครงการศึกษากระบวนการเตรียมความพร้อมชุมชนในการพัฒนาเขตวัฒนธรรมพิเศษชุมชนกะเหรี่ยง โดย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) และ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
- โครงการวิจัยการพัฒนากลไกและแผนแม่บทในการพัฒนาชุมชนเขตพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตชาติพันธุ์ กะเหรี่ยง บ้านแม่ปอคีโดย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) และ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
- โครงการ การจัดทำคลังข้อมูลภูมิปัญญาไร่หมุนเวียนบ้านขุนแม่เหว่ย (แม่ปอคี) (สงกรานต์ หทัยภัสสร และคณะ.2563)