ชนวาทะนอกบัลลังก์ หลังยุบ ‘ก้าวไกล’

“จริง ๆ ต้องขอบคุณผมนะ มีการยุบพรรคเขา เห็นไหมครับ เขาได้เงินตั้งกี่ล้านน่ะ ภายในสองวัน ถ้าไม่ยุบเนี่ย เขาร้องไห้ฟรีเลยนะ ก่อนหน้านั้นน่ะ เงินไม่มีนะ ต้องขอบคุณผมนะทำให้เขามีเงินเข้าไปตั้ง 20, 30 ล้าน ใช่ไหม สมาชิกเก่าเข้าไปจดทะเบียนเป็นสมาชิกตามไปด้วยเห็นไหม ก็ไม่เห็นจะเดือดร้อนตรงไหนเลย”

อุดม สิทธิวิรัชธรรม ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
(การบรรยาย : ศาลรัฐธรรมนูญกับการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ที่ จ.สุราษฎร์ธานี 15 ส.ค. 67)

คำพูดของ อุดม สิทธิวิรัชธรรม ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทำหน้าที่บรรยายในเวทีเสวนาต่อหน้าสาธารณะ เมื่อวันที่ 15 ส.ค. ที่ผ่านมา หรือ เพียงแค่ 1 สัปดาห์ หลังมีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ยุบพรรคก้าวไกล กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักอยู่ในเวลานี้

นี่อาจตอกย้ำหลักคิดของเหล่าผู้สนับสนุนอดีตพรรคก้าวไกล รวมถึงผู้คนอีกจำนวนไม่น้อยในสังคม ที่ตั้งคำถามต่อคำวินิจฉัยยุบพรรคของศาลรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะเมื่อได้ย้อนฟังหลักคิดของหนึ่งในตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่กำลังทำให้คำวินิจฉัยยุบพรรค กลายเป็นเรื่องขำขัน เชิงเยาะเย้ย

อ่านเพิ่ม : ไม่ตลก! ‘โรม’ สวน ตุลาการศาล รธน. เยาะเย้ย อ้างยุบพรรคแล้วรวย 20 ล.

ไม่ใช่แค่ปฏิกิริยาของผู้คนในโลกออนไลน์ และในสังคมที่มีต่อคำพูดของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่ในห้วงเวลา 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา การเมืองไทยได้ก้าวผ่านอีกช่วงที่ดุเดือด ไล่ตั้งแต่การยุบพรรคก้าวไกล จนมาถึงคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญให้ เศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

อุบัติเหตุทางการเมืองที่เกิดขึ้นใน 2 เหตุการณ์ โดยเฉพาะกรณีการยุบพรรคก้าวไกล สร้างแรงกระเพื่อมสำคัญอีกครั้งให้กับการเมืองไทย ท่ามกลางการจับตาของหลายฝ่ายทั้งองค์กรภายใน และต่างประเทศ

The Active รวบรวมความเห็นของหลายหน่วยงาน ผู้แทนองค์กร ต่อกรณีการยุบพรรคก้าวไกล พบว่า มีอย่างน้อย 132 องค์กร แบ่งเป็นองค์กรต่างประเทศ 13 องค์กร และองค์กรภายในประเทศ 119 องค์กร (ในจำนวนนี้เป็นองค์กรนิสิต-นักศึกษา 116 องค์กร) ส่วนใหญ่ย้ำว่า การยุบพรรคก้าวไกลเป็นการตัดสินที่ลิดรอนสิทธิทางการเมือง ทำลายความหลากหลาย และย้ำว่า มาตรการยุบพรรคต้องเป็นทางเลือกสุดท้ายในการลงโทษพรรคการเมือง

แน่นอนไม่ใช่แค่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ยังมีความพยายามอธิบายถึงความเหมาะสมต่อกรณีการยุบพรรคเช่นกัน


คำวินิจฉัยเป็นเอกสิทธิ์และอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ

ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ขององค์กรในไทยและนานาชาติภายหลังคำวินิยฉัยยุบพรรคก้าวไกล กระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 8 ส.ค. 67 ยืนยันว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในการยุบพรรคก้าวไกลเป็นการใช้สิทธิและอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่สามารถถูกแทรกแซงโดยอำนาจอื่น ๆ หรือรัฐบาลได้ โดยคำตัดสินดังกล่าวมีผลผูกพันตามกฎหมายและต้องได้รับการเคารพจากประชาชนทั่วประเทศ

“การตัดสินวินิจฉัยของศาลเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแทรกแซงได้โดยอำนาจอื่นหรือรัฐบาล โดยคำตัดสินดังกล่าวมีผลผูกพันตามกฎหมาย
และต้องได้รับความเคารพโดยปวงชนชาวไทย”

กระทรวงการต่างประเทศ

กระทรวงการต่างประเทศ ยังย้ำถึงความมุ่งมั่นของไทยในการดำเนินการตามค่านิยมประชาธิปไตย รวมถึงการปกป้องสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก การสมาคม การชุมนุมอย่างสันติ และการก่อตั้งพรรคการเมือง พร้อมเน้นว่า ประเทศไทยภูมิใจในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขและจะดำเนินตามแนวทางนี้อย่างมั่นคง

การยุบพรรคเป็นไปตามกฎหมาย

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 67 ก่อนมีคำวินิจฉัย มีการเปิดเผยรายงานข้อกังวลของ ผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติ ส่งถึง รัฐบาลไทยผ่านกลไกพิเศษ (Special Procedures) ภายใต้ประเด็นหลัก 2 ด้านด้วยกัน คือ เสรีภาพในการแสดงออก และเสรีภาพในการชุมนุมรวมกลุ่มโดยสงบ เป็นเอกสารรายงานการสื่อสารเลขที่ AL THA 5/2024

เอกสารดังกล่าวระบุว่า การยุบพรรคก้าวไกลและการเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของพรรคที่มีสมาชิกมากเป็นอันดับ 1 อาจจะมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบอบประชาธิปไตย เสรีภาพในการแสดงออก และยังทำให้เกิดการตั้งคำถามต่อกระบวนการเลือกตั้งของประเทศไทย และยังกังวลว่ากฎหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ จะถูกใช้โดยรัฐบาลเพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองปิดปากประชาชนและฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ซึ่งมีโทษทางอาญาที่หนัก 

ทางการไทย จึงได้ชี้แจงและตอบกลับ UN ใจความว่า

ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่าการหาเสียงมุ่งแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ม.112 โดย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล เป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญ 2560 ม.49 ที่ระบุว่า “บุคคลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้”

อีกทั้งการที่ประเทศไทยเป็นภาคีของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights: ICCPR) รัฐธรรมนูญไทยรับรองสิทธิของพลเมืองเอาไว้หลายประการอยู่แล้ว รวมถึงสิทธิที่จะถกเถียงในแง่มุมที่หลากหลายของประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ตราบใดที่ยังอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย

นั่นเป็นเหตุผลบางส่วนที่หน่วยงานภาครัฐไทย ชี้แจง และให้คำอธิบายกับคนในสังคม และองค์กรนานาชาติ ท่ามกลางคำถามไปจนถึงข้อห่วงกังวลมากมายต่อกรณีการยุบพรรคก้าวไกลที่เกิดขึ้นคู่ขนาน


การยุบพรรคการเมืองต้องเป็นมาตรการสุดท้าย

เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 67 ที่ผ่านมา คณาจารย์และนักกฎหมายจำนวน 134 คน ออกแถลงการณ์ คัดค้านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่สั่งยุบพรรคก้าวไกล รวมถึงคำพิพากษาปลด เศรษฐา ทวีสิน จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มองว่า การตีความกฎหมายและกระบวนพิจารณาของศาลไม่สอดคล้องกับหลักกฎหมาย อาจก่อให้เกิดปัญหาต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตีความขยายเขตอำนาจของศาลที่ลิดรอนสิทธิและเสรีภาพของบุคคลการถอดถอนตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน

นักกฎหมายยังเตือนว่า คำวินิจฉัยได้ทำลายความเชื่อมั่นของชาวไทยและต่างประเทศที่มีต่อระบบกฎหมายของไทย การตัดสินคดีโดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการประหัตประหารทางการเมือง ส่งผลให้สังคมขาดความเชื่อมั่นในระบบกฎหมาย ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาทางสังคมในอนาคต คณาจารย์จึงเรียกร้องให้สังคมไทยถกเถียงเรื่องการปฏิรูปศาลรัฐธรรมนูญอย่างจริงจังต่อไป

(อ่านแถลงการณ์ และความเห็นต่อกรณีการยุบพรรคก้าวไกลของ 132 องค์กร และแถลงการณ์ของคณาจารย์และนักกฎหมาย 134 คนได้ ที่นี่)

“ไม่มีระบอบประชาธิปไตยใดที่จะดำเนินไปได้โดยปราศจากพรรคการเมือง และผู้ลงสมัครจากหลากหลายฝ่าย”

ผู้แทนระดับสูงของสหภาพยุโรป และรองประธานคณะกรรมาธิการยุโรป

สอดคล้องกับ ผู้แทนระดับสูงของสหภาพยุโรป และรองประธานคณะกรรมาธิการยุโรป วิจารณ์ว่า การยุบพรรคก้าวไกล เป็นการทำลายพหุนิยมทางการเมืองและเรียกร้องให้ไทยรับรองสิทธิเสรีภาพตามกฎหมายระหว่างประเทศ

ในแถลงการณ์ย้ำว่า ประชาธิปไตยจำเป็นต้องมีพรรคการเมืองและผู้ลงสมัครจากหลากหลายฝ่าย ข้อจำกัดใด ๆ ที่มีต่อสิทธิเสรีภาพเหล่านี้ต้องสอดคล้องกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR)

นอกจากนี้ สหภาพยุโรปยังพร้อมที่จะขยายความร่วมมือกับประเทศไทยภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือรอบด้าน (PCA) ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนพหุนิยมประชาธิปไตย เสรีภาพขั้นพื้นฐาน และสิทธิมนุษยชน

(อ่านแถลงการณ์ฉบับเต็มได้ ที่นี่)

“No party or politician should ever face such penalties
for peacefully advocating legal reform,
particularly in support of human rights”

UN Human Rights

แปลความจากคำกล่าวข้างต้น UN Human Rights กล่าวว่า “ไม่ควรมีพรรคการเมืองหรือนักการเมืองใดต้องเผชิญกับบทลงโทษดังกล่าว เพราะสนับสนุนการปฏิรูปกฎหมายอย่างสันติ โดยเฉพาะการสนับสนุนสิทธิมนุษยชน”

โวลเกอร์ เติร์ก หัวหน้าสำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UN) ได้แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญไทยในการยุบพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นการบ่อนทำลายกระบวนการประชาธิปไตยและจำกัดความหลากหลายทางการเมือง

“ข้าพเจ้าเรียกร้องให้รัฐบาลหาแนวทางในการส่งเสริมประชาธิปไตยที่มีความเข้มแข็ง ส่งเสริมและเคารพสิทธิในการแสดงออกและรวมตัวกันทางการเมือง และยุติการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในการปิดกั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์”

โวลเกอร์ เติร์ก

(อ่านแถลงการณ์ฉบับเต็มได้ ที่นี่)

การยุบพรรคก้าวไกลคือการทำลายประชาธิปไตย

สมาชิกรัฐสภาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สอดคล้องกับ สมาชิกรัฐสภาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออกมาประณามการตัดสินใจนี้ว่าเป็นการทำลายประชาธิปไตยและเรียกร้องให้มีการทบทวนรัฐธรรมนูญเพื่อเสริมสร้างการตรวจสอบถ่วงดุล

กลุ่มสมาชิก ยังระบุว่า การที่พรรคก้าวไกลเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นหนึ่งในภารกิจของรัฐสภาที่กระทำได้ นอกจากนี้ยังเตือนว่า การยุบพรรคจะทำให้การถกเถียงทางการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรไทยถูกจำกัดมากยิ่งขึ้น และยังเรียกร้องให้รัฐบาลไทยทบทวนรัฐธรรมนูญที่ถูกเขียนขึ้นโดยคณะรัฐประหาร และเตือนว่าการใช้กฎหมายในทางที่ผิดจะเป็นภัยคุกคามต่อประชาธิปไตยในภูมิภาคอาเซียน

“เรารู้สึกใจหายกับคำตัดสินอันไร้ยางอายของศาลรัฐธรรมนูญที่ยุบพรรคก้าวไกล การเทียบว่าการแก้ไขกฎหมายอันเป็นหน้าที่หนึ่งของรัฐสภาเท่ากับความพยายามล้มล้างสถาบันกษัตริย์เป็นสิ่งไร้สาระและทำลายความเป็นเอกภาพของกระบวนการรัฐสภา”

สมาชิกรัฐสภาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(อ่านแถลงการณ์ฉบับเต็มได้ ที่นี่)

เป็นการตัดสินใจที่ไร้ความชอบธรรม
ซึ่งเผยให้เห็นความเพิกเฉยโดยสิ้นเชิงของทางการไทย
ต่อพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่ไทยเคยให้คำมั่นไว้

Amnesty International

Amnesty International วิจารณ์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไทยที่สั่งยุบพรรคก้าวไกล โดยระบุว่าเป็นการตัดสินใจที่ไร้ความชอบธรรมและละเมิดสิทธิมนุษยชน การยุบพรรคเพียงเพราะเสนอให้ปฏิรูปกฎหมาย ม.112 ถือเป็นการละเมิดสิทธิในการแสดงออกของประชาชน และสะท้อนถึงการคุกคามต่อฝ่ายการเมืองฝ่ายค้านอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย

Amnesty International ยังเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยุติการใช้กฎหมายเพื่อข่มขู่และคุกคามผู้วิจารณ์และฝ่ายการเมืองฝ่ายค้านอีกด้วย

(อ่านแถลงการณ์ฉบับเต็มได้ ที่นี่)

หากพรรคการเมืองต้องตาย ย่อมตายด้วยน้ำมือของประชาชนเอง
หาใช่องค์กรอิสระใด ๆ ที่มิมีความยึดโยงกับประชาชน
การยุบพรรคในครั้งนี้จะต้องเป็นครั้งสุดท้าย

องค์กรผู้แทนนิสิตนักศึกษาในประเทศไทย 88 องค์กร

สำหรับ องค์กรผู้แทนนิสิตนักศึกษา 88 องค์กร แสดงความกังวลต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อกระบวนการนิติบัญญัติ การตัดสินนี้อาจละเมิดสิทธิและเสียงของประชาชนกว่า 14 ล้านคนที่เลือกพรรคก้าวไกล รวมถึงสร้างบรรทัดฐานใหม่ที่ทำให้คณะกรรมการการเลือกตั้งสามารถยื่นยุบพรรคการเมืองต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรงโดยไม่ต้องเปิดโอกาสให้พรรคได้แก้ข้อกล่าวหา

องค์กรผู้แทนนิสิตนักศึกษายืนยันที่จะยืนหยัดในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่มีสิทธิเสรีภาพและประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยสูงสุด แม้จะไม่มีพรรคก้าวไกลแล้วก็ตาม พร้อมเรียกร้องว่าการยุบพรรคการเมืองในครั้งนี้ควรเป็นครั้งสุดท้าย

(อ่านแถลงการณ์ฉบับเต็มได้ ที่นี่)

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั่นแหละ
คือการเซาะกร่อนบ่อนทำลายและเป็นปฎิปักษ์ต่อการปกครอง
ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

สมัชชาคนจน

เช่นเดียวกับ สมัชชาคนจน แถลงว่า คำวินิจฉัยดังกล่าวสร้างความกังวลต่อสังคมไทยอย่างมาก เพราะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สังคมไทยเผชิญความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง แต่คนรุ่นใหม่กลุ่มหนึ่งได้กล้าหาญเสนอนโยบายใหม่ ๆ ผ่านการตั้งพรรคการเมืองเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นในรัฐสภา และพวกเขาได้รับการตอบรับจากประชาชนและพยายามดำเนินนโยบายที่หาเสียงไว้

อย่างไรก็ตาม นโยบายเหล่านั้นกลับถูกฝ่ายอนุรักษ์นิยมใช้เป็นเครื่องมือทำลายพรรค และศาลรัฐธรรมนูญก็เห็นชอบกับการกระทำดังกล่าวแทนที่จะปล่อยให้การต่อสู้ดำเนินในรัฐสภา

สมัชชาคนจน ยังเชื่อว่า การยุบพรรคก้าวไกลคือการผลักความขัดแย้งออกมาสู่ท้องถนน ซึ่งอาจลุกลามเหมือนในอดีต และไม่สามารถยอมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้ เนื่องจากเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

(อ่านแถลงการณ์ฉบับเต็มได้ ที่นี่)

Author

Alternative Text
AUTHOR

พีรดนย์ ภาคีเนตร

เฝ้าหาเรื่องตลกขบขันในชีวิต แต่พบว่าสิ่งที่ตลกที่สุดคือชีวิตเราเอง

Alternative Text
AUTHOR

ธนธร จิรรุจิเรข

สงสัยว่าตัวเองอยากเป็นนักวิเคราะห์ data ที่เขียนได้นิดหน่อย หรือนักเขียนที่วิเคราะห์ data ได้นิดหน่อยกันแน่