วังวนมายาคติ : คนไทยไม่รักษาสุขภาพ
เพราะได้รับสิทธิ์สวัสดิการสุขภาพถ้วนหน้า
กลายเป็นกระแสต่อเนื่องหลังจากการว่ายน้ำข้ามโขงเพื่อขอรับบริจาคเงินซื้อเครื่องมือแพทย์ให้กับโรงพยาบาลนครพนมและ โรงพยาบาลแขวงคำม่วน สปป.ลาวของ “โตโน่” ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ ว่าไม่ใช่การแก้ปัญหาระบบสาธารณสุขที่ต้นทาง แต่หลายคนรวมทั้ง อนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ก็ไม่ขัดศรัทธาเพราะแม้จะยืนยันว่ารัฐจัดสรรงบประมาณด้านสาธารณสุขให้เพียงพอ แต่โรงพยาบาลหลายแห่งในไทยทั่วประเทศไทย ก็เปิดรับบริจาคเช่นเดียวกัน
ทว่าหนึ่งในประเด็นที่ยังทำให้เกิดการถกเถียง อันเนื่องมาจากการให้สัมภาษณ์ก่อนว่ายน้ำข้ามโขงของ โตโน่ที่บอกว่า “หมอและพยาบาล เสี่ยงกว่าผม เหนื่อยกว่าผม” ในขณะที่ “หมอริท” นพ.เรืองฤทธิ์ ศิริพานิช ก็ได้ทวีตข้อความฝากให้คิดว่า “ต่อให้พี่ว่ายน้ำเป็น 10 รอบ เงินบริจาคมากกว่า 1,000 ล้านบาท หมอพยาบาลก็เหนื่อยเท่าเดิม” พร้อมกับระบุถึงปัญหาของระบบสาธารณสุขในประเทศไทยที่ทำให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์ต่อมา
“หมอริท” ได้กล่าวถึงระบบสุขภาพของประเทศไทยว่า เป็นแบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่แปลว่าคนไทยจะป่วยยังไงก็จะมีการรักษารองรับ ซึ่งดีกับคนไทยในบางมุม เช่น คนจนมีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงการรักษา แต่ข้อเสียก็คือคนไทยไม่ใส่ใจสุขภาพ เกิดปัญหา เช่นติด เหล้า ติดบุหรี่และเกิดปัญหาสุขภาพตามมาทำให้คนต้องมาโรงพยาบาลกันเยอะ ซึ่งทำให้หมอต้องทำงานหนัก แต่ยังได้ค่าตอบแทนเท่าเดิม
แนวคิดเกี่ยวกับหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือที่เรารู้จักกันในนามบัตรทองหรือ 30 บาทรักษาทุกโรค ของหมอริท ข้างต้น กลายเป็นประเด็นอ่อนไหว และซ้ำรอยมายาคติ วาทะกรรมในหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่มีมานานไม่ต่ำกว่า 20 ปี ที่เชื่อว่าคนไทยไม่รักษาสุขภาพเพราะได้สิทธิ์สวัสดิการสุขภาพถ้วนหน้า
ปฎิเสธไม่ได้ว่ามี บุคลากรการแพทย์จำนวนหนึ่งที่เชื่อว่า การมีระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้ารักษาคนไทยโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย จะทำให้คนไทยคิดว่า รักษาฟรี ก็ไม่ต้องดูแลสุขภาพ ไม่ต้องออกกำลังกาย ไม่ต้องเลิกเหล้าเลิกบุหรี่ก็ได้ป่วยขึ้นมาก็รักษาฟรี
แต่แนวคิดดังกล่าว สวนทางกับงานวิจัย เรื่องผลกระทบจากระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าในเรื่องระบบสุขภาพและพฤติกรรมเสี่ยงจากกรณีประเทศไทยเมื่อปี 2556 ซึ่งนำข้อมูลสุขภาพและพฤติกรรมของคนไทย จากฐานข้อมูลการสำรวจอนามัยและสวัสดิการ โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ มาวิเคราะห์ พบว่า
“หลังมีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า คนไทยก็ไม่ได้ดื่มเหล้า หรือสูบบุหรี่เพิ่มขึ้น และตัวเลขของเคสที่เกิดผลข้างเคียงหรือเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับการดื่มเหล้าและสูบบุหรี่เทียบกัน ก่อนและหลังมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ก็ไม่ได้แตกต่างกัน”
ด้วยจิตสามัญสำนึกของคนทั่วไปก็คงไม่มีใครอยากจะเจ็บป่วยแล้วไปหาหมอที่โรงพยาบาล โดยเฉพาะคนยากจนแม้จะได้รับสิทธิ์ในการรักษาฟรีตามหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า แต่ค่าเดินทางไปหาหมอที่โรงพยาบาลก็ทำให้พวกเขาเข้าไม่ถึงบริการสาธารณสุขด้วยเช่นเดียวกัน
นพ.อุดมศักดิ์ แซ่โง้ว ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาการสุขภาพ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ได้ให้เหตุผลไว้แล้วโดยไม่ได้ระบุว่า รักษาฟรีเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยหาหมอเกินจำเป็นแต่อย่างใด หากแต่เป็นไปตามหลักเศรษฐศาสตร์ที่แต่ละฝ่ายมีข้อมูลไม่เท่ากัน
เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของอัตราความเจ็บป่วยที่มีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษา ผู้ป่วยระบุว่ามีความจำเป็นในการเข้ารับบริการสูงกว่าแพทย์เป็นไปตามหลักเศรษฐศาสตร์ เนื่องจากแต่ละฝ่ายมีข้อมูลความรู้ที่ไม่เท่ากัน
เมื่อผู้ป่วยไม่มีความรู้เรื่องโรคและการรักษา ขณะที่แพทย์ผ่านการเรียนการสอนมาอย่างเข้มข้น ทำให้มองความจำเป็นในการเข้ารับการรักษาไม่เท่ากัน
ผู้ป่วยจะมีมุมมองความจำเป็นในการเข้ารับบริการมากกว่า นอกจากนี้ ในการเข้ารับบริการของผู้ป่วยเองยังคำนึงถึงปัจจัยอื่นนอกจากความเจ็บป่วย เช่น ความพร้อมของผู้ดูแล ความพร้อมหน่วยบริการ เป็นต้น
สิ่งที่จำเป็นต่อการทำให้คนที่มารับบริการ มีแต่คนที่ “จำเป็นต้องรับบริการ” จริง ๆ อาจเป็นการให้ความรู้แก่ผู้ป่วย ว่าอาการแบบไหนจำเป็นหรือไม่จำเป็นต้องรักษา
มีเรื่องเล่าตลกเรื่องหนึ่งในทวิตเตอร์เล่าถึงความเข้าใจที่แตกต่างระหว่างแพทย์กับคนไข้ได้อย่างเห็นภาพไว้ดังนี้
“เมื่อคุณเป็นหวัด หากแฟนบอกให้ทานยา พักผ่อนให้เพียงพอ แสดงว่าแฟนคุณเป็นคนปกติ หากแฟนคุณพาคุณไปหาหมอ แสดงว่าแฟนรักคุณมาก แต่หากแฟนบอกคุณว่าไม่ต้องทานยาเดี๋ยวหายเอง แสดงว่าแฟนคุณเป็นหมอ!”
ในส่วนของโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ หรือ HITAP มีงานวิจัย “การค้นหาข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับรายจ่ายสุขภาพที่ประชาชนต้องจ่ายด้วยตนเองในประเทศไทย” ที่ศึกษาถึงค่าใช้จ่ายของครัวเรือนไทยหลังมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า พบว่าสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพมีการเปลี่ยนแปลงโดยค่ารักษาพยาบาลมีสัดส่วนลดลง แต่กลับมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มขึ้นแทน ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ที่นี่
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่าเป็นห่วงสำหรับหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่มากกว่ามายาคติว่าการรักษาฟรีแล้วทำให้คนมาหาหมอที่โรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นจริง คือ รัฐจะหาเงินมาอุดหนุนได้เพียงพอกับการเข้าสู่สังคมสูงวัยซึ่งจะมีผู้ป่วย ที่เป็นผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น มีค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้รักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น อย่างไร? ซึ่งแนวโน้มของระบบสาธารณสุขไทยกำลังจะไปในทิศทางของการส่งเสริมและป้องกันโรค โดยสร้างความเข้มแข็งและให้ความสำคัญกับหน่วยบริการปฐมภูมิ เป็นสำคัญ
ส่วนประเด็นต่อมาที่ “หมอริท” พูดถึงปัญหาของระบบสาธารณสุขอีกอย่างก็คือ หมอไทยยังต้องทำงานเกินเวลาตามระเบียบกำหนดทำให้เกิดภาวะสมองไหลหมอออกไปนอกระบบโรงพยาบาลรัฐกันหมด หมอน้อยลง งานก็หนัก ผลิตหมอเท่าไหร่ก็ไม่พอนั้น ติดตามต่อในบทความ ตอนต่อไป…